เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I love not man the less, but books moreรั่วชิงบ้านสกุลหาน
(Manga) รีวิว Blue Period: ชิบุย่าสีฟ้าที่แสนตื้นตัน
  • Blue Period
    เรื่อง/ภาพ : Tsubasa Yamaguchi
    ผู้แปล : หมาหงอย
    Genres : slice of life
    Luckpim

    *รีวิวนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน*

    "เรื่องที่ชอบเก็บไว้ทำเป็นงานอดิเรกก็ได้... ความคิดแบบนี้มันความคิดของพวกผู้ใหญ่ค่ะ"

              หลายคนติดตาม Blue Period ตั้งแต่สมัยที่ไทยยังไม่ได้ลิขสิทธิ์ และอีกหลายคนเริ่มติดตามมังงะเรื่องนี้หลังจากที่มีกระแสในทวิตเตอร์แบบดังกระหึ่ม

              เราเป็นแบบแรก เริ่มติดตามจากการบังเอิญเห็นทวิตแนะนำมังงะเรื่องนี้ หลังจากนั้นก็รู้ว่าน่าสนใจเลยลองไปหาอ่านเอา ตอนนั้นยังไม่มี LC ในไทยเลย มีแค่กระแสแว่วมาว่าถูก LC ไปแล้วเพียงแต่สำนักพิมพ์ที่ได้ไปยังไม่ได้เผยตัว

              จำได้ว่าตอนนั้นไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่พอลองได้อ่านแล้วกลับ hit me in the heart เข้าเต็มๆ

              อ่านไปได้นิดหน่อยก็บ่นอยู่ตลอดว่าเมื่อไหร่จะมี LC ในไทยสักที จนทางญี่ปุ่นเค้าประกาศสร้างอนิเมะแล้ว จู่ๆ ก็ได้ข่าวว่าทาง Luckpim ได้ LC ไปและจะวางขายช่วงต้นปีค่ะ! เราก็เลยรออย่างใจจดใจจ่อ พอถึงเวลาก็กดสั่ง ตอนแรกมีปัญหานิดหน่อย แต่หลังจากนั้นก็กดสั่งได้เรียบร้อย แต่หลังจากนั้นดันพบว่าขายยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดีหนังสือก็หมดเว็บแล้ว!

    ADVERTISEMENT

    ตอนนี้ก็ยังหมดอยู่...

              หนัง-สือ-หมด-เว็บ-แล้ว!? นี่พิมพ์มา 20 เล่มหรือไงกันนะ เรียกได้ว่าสร้างปรากฏการณ์มากๆ เลยล่ะค่ะ อยากให้สำนักพิมพ์เติมของเยอะๆ จัง ทุกคนจะได้ไม่ต้องไปซื้อร้านที่อัพราคา เราเห็นมอริอาร์ตี้ตอนนี้ร้านข้างนอกขายเล่มละหลายร้อยเลย แย่มาก ㅠㅠ

              เข้าเรื่องดีกว่า Blue Period เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่ม ม.ปลาย ปี 2 ที่ชื่อ ยางุจิ ยาโทระ สูบบุหรี่ได้ กินเหล้าเป็น เที่ยวกลางคืนเก่ง แถมยังคบเพื่อนหน้าตาน่ากลัว แต่กลับเป็นเด็กเกเรที่เรียนดี อยู่อันดับท็อปๆ ตลอด นิสัยเองก็เฟรนด์ลี่สุดๆ

              ยาโทระเป็นเด็กผู้ชาย ม.ปลาย ที่ชีวิตดูไปได้สวยคนหนึ่ง ถึงจะยังไม่ได้วาดฝันว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่สำหรับผลการเรียนระดับนี้แล้วไม่ว่าอะไรก็คงสามารถทำได้ทั้งนั้น

              แต่จู่ๆ เขากลับถูกดึงดูดด้วยภาพวาดนางฟ้าที่ชมรมศิลปะขึงภาพทิ้งไว้โดยบังเอิญ จากนั้นมันก็จุดประกายให้เขาค้นพบว่าตัวเองนั้นชอบวาดภาพ แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า แค่วาดรูปทำเป็นงานอดิเรกก็ได้ไม่ใช่เหรอ ถึงไม่เข้ามหาลัยศิลปะก็ยังวาดรูปได้ไม่ใช่หรือไง งั้นมันมีความหมายอะไรที่จะต้องเลือกเรียนกัน?

    ถ้าไม่มีอะไรมาเป็นหลักประกันว่าจะมีกินหรือเปล่า แบบนั้นจะเข้าเรียนในมหาลัยศิลปะไปเพื่ออะไรกัน?

              ตัวแปรสำคัญในเรื่องที่มีอิทธิพลต่อตัวยาโทระในเล่มแรกนี้เราคิดว่ามี 2 คนค่ะ หนึ่งคือ รุ่นพี่โมริ หัวหน้าชมรมศิลปะ เจ้าของภาพวาดนางฟ้าที่ยาโทระเห็น และอีกคนคือ อาจารย์ประจำวิชาศิลปะ เธอเป็นคนตอบคำถามที่ยาโทระสงสัย พร้อมด้วยประโยคที่ทุ้มอยู่ในใจผู้อ่านหลายๆ คน เรียกได้ว่าน่าจะขึ้นหิ้งเป็นหนึ่งในประโยคอมตะของเรื่องได้เลย นั่นคือ...

              "...เรื่องที่ชอบเก็บไว้ทำเป็นงานอดิเรกก็ได้ ความคิดแบบนี้มันความคิดของพวกผู้ใหญ่ค่ะ"

              หลังจากที่ปัดผ่านเมฆหมอกแห่งความสงสัยออกไปได้ ยาโทระรู้แล้วว่าตัวเองต้องการเรียนต่ออะไรในอนาคต เขายื่นใบสมัครเข้าชมรมศิลปะ วางแผนเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยศิลปะโตเกียวที่มีอัตราแข่งขันโอกาสติดอยู่ที่ 1 ต่อ 200 เริ่มต้นเส้นทางที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังของช่วงชีวิตวัยรุ่นจากนี้เป็นต้นไป

    ถ้าเรารู้สึกว่ามันเป็นสีฟ้า จะแอปเปิ้ลหรือว่ากระต่ายก็เป็นสีฟ้าได้โดยไม่ผิด

              นี่ไม่ใช่มังงะตีแผ่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะของญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว แต่มันมีเทคนิคการวาดภาพและช่วยจุดประกายอะไรหลายๆ อย่างให้กับผู้อ่านได้อย่างดีเยี่ยม ถ้าจะบอกว่าอ่าน Blue Period หนึ่งเล่ม แต่กลับได้ความรู้ทางด้านศิลปะมาเท่ากับที่เรียนในระดับชั้นมัธยมทั้งหมดก็คงไม่ผิด เพราะขนาดเราเองบางเรื่องยังเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกเลย

              ตอนที่อ่านครั้งแรกเราน้ำตาไหลบ่อยมากแม้จะเป็นเพียงไม่กี่ตอน เพราะยาโทระกับเรามีความคล้ายกันในบางแง่มุม ยาโทระเป็นเด็กเรียนเก่งที่ใช้ชีวิตไปตามอย่างที่ตัวเองต้องการ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจว่าอนาคตจะเป็นยังไง แค่รู้สึกว่าตัวเขาเองมีภาษีดีกว่าคนอื่นก็พอ แต่เมื่อเขาได้รู้จักการวาดภาพ เขาสับสนและสงสัย ทว่าถึงอย่างนั้นก็สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วว่าแม้ตัวเองจะเริ่มต้นช้าเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่เขาก็มีความพยายามที่สำคัญคือมีความมุ่งหวังว่าจะสามารถเดินไปตามเส้นทางนี้ได้อย่างราบรื่น

              เทียบกับเราที่เหมือนกันกับยาโทระ เราพลาดตรงที่ตัวเองไม่ได้ตัดสินใจแบบนั้น เพียงเพราะตอนนั้นคิดแค่ว่า "วาดรูปก็เป็นงานอดิเรกได้" สุดท้ายการที่ไม่ได้เรียนต่อด้านศิลปกรรมเลยกลายเป็นหนึ่งในเรื่องที่ยังติดอยู่ในใจเราจนถึงตอนนี้

    ถ้าเจ็บใจแบบนี้ แปลว่ายังสู้ไหว

              แม้ยาโทระจะเรียนเก่ง ทุกอย่างเพอร์เฟ็ค เขาคิดกระทั่งว่าตัวเองก็วาดรูปได้นี่นา ไม่น่ายากล่ะมั้ง แต่พอเอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้ทำออกมาได้ดีกว่าใคร นั่นเป็นสิ่งที่เราชอบในการที่เซนเซย์เขียนมันออกมาแบบนี้ ทุกอย่างที่ยาโทระก้าวหน้าขึ้นมาได้มาจากความพยายามและการใฝ่รู้ของเขาทั้งหมด ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าใครได้อ่านจะต้องตกหลุมรักผู้ชายคนนี้แน่นอน

              สำหรับในเล่มแรกเราจะได้รู้ว่าครอบครัวยาโทระไม่ได้มีเงินมากพอจะส่งเขาเข้าเรียนมหาลัยเอกชน ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะเบนสายมาทางศิลปะแบบทันทีทันใดแบบนี้ อาจารย์ที่ปรึกษาเองยังคิดว่าเขาแค่เล่นๆ ซึ่งตรงนี้เราจะได้มาอ่านกันต่อในเล่ม 2 ว่ายาโทระใช้วิธีไหนทำให้แม่เขายินยอมให้เขาเรียนศิลปะต่อไป บอกเลยว่าเป็นอีกซีนที่น้ำตาไหลพรากแบบหยุดไม่อยู่จริงๆ

              อีกตัวละครหนึ่งที่เราชอบทีเดียวคือ ยูกะจัง เราค่อนข้างว้าวที่เซนเซย์เลือกเขียนตัวละครนี้ขึ้นมาพร้อมแบ็คกราวนด์ที่เป็นโรงเรียนมัธยม ยูกะจังเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง แต่เขาแต่งหญิงมาโรงเรียนแถมยังมีคนชอบเยอะอีกต่างหาก แน่นอนว่าเป็นสำหรับยาโทระแล้วเขามองรุ่นพี่โมริเป็นกึ่งๆ ไอดอล แต่มองยูกะจังเป็นเพื่อนแบบผลัดกันลูบหัวผลัดกันบีบคอ เดี๋ยวตีกันเดี๋ยวซัพพอร์ตกัน เป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักดีค่ะ

              อ้อ พูดถึงตรงนี้แล้วการ์ตูนแถมหน้าสุดท้ายน่ารักมาก ตรงประเด็นที่ยาโทระพูดถึงโดจิน BL ที่สาวๆ ในชมรมศิลปะแอบอ่านกัน เราเลยแบบเฮ้อออ ใครบ้างจะไม่หลงรักยาโทระนะ ลูกชายฉันดีขนาดนี้ มานี่มาดูลูกชั้นนนน

              เขียนมายืดยาวขนาดนี้เราปิดท้ายด้วยการเชียร์ให้ทุกคนอ่านมังงะเรื่องนี้ค่ะ ยิ่งสายผลิตสายงานอาร์ตทั้งหลายยิ่งไม่ควรพลาด แต่ถึงงั้นคนที่ไม่อะไรกับศิลปะก็ควรอ่านเหมือนกันนะ เพราะเนื้อเรื่องมันรีเลทได้ดีกับชีวิตทุกคนมาก คุณจะได้ทั้งแรงบันดาลใจในการก้าวต่อไปข้างหน้า ขณะเดียวกันก็ได้หวนนึกถึงวันคืนเก่าๆ แถมได้ความรู้ว่าวงการศิลปะบ้านเค้ามันขนาดนี้เลยนะเนี่ย

              แต่ก็นะ ทางสำนักพิมพ์พิมพ์ออกมาน้อยเกินไป เติมของทีไรก็หมดไวตลอด ร้านอื่นๆ เริ่มอัพราคากันแล้ว อยากให้ทุกคนไม่ซื้อร้านที่อัพราคานะคะเพราะร้านพวกนี้นิสัยไม่ดี ขอบคุณมากค่ะ ㅠㅠ

    contact me
    twitter : @malavitabb

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Kanzen Memeshe (@k_memeshe)
ขอบคุณที่เขียนรีวิวนี้ขึ้นมานะคะ ฮือ เราอ่านจบไปรอบนึงแล้วยังไม่กล้าอ่านซ้ำเลยค่ะ ร้องไห้หนักมาก เพราะเรื่องราวในมังงะมันซ้อนทับกับชีวิตจริงพอสมควร

ปล. ดีใจที่ไทยได้ลิขสิทธิ์มา อยากให้สำนักพิมพ์พิมพ์เพิ่มเยอะๆ มีหลายคนอยากอ่านแต่ยังหาซื้อไม่ได้เยอะมากค่ะ TwT
@k_memeshe ขอบคุณมากเลยค่ะ ดีใจที่คนชอบเรื่องนี้จนแมสขึ้นมาเหมือนกัน รู้สึกว่ารีเลทกับชีวิตของหลายๆ คนได้มากจริงๆ แต่เรื่องจำนวนพิมพ์ก็ชวนให้หนักใจอยู่นะ เล่มสองเรากดเกือบไม่ทันแน่ะ แต่ชั่วโมงต่อมาก็เห็นคนเอาไปขายอัพราคากันตรึม เห็นใจคนที่เป็นเรียลดีมานด์มากๆ ไม่ค่อยอยากให้ซื้ออัพราคาแต่ก็เข้าใจคนที่เขาอยากอ่านจริงๆ เหมือนกัน อยากให้สำนักพิมพ์พิมพ์เพิ่มเยอะๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการของคนอ่านจังเลยน้า ㅠㅠ
stage_ken (@stage_ken)
เคยอ่านเรื่องนี้ได้ตอนสองตอนเมื่อประมาณปีที่แล้วค่ะ อ่านรีวิวของคุณจบแล้วอยากตามอ่านต่อเลยแต่ติดตรงรักพิมพ์ไม่พิมพ์เพิ่มนี่สิ! T T
@stage_ken หวังว่าจะมีรีปริ้นท์ช่วงออกเล่ม 2 นะคะ (อยากให้ทุกคนได้อ่าน แต่ก็ไม่อยากให้สนับสนุนพวกอัพราคา แถมรักพิมพ์ก็ขายเหมือนกลัวแมส เฮ้อออ ㅠㅠ)
notnuey (@notnuey)
เราพึ่งได้มีโอกาสอ่านเมื่อไม่นาน ประทับใจตอนที่ยาโทระสื่อสารกับคุณแม่ในการขอเรียนด้านศิลปะต่อมาก น้ำตาไหลพราก ตัวเพื่อนๆของยาโทระเองก็นิสัยน่ารักมาก ให้กำลังใจกันห่างๆ
@notnuey เราแบบร้องไห้จริงจังเลยค่ะ ไม่คิดว่าเซนเซย์จะเลือกประเด็นนี้มา พอคิดตามแล้วก็จริงตามนั้น ส่วนเพื่อนๆ ก็น่ารักจริง ㅠㅠ
seenam13 (@seenam13)
ชอบรีวิวนี้จังค่ะ
@seenam13 ขอบคุณมากเลยค่ะ