ต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยอาการเหมือนท้องจะเสีย ลงมานั่งกินข้าวไปได้ครึ่งนึงรีบวิ่งขึ้นห้องแทบไม่ทัน ข้าศึกบุกหนักมาก หลังจากที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เราก็ลงมากินข้าวต่อแล้วเช็คเอาท์ไปสนามบิน แต่น้ำมันเหลือครึ่งถัง(อีกแล้ว) เลยต้องหาปั๊มที่คิดว่าไปง่าย จิ้มมาหนึ่งปั๊มแล้วให้กูเกิ้ลพาไป
พอถึงปั๊มสิ่งที่เจอคือสภาพที่เก่ามาก ปัญหาที่ตามมาคือจะเติมยังไง ไม่มีช่องเสียบบัตรอะไรทั้งนั้น หลังจากยืนเก้ๆ กังๆ อยู่แป๊บนึงเหยื่อของเราก็มาเป็นฝรัั่งตัวใหญ่ๆ ที่เพิ่งเข้าไปจ่ายเงินเสร็จ เค้าบอกว่าบอกว่าปั๊มนี้มันเก่ามากเลยนะพร้อมกับบอกว่าเติมเลยแล้วค่อยไปบอกข้างในว่าเติมไปเท่าไร เราก็ยังเข้าใจว่าเข้าไปบอกว่าเราเติมที่หมายเลขอะไร จนตอนจ่ายตังนั่นแหละเค้าให้บอกจำนวนเงินเลย เหยยยย ถ้าเจอคนไม่ซื้อสัตย์ล่ะ จะทำยังไง
ตัดภาพมาที่สนามบิน ขั้นตอนการคืนรถก็ง่ายมาก แค่ขับรถไปจอดตรงจุดคืนรถ แล้วเค้าจะเอาใบเสร็จมาให้เป็นอันจบ จากจุดคืนรถข้ามถนนไปจะเป็นโซนdomestic แต่ถึงจะเป็นโซนในประเทศเราก็สามารถจ่ายเงินค่าน้ำหนักกระเป๋ากับเครื่องอัตโนมัติได้เลย เราโง่มาแล้ว คือสนามบินเค้ากำลังปรับปรุงอยู่ เราก็ไม่เห็นป้ายบอกว่าฝั่งไหนเป็นโซนไหน มองเห็นป้ายเวสต์เจ็ทก็เดินไปเลย วิธีการเช็คอินและซื้อกระเป๋าก็ไม่ยาก แถวนั้นจะมีพนักงานอยู่เค้าจะบอกเราเองว่าต้องทำยังไง (ตอนจ่ายเงินก็แค่เสียบบัตรเครดิต ไม่ต้องกดรหัสเพราะบัตรเราไม่มีรหัส) เสร็จเรียบร้อยจะได้บอร์ดดิ้งพาสและแท็กติดกระเป๋า
จากนั้นก็เดินยาวๆ ไปโซนinternational โซนที่ร้างผู้คน หรือสนามบินนี้ร้างก็ไม่แน่ใจ เนื่องจากเราซื้อกระเป๋าและเช็คอินแล้ว ขั้นตอนที่เหลือคือโหลดกระเป๋า เดินไปหาเครื่องโหลด แสกนบอร์ดดิ้งพาส จบ ง่ายมาก ที่งงคือทำไมเค้าไม่ชั่งน้ำหนักกระเป๋าเลยแต่เราชั่งมาเรียบร้อย ประมาณ17-18โล ไม่เกินแน่นอนนน
domestic
international
โซน international มี2เกท คือD&E (ใครติ่งนี่รู้แน่นอนว่าD&Eคืออะไร 5555)D สำหรับคนที่ไปประเทศอื่นๆ
E สำหรับคนที่ไปอเมริกา
ที่เค้าแยกโซนแบบนี้ก็เพราะว่าข้างในมีต.ม.อเมริกา เอาจริงๆ เราควรจะคิดได้ตั้งแต่เห็นเค้าแยกโซนแล้วใช่ปะ แต่ก็เพิ่งมาคิดได้ตอนต่อแถวสแกนของ พอผ่านจุดสแกนไปแล้วก็จะเจอกับตู้อัตโนมัติ(อีกแล้ว) กรอกข้อมูลที่ตู้ สแกนพาสปอร์ต ปริ้นใบออกมาแล้วเดินไปต่อแถวเพื่อพบแพทย์ ไม่ใช่ๆ เพื่อพบต.ม.
ลักษณะต.ม.เมกาก็เป็นแบบต.ม.แคนาดาเลย นั่งบนเก้าอี้ ข้างหน้ามีโพเดียมเล็กๆ แต่ถามแค่2คำถามจบ
บนไฟลท์เสิร์ฟน้ำ1แก้วกับขนม1ห่อ
จากแคลการี่บินไปชิคาโกใช้เวลาประมาณ3หรือ4ชั่วโมงนี่ล่ะจำไม่ได้ ระหว่างรอขึ้นเครื่องเราก็กลัวจะโดนเปลี่ยนเกทมาก เลยถามคนข้างๆ ว่าเค้าไปชิคาโกใช่มั้ย ไม่เข้าใจทำไมคนแคนาดาคุยเก่งมาก ไม่รู้จักกันมาก่อนแต่คุยกันยาวมาก เราก็โดน ไม่รู้คิดผิดหรือคิดถูกที่หันไปถาม จากคำถามเดียวกลายเป็นคุยยาวเลย คุยอะไรก็จำได้ไม่หมดด้วยนะ ที่จำได้แม่นคือเราบอกว่าไปดูคาร์ดินัลส์ แล้วเค้าฟังไม่ออก นี่เลยต้องไล่ทีละทีม ชิคาโกคับส์ ซานฟรานซิสโกไจแอนท์ โตรอนโต้บลูเจย์ จนเค้าเริ่มเก็ทเราเลยพูด"คาร์ดินัลส์"ใหม่โดยม้วนลิ้นเน้นตรงคำว่า"คาร์" ทีนี้เค้าเข้าใจเลย เหนื่อย! คุยจนเค้าขอแลกนามบัตร สงสัยจะขายประกัน นี่คือเหตุผลของชื่อเรื่องว่า"หมดเวลาสนุกแล้วสิ" นอกจากจะต้องลาแบมฟ์แล้วยังต้องลาจากพี่ที่คอยพูดภาษาอังกฤษให้ อยู่คนเดียวต้องมีสติมากๆ (ปีที่แล้วก็เที่ยวคนเดียว แต่ได้พูดแค่กับต.ม.กับตอนซื้อของ อ้อ!คุยกับฝรั่งข้างๆ ตอนดูเบสบอลนิดหน่อย)
พอถึงชิคาโก เครื่องลงที่เทอร์มินอล5 แต่ไฟลท์ถัดไปออกจากเทอร์มินอล3 เราก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ จนถึงจุดรอรับกระเป๋า นี่ก็ยืนรอไง รอจนกระเป๋าคนอื่นจะไปหมดแล้ว จนเจอคนแคนาดาคนนั้นอีกรอบ (เราจำเค้าไม่ได้นะ แค่รู้สึกว่าเคยเห็นคนนี้ที่ไหนวะ แต่เค้าเข้ามาทัก) เลยเริ่มรู้สึกว่าแปลกๆ ล่ะ กระเป๋าเราหายเหรอ? ก็เริ่มมองหาเจ้าหน้าที่สนามบิน แล้วเข้าไปถามเค้า เค้าบอกว่ายูไปเทอร์มินอล3ได้เลย นี่ยังถามเค้าต่อว่าแล้วกระเป๋าล่ะ เค้าบอกต่อว่ากระเป๋าเช็คทรู โอ้ววววหายโง่เลยกรู บอร์ดดิ้งพาสก็มี2ใบ ต.ม.ก็ผ่านมาแล้ว จะมารอกระเป๋าทำซากอัลไลลลลล
คือเราอ่านรีวิวการต่อเครื่องมาก่อนไง แล้วในรีวิวเค้าก็บินจากไทยกันใช่ม้ะ เค้าก็บอกว่าผ่านต.ม. เอากระเป๋ามาโหลดเองอีกรอบ เราก็ท่องจนขึ้นใจเลย โอเค ความเด๋อเป็นส่วนหนึ่งของประสบการ์ณที่น่าจดจำ ไปค่ะ ไปเทอร์มินอล3กัน เราจะไม่เด๋ออีกแล้ว
พอถึงทมน.3 (ย่อมาจากเทอร์มินอล3) ก็ต้องแสกนสัมภาระอีกรอบ ผ่านแล้วก็เดินหาเกท แต่เมื่อถึงเกทหน้าจอมันยังขึ้นว่าไปฟิลลี่ (ย่อมาจากฟิลาเดลเฟีย) รอจนใกล้เวลาบอร์ดดิ้งหน้าจอก็ยังฟิลลี่ เลยลุกไปถามเจ้าหน้าที่แถวนั้น เค้าก็บอกว่าเกทนี้แหละ ถ้าดูจากบอร์ดดิ้งพาสนะ
รอจนเวลาบอร์ดดิ้งหน้าจอก็ยังฟิลลี่ เดินดูจอละแวกนั้น แม่มก็ไม่บอกเลยว่าไฟลท์ไหนไปเกทไหน นั่งรอไปอีกไม่นานก็มีเสียงตามสายประกาศอะไรไม่รู้จับใจความได้ว่าเซ็นต์หลุยส์ไปเกทK8 เพื่อยืนยันว่าฟังไม่ผิดใช่มั้ย ตาก็มองดูว่ามีคนลุกบ้างรึเปล่า โอเค มีคนลุก เราก็ลุกบ้าง พอถึงK8เท่านั้นแหละ คนรอขึ้นเครื่องเต็มเลย
ตอนเค้าเรียกขึ้นเครื่องความงงมาอีกแล้ว เค้าเรียกขึ้นตามกรุ๊ปซึ่งแบ่งเป็นกรุ๊ป 1 2 3 4 5ไล่ไปเรื่อยๆ แต่บอร์ดดิ้งพาสเราไม่มีกรุ๊ป จย้าาาาาา รอจนคนขึ้นเกือบหมดนี่ถึงไปต่อแถว แล้วไม่อยากเด๋อโดนจนท.ไล่ไปต่อแถวใหม่เพราะผิดกรุ๊ป เลยถามผู้หญิงข้างๆ ว่าต่อเลยได้มั้ย มันไม่มีกรุ๊ป เค้าก็บอกว่าต่อเลยๆ ของwestjetเค้าเรียกเป็นโซน แล้วบนบอร์ดดิ้งพาสเราก็ระบุโซนไว้ (ปีที่แล้วที่บินเวอจิ้นอเมริกากับฟรอนเทียก็เรียกเป็นโซน1 2 3)
เทอร์มินอล3 คนเยอะมากถึงมากที่สุด
เครื่องบินบินต่ำประมาณนี้
วิวตอนใกล้ๆ จะถึงแลมเบิร์ตแอร์พอร์ต ไม่รู้ว่าใช่ดาวน์ทาวน์เซ็นต์หลุยมั้ย คือคิดว่าใช่ แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะไฟสว่างมาก รู้สึกสว่างเกินไป
เซ็นต์หลุยส์ในความรู้สึกเรามันคือเมืองร้างที่เงียบมาก สองสามทุ่มก็ไม่ค่อยมีคนแล้ว
พอถึงสนามบิน คนก็ต้องไปรอกระเป๋าตามสเต็ปอเมริกาแลนด์ คนมาถึงสายพานแล้วหน้าจอยังไม่ขึ้นเลยว่ากระเป๋าจะมาที่สายพานเบอร์ไหน ได้กระเป๋าแล้วก็เดินตามป้ายไปขึ้นmetrolink มันร้างมาก ตรงตู้ซื้อตั๋วนะร้างเหมือนว่าปิดทำการแล้วเลย แถมมีคนเดินมาแล้วก็เดินกลับไป พอเดินไปถึงรถไฟ มีคนนั่งอยู๋ในรถไฟประมาณ4-5คน นี่สิเซ็นต์หลุยส์ มาถูกเมืองแน่นอน ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำว่ามาถูกเมืองคือพอถึงสถานีฟอเรสพาร์ค (ชื่อเต็มๆ คืออะไรไม่รู้ จำแค่นี้มาตลอด) นอกจากเจอเด็กแว๊นแล้วยังเจอกลิ่นฉี่ในลิฟต์ต้อนรับ เวลคั่มทูเซ็นต์หลุยส์ ถ้าเป็น5ปีก่อนเราจะกลัวคนพวกนี้มาก แต่ตอนนี้ชินแล้ว เดินไปปกติเค้าก็ไม่มายุ่งด้วย
จากสนามบินไม่มีตั๋วเที่ยวเดียว ก็จ่ายไป4บาท
แล้วเราก็ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ ถึงแม้จะหากุญแจไม่เจอจนโฮสต์ต้องลงมาหาก็ตาม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in