เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เพียงชายคนนี้ไปเวียดนาม(ใต้)วันที่สิบเจ็ดแบงค์
เจ็ดชั่วโมงก่อนเดินเข้าจุดสตาร์ทประจำวัน
  •                 ระหว่างวันนั้นในหัวผมคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้มาตลอดวัน แต่ในยามค่ำคืนนั้น ผมกลับไม่ฝันถึงอะไรเลย มีเพียงภาพสีดำเท่านั้นที่ชัดเจนในหัวของผมตอนนี้ ไม่มีภาพสุดเซอเรียลผุดขึ้น ไม่มีเหตุการณ์ที่เรียงลำดับอย่างไม่เป็นระบบเหมือนหนังเรื่อง memento ปรากฎอย่างที่ฝันโดยทั่วไปเป็น มีเพียงความมืดและความเงียบเท่านั้นที่ผมพอจะรู้สึก 
                        ทันใดนั้นเอง ภาพสีดำสนิทกลับปรากฎร่างชายหนุ่มเอเชียหน้าตี๋คนนึงในชุดสุภาพเสื้อเชิ้ตผูกไทด์ จะว่าคุ้นหน้ามั้ยก็ไม่ แต่จะให้บอกไม่เคยเจอเลยก็ไม่น่าจะใช่ เพราะจากที่ได้ศึกษามา ความฝันจะผสมความทรงจำที่เราได้พบและจินตนาการจากสื่อที่ได้รับเข้าไปกลายเป็น "จริงตนาการ" ในความฝัน ไอ้เรื่องการฝันถึงคนที่ไม่เคยเจอมันไม่น่าจะเป็นไปได้ 
                          ในห้วงแห่งความฝันนั้น พ่อหนุ่มคนนี้เริ่มเดินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่แสดงออกถึงความจริงจังว่า กูไม่ได้มาเล่นๆ ปรากฎอยู่บนสีหน้า 
                          ผมโดนผีเวียดนามเล่นงานเข้าแล้วหรอเนี่ย อยู่ที่ไทยไม่เคยเจอ มาถึงวันแรกโดนเจ้าที่มาหาในฝันซะแล้ว 
                    เค้ายื่นมือมาที่ช่วงไหล่ของผม โดยใช้นิ้วชี้จิ้มเข้าบริเวณหัวไหล่โดยเน้นย้ำซ้ำๆหลายรอบ บางทีก็ใช้ฝ่ามือเข้าตบเบาๆแต่ ทันใดนั้นภาพที่ผมเห็นนั้นก็สลายหายไปทันที หรือว่าพระสยามเทวาธิราชพึ่ง teleport มาช่วยวะเนี่ย เม้นท์ 99 สาธุเลยครับผมในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น 
                       ผมลืมตาตื่นขึ้นมาโดยเห็นพี่ตี๋คนนั้นในความฝันปรากฏตัวจริงๆอยู่ข้างๆเบาะที่ผมนอน พี่แกไม่ได้มาในรูปแบบเจ้ากรรมนายเวร หากแต่เป็นในรูปแบบพนักงานบนรถ พี่แกทำแบบเดียวกับในฝันเมื่อครู่กับทุกคนบนรถ พร้อมพูดเป็นภาษาเวียดนามที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง ผมจึงขอวิสาสะแปลเอาประมาณว่า “ถึงแล้วครับ ตื่นๆ” ผมดูเวลา นี่พึ่งจะตีสามครึ่งเอง ถือว่าถึงเร็วกว่าที่ผมคิดนะเนี่ย 
                          จากข้อมูลที่เราได้รับมาในตอนแรกว่าดาลัทเป็นเมืองที่อากาศเย็นมาก อากาศทั้งปีพอๆกับฝั่งประเทศซีกโลกบน ซึ่งก็ถูกต้องเลยครับ อุณหภูมิที่รอต้อนรับเราอยู่นอกรถคือ 15 องศา (นี่ขนาดหน้าร้อนที่นู่นนะเนี่ย)

                              เราลงจากรถ รับสัมภาระ และรีบไปที่รถตู้ของบริษัทรถที่เรานั่งมา (นั่งฟรี) พร้อมบอกที่อยู่โฮสเทของเรากับคนขับรถ เราได้แต่ภาวนาให้ถึงที่พักเร็วๆ เพื่อที่จะได้หลบอากาศหนาวเช่นนี้เสียที 
    ชายฉกรรจ์ชาวไทยทั้งห้า เคลื่อนตัวมาจนถึงหน้าป้ายโฮสเทล เราเดินวนหลายรอบว่าใช่หรอวะ ที่นี่ใช่ Binh Yen Hotel ที่เราจะมาพักเหรอ ทำไมตอนนี้ปิด แล้วเปิดอีกทีกี่โมงเนี่ย 
    ผมสะเพร่าในการไม่ได้เมลมาแจ้งที่พักว่าจะมาถึงกี่โมง(จริงๆคือหาเมลไม่เจอ) ซ้ำร้ายเลยคือโทรศัพท์เราไม่สามารถโทรออกได้

     เข้าที่พักไม่ได้เลยเดินไปทั่วในละแวกนั้
                         ขณะนี้เวลาตี4 อากาศหนาววิปริต ลมโบกพัด เมืองที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงเป่าปากบรรเทาความหนาวของพวกเราเท่านั้นที่ดังสุดในย่านนั้น จะให้หาคาเฟ่ที่เปิด 24 ชั่วโมงก็ต้องเดินไกลแน่ๆ เดินไปถึงก็คงเช้าพอดี เราได้แต่หวังว่าเดี๋ยวอีกไม่นานเค้าคงเปิดและนั่งรอต่อไปในเมืองที่ยังหลับใหล
    ความหวังและการรอคอยของพวกเรามาสัมฤทธิ์ผลในระยะเวลาเกือบ2ชั่วโมงต่อมา ผมรู้ดีว่าเรายัง check-in ตอนนี้ไม่ได้ แต่ก็ดีแค่ไหนแล้วที่ได้ที่เข้าไปหลบลมหนาวและได้พักสักงีบพร้อมชาร์จแบตโทรศัพท์ 
                             เริ่มต้นอีกเมืองก็ทุลักทุเลซะแล้วสิ วันนี้มันจะเป็นยังไงต่อกันเนี่ย…



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in