เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เพียงชายคนนี้ไปเวียดนาม(ใต้)วันที่สิบเจ็ดแบงค์
Dalat's Day&Night
  •                    ผมลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งกลางล็อบบี้โฮสเทลที่เวลาประมาณเกือบเจ็ดโมงเช้าพร้อมปลุกเพื่อนๆให้ไปเตรียมตัวได้แล้ว เพราะ Day Tour จะเริ่มประมาณแปดโมงครึ่ง ข้าวปลาก็ยังไม่ได้กินเลย ต้องรีบทำเวลาหน่อยแล้ว 
                                อากาศข้างนอกนั้นไม่สนับสนุนให้เราเที่ยวเอาเสียเลย ลมหนาวที่ไม่เบาลงเลยมาพร้อมกับละอองฝน นอกจากจะทำให้เราหนาวมากแล้วก็ยังรู้สึกแฉะๆเละๆ 
                             ในความเป็นจริงแล้วเราควรจะนั่งแท็กซี่ไปจัตุรัสใจกลางเมือง แต่ด้วยความงกและคิดว่ามันใกล้ ชีพจรจึงลงเท้าอีกครา เราใช้เกือบเป็นชั่วโมงในการไปถึงและหาอะไรกินโดยอาหารเช้าที่เราตั้งใจจะมากินก็คือ Banh Mi ที่อยู่ตรงข้ามโรงแรมทิวลิปตามที่หลายๆรีวิวแนะนำ 
                            พวกเราคิดว่าโรงแรมทิวลิปอยู่รอบๆจัตุรัสเลยเดินมาถึงนี่และค้นพบว่า ไม่ใช่เลย เราต้องเดินกลับไปอีกนิดหน่อยเพื่อไปยังจุดหมาย

    หอไอเฟลเกรดมิเรอร์ รวมถึงฌ็องเดอมาร์สเวอร์ชั่นดาลัท

                                จนในที่สุดก็ได้พบเจอโรงแรมทิวลิปและร้านขนมปังที่เป็นที่เลื่องลือ ผมจึงลองสั่งไส้หมูแดง ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปนี่หว่าเลยกัดไปแล้วคำนึง ผลออกมาคืออร่อยเหาะ เหมาะแก่การกินทุกมื้อจริงๆ แถมราคายังแสนถูกอยู่ที่ 15000 ดองเท่านั้น
                                เมื่อพบว่าอร่อยจริงก็แปลว่าเรามาถึงร้านที่หลายๆรีวิวกล่าวถึงจริงๆเสียที ลักษณะร้านชั้นล่างเป็นเบเกอรี่ ส่วนชั้นบนเป็นร้านอาหาร 
                            พวกเราคิดว่าแค่banh mi ก้อนเดียวคงไม่พอยาไส้หรอก เลยยกพลขึ้นชั้นสองและทำการสั่งอาหารที่คิดว่าจะอยุ่ในท้องเรายาวไปทั้งวัน ผมเลยสั่งเหนียวไก่ อาหารที่ผมมาข้ามแผ่นดินบินมาและเดินเกือบรอบเมืองเพื่อมากิน สนนราคาที่30000 ดอง … แต่จะว่าไปมันก็ใช้ได้เลย อิ่มท้องได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนลักเหนี่ยวไก่เลย เหยดแหม่ 

    ซ้าย-Banh Mi ขวา-เหนี่ยวไก๊ (จะแหลงใต้ไปเพื่อ)

                                     เมื่อท้องอิ่มก็พร้อมเที่ยวได้ทั้งวันแล้ว แต่สายไปเสียแล้ว เพราะ Day Tour ในแต่ละที่ได้เริ่มกันหมดแล้ว เราเลยหวัง Half Day Tour แทน จึงเปิดแผนที่และกรอกไปว่า The Sinh Tourist เราออกเดินทางจากต้นทางไปยังปลายทางที่ห่างเราไปอีกเกือบ2กิโลได้ แม้ว่าเรื่อง Tour จะยังไม่ชัวร์ว่าจะเที่ยวของที่ไหน แต่เราก็ตั้งใจจะซื้อตั๋วรถจากดาลัทไปมุยเน่ในวันรุ่งขึ้น 
    จากเมืองที่หลับใหล บัดนี้ได้ตื่นขึ้นแล้ว เสียงแตรรถที่ดังขึ้นและบ่อยขึ้นบ่งบอกถึงเวลาที่ผู้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตกันแล้ว 
                                พวกเรายังเดินไปตามทางที่โทรศัพท์เราบอก จนมาถึงจุดหมาย… แต่ไหนวะ The Sinh เราพบเห็นเพียงแค่โรงแรมที่นึงกับทัวร์เจ้าอื่นที่ไม่ได้เคลมตัวเองว่าเป็น The Sinh เลย เราจึงปรับเปลี่ยนมุมมอง เดินเพิ่มอีกสักนิดก็พบกับเพิงเล็กๆที่มีป้าย The Sinh Tourist 
    ด้วยความแปลกใจ เรายังไม่มั่นใจว่าใช่ที่ที่เราตามหารึปล่าว ภาพจำลองในความคิดเราคือตึกใหญ่ๆดูเป็นสำนักงานพนักงานเดินขวักไขว่ แต่สิ่งที่เราพบเจอคงอารมณ์เหมือนเราเจอซุ้มน้ำปั่นชาพะยอมที่มีพนักงานแค่คนเดียว โห…เซอไพรส์เล็กๆ 
                                       เราจัดการซื้อตั๋วรถเช้าวันถัดไปเรียบร้อย เงิน 139000 ดองถูกจ่ายไปให้กับการเดินทางในวันข้างหน้า ส่วน Half Day Tour ที่เหลืออยู่ไม่มีสถานที่ที่เราตั้งใจจะไปเลย 

                                   ผมออกมาข้างนอกและตกลงกับเพื่อนว่า นั่งแท็กซี่ ไปแม่งเลยแล้วกัน ประจวบเหมาะที่แท็กซี่ขับผ่านไปแล้วคงเห็นกลุ่มคนต่างด้าวกลุ่มนึงกำลังถกเถียงกันเรื่องเดย์ทัวร์ ไม่แน่ใจว่าลุงแกเค้าเป็น Professor X รึเปล่า ที่อ่านความคิดพวกเราออก แกถอยรถกลับมาแล้วยื่นข้อเสนอ Day Tour ซึ่งเต็มไปด้วยสถานที่ที่เราอยากไปด้วยราคา 700000 ดอง ทั้งทริป 
                                        พวกเราตอบตกลง โดยที่แอบระแวงเหมือนกันว่าคนละ700000รึเปล่าวะ เพราะลุงแกไม่ได้ภาษาอังกฤษเลย แต่เก็บความระแวงไว้ก่อน เราได้เที่ยวอย่างที่แพลนไว้แล้วจริงๆเสียที

  •              สถานที่แรกในโปรแกรมคือ Crazy House สถาปัตยกรรมสุดแปลกประหลาดตามชื่อที่ตั้งไว้ 
                ถูกสร้างโดยลูกสาวอดีตประธานาธิบดีของเวียดนาม โดยค่าเข้าสถานที่นี้อยู่ที่คนละ 60000 ดอง 
    นอกจากที่นี่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้แล้ว ยังมีบริการห้องพักให้แก่นักท่องเที่ยวด้วย (ซึ่งราคาแพงมาก) 
                 จากความรู้สึกที่ได้เข้าชมที่แห่งนี้ ผมรู้สึกว่าคล้ายพวกบ้านในนิทาน เต็มไปด้วยบ้านรูปทรงประหลาดและทางเดินสะพานปูนที่ยิ่งเดินขึ้นไปก็ยิ่งสูง จึงควรระมัดระวังอย่างมากในการเดินขึ้นไป 
    มีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย รวมถึงสามารถเพลิดเพลินกับจุดชมวิวเมืองดาลัท
                      เนื่องจากทางเดินที่จะเดินขึ้นไปจุดที่สูงที่สุดนั้นแคบมาก ไม่ควรเดินสวนกันเลย แต่ระหว่างที่เราเดินขึ้นไปก็มีคนเดินสวนลงมาแทบตลอด ทำเอาหงุดหงิดเล็กๆและเสียวร่วงไปเหมือนกัน แต่โดยรวมๆแล้วพวกเราค่อนข้างเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปที่นี่

                           พวกเราเต็มอิ่มกันแล้วกับเครซี่ เฮ้าส์ และใกล้จะถึงเวลาที่นัดกันไว้กับคุณลุงแท็กซี่ เราเดินมาที่รถแล้วบอกกับลุงทำนองว่า “ที่ต่อไปเลยลุง” 
                           สถานที่ต่อไป พระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได๋ ซึ่งอยู่ห่างจากเครซี่ เฮ้าส์ไม่มากนัก ทำให้ใช้เวลาไม่นานในการมาถึง
                           พระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได๋ ก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1933 สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของจักพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม พระเจ้าเบ๋าได๋ ภายในตัวอาคารยังคงสภาพในสมัยที่ยังคงอยู่ที่นี่ ก่อนออกจากเวียดนามไปฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1975 ต่อมาจึงกลายเป็นที่พำนักของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ 
    ในตัวพระราชวังนั้นประกอบไปด้วยห้องส่วนตัว และ ห้องส่วนตัว ของทั้ง พระเจ้าเบ๋าได๋ มเหสี พระโอรส และ พระธิดา รวมถึงห้องทรงงาน และข้างนอกยังมีสวนหย่อมขนาดเล็ก

                            เนื่องจากพระราชวังนี้ถูกก่อสร้างมานาน ทางเวียดนามก็คอยดูแลอย่างสุดความสามารถ สภาพจึงยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสมบูรณ์ โดยก่อนเข้าตัวพระราชวัง โดยค่าเข้าอยู่ที่ 20000 ดอง เจ้าหน้าที่จะให้ใส่”รองเท้าพิเศษ” ที่เตรียมไว้ให้
     โฉมหน้ารองเท้าพิเศษที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้
                             เราใช้เวลาเดินไปเรื่อยในตัวอาคาร พยายามจะอินและนึกถึงช่วงเวลานั้น แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกินเนื่องจากคนเยอะมาก ได้แค่เดินไปเรื่อยๆ ระลึกถึงสักพักและ เดินผ่านไป 
                             ยิ่งใกล้บ่ายขึ้น เมฆฝนก็เหมือนจะเริ่มก่อตัว เราเลยรีบออกจากพระราชวังเบ๋าได๋ไปสู่กระเช้าลอยฟ้าที่อยู่ห่างกันพอสมควรเพื่อทำเวลา


    นิติ๊ด,พี่ต้น,คุณชายปลื้ม กำลังทำ role play พระเจ้าเบ๋าได๋
  •                      เมื่อเรามาถึงจุดปล่อยกระเช้าลอยฟ้า”เคเบิ้ลคาร์” ฟ้ากลับเปิดจนเห็นแดดอ่อนๆแล้ว หมดกังวลเรื่องฝนจะตกไปเปราะนึง 
                         เรานัดแนะกับลุงคนขับให้ไปรอรับเราอีกฟาก ลุงก็พยักหน้าๆ ไม่รู้ว่าลุงเข้าใจถูกรึปล่าว หารู้ไม่ว่าเวลาได้เดินมาถึงเที่ยงวันแล้ว พนักงานที่ดูแลเคเบิ้ลคาร์ก็พักเที่ยง เราเลยต้องไปนั่งรออยู่นานจนกว่าเค้าจะเปิดทำการในช่วงบ่าย 
                         บ่ายโมงเสียที พวกเรารีบเดินไปที่เค้าท์เตอร์เพื่อเตรียมตัวเสียตังคนละ 60000 ดอง เพื่อแลกกับประสบการณ์เสียวเล็กๆที่นี่ (ผมคิดว่าผมไม่กลัวความสูง แต่ก็หวิวๆตลอดเวลาอยู่ที่สูง) 
    กระเช้าลอยฟ้านี้จุคนได้ 4 คน แต่ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเค้าปล่อยให้เราขึ้น 5 คนได้ไง ก็โอเค ช่างมัน จะได้ถึงพร้อมกัน
          เนื่องจากไม่ได้ถ่ายรูปมาระหว่างนั้น จึงขอยืมจากทางเว็บ vinatravel.com นะครับ
                         ระยะทาง 2300 เมตรกับความสูงที่มีขึ้นมีลงตลอด กำลังรอเราอยู่ แน่นอนว่า คุณลุงคนขับก็รอพวกเราอยู่นานแล้วเช่นกัน 
                         ตลอดระยะทาง ผมได้เพลิดเพลินไปกับความงามของขุนเขาสีเขียวทางฝั่งซ้ายมือและโซนชุมชนซึ่งเต็มไปด้วยตึกหลากสีทางฝั่งขวามือ จากที่รู้สึกหวิวๆในตอนแรกกลับกลายเป็นเริ่มคุ้นเคยกับมันเสียแล้ว 
                          เราใช้เวลา 15 นาที บนกระเช้าจนมาถึงสถานีปลายทาง เราเลยรีบไปหาลุงกลัวว่าจะรอนาน รวมถึงความรู้สึกที่อยากไปเที่ยวอีกที่แล้ว 
                          คุณลุงเหมือนรู้ดีอยู่แล้วว่าเราต้องมาถึงช้าและรู้อีกว่าเราจะมาหาแกเมื่อไหร่ แกเดินออกมาจากนอกรถด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มอีกเช่นเคย พร้อมชี้ให้ไปเดินเที่ยวต่อที่สถานธรรมข้างๆ 
                          
                           “อ้าว นี่มันไม่ได้อยู่ในโปรแกรมนี่นา” ผมคิดในใจ … 
    ____________________________________________________________________

                      บอกตามตรงว่าผมเริ่มเหนื่อยเล็กๆกับการเที่ยวแล้ว อาจเป็นเพราะการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอรวมถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจากเมืองที่แล้วสู่เมืองนี้ 
                       ผมเดินไปตามบันไดวัดและหวังว่าคุณลุงจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างน้อยก็ขอให้มีมุมสงบๆเย็นๆสักหน่อยแล้วกัน 
         จนมาเห็นสถานที่ซึ่งคล้ายกับศาลเจ้าและเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายกับวัดทรงนิกายเซน มหายาน แบบที่แพร่หลายในจีนและญี่ปุ่น ดูสะอาดตาจังเลย และรอบๆนั้นเต็มไปด้วยสวนดอกไม้ต่างๆที่ทำให้ดูรื่นรมย์และผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ โดยวัดนี้มีชื่อว่า วัด”ตั๊กลัม” วัดอันเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในการมาเยี่ยมชมซักครั้งถ้ามาถึงดาลัท

    วัดตั๊กลัมนะครับ ไม่ใช่วัดเสี้ยวหลินยี่
                  แน่นอนว่าเราก็ใช้เวลาถ่ายรูปที่นี่กันไม่นาน รวมถึงนั่งผ่อนคลาย ส่วนเพื่อนบางคนก็เข้าไปสักการะพระพุทธรูปข้างในศาลเจ้า เมื่อทำกิจกันเสร็จแล้ว ก็พร้อมไปสถานที่ท่องเที่ยวต่อไป ที่ผมอยากมามากที่สุด


    (จากซ้ายสุด)นิติ๊ด, คุณชายปลื้ม, พี่ต้น, จ่าตุล, และผม กับรูปท้ายรวมกลุ่มอย่างเป็นทางการรูปแรก
    (จากซ้าย) จ่าตุล, ผม, พี่ต้น, และ นิติ๊ด กับประตูทางเข้า

  •                   ผมไม่ค่อยถูกโฉลกกับการเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวต่างๆเท่าไหร่ ตอนไปสวนสนุกดรีมเวิร์ล กับแฟน ก็ใช้เวลาทำใจอยู่พักใหญ่เหมือนกันกว่าจะยอมเล่นเครื่องเล่นพวกนี้ และหลังจากที่เล่น สภาพผมก็ไม่ต่างอะไรกับคนพึ่งได้รับเหตุสะเทือนขวัญมาทุกครั้ง
                      แต่กลับกันเลย ในทริปนี้ผมวางสถานที่นี้ให้เป็นที่ที่ต้องมาให้ได้ สถานที่ว่านี้คือน้ำตก”ดาตันลา” เป็นน้ำตกที่เอาตามตรงก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก แต่ที่นี่เต็มไปด้วยกิจกรรมมากมายซึ่งพร้อมจะดูดตังเรา 
                      ค่าเข้าสถานที่อยู่ที่ 30000 ดอง ส่วนการจะเข้าถึงน้ำตกมีสองแบบคือ เดินเข้าไปซึ่งฟรีแต่ไกลมาก ส่วนแบบที่สองคือแบบที่คุณต้องลองเลย คือการนั่ง รถราง roller coaster (คล้ายๆรถไฟเหาะแต่นั่งได้แค่คนเดียว) นี่แหละคือสิ่งที่ดึงดูดผมอย่างรุนแรง ต่อให้ที่ไทยผมกลัวการเล่นเครื่องเล่นพวกนี้แค่ไหน แต่สำหรับที่นี่ ความกลัวคือข้อยกเว้น 
                     ผมจ่าย 60000 ดองสำหรับนั่งไปกลับ ก่อนจะออกตัวเจ้าหน้าที่ก็สอนการเล่นเครื่องเล่นนี้คร่าวๆ โดยขาไป เราสามารถควบคุมความเร็วได้โดยจะมีแท่นควบคุมอยู่ข้างๆโอเค ไม่ยาก ผมพร้อมแล้วครับพี่ 
                     รัดเข็มขัดให้แน่น นั่งหลังตรง และพร้อมพุ่งทะยานได้แล้ว!
    ลุยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!

                      ผมเพลิดเพลินกับความเร็วและแรงเหวี่ยงนี้เหลือเกิน โดยไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆ แต่แน่นอนว่าการที่เราบังคับได้ ก็จะมีบางคนที่ไม่ประสงค์เรื่องความเร็ว จึงทำให้เกิดการเสียขบวน คันที่ตามมาก็เซ็งตามๆกันไป รวมถึงผมด้วย 
                      เรามาเรื่อยๆด้วยความเร็วที่ไม่สม่ำเสมอ เร็วบ้าง ช้าบ้าง ผมเซ็งนิดหน่อย แต่ก็ดีกว่าเดินลงมาเอง จนมาถึงสุดเส้นทาง น้ำตกดาตันลารอเราอยู่ 

    ดาตันลา ฉันรักแกว่ะ เอ้ย! นั่นมัน ดากานดา!
                      น่าเสียดายว่าการจะเข้าไปถึงน้ำตกในแต่ละชั้นจะต้องเสียตัง เราเลยหยุดอยู่แค่นี้ และถ่ายแค่วิวก็พอ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่สักพักและลองเล่นหลายกิจกรรม ผมก็พบว่ามีกิจกรรมสุดเอ็กซ์ตรีมอีกมากมายรออยู่เหมือนกัน แต่มันก็ต้องแลกด้วยเงินเกือบเป็นแสนดอง กิจกรรมที่พอจะทำได้ตอนนี้ก็คือถ่ายรูปนี่แหละ 
                      เมื่อถ่ายรูปกันจนหนำใจ เราก็กลับโดยนั่งรถรางนี่อีกครั้ง น่าเสียดายที่ขากลับนี้ ขึ้นอย่างเดียว ไม่ต้องบังคับอะไร นั่งต่อสู้กับแรงดึงดูดของโลกก็พอ 
                      รถรางเคลื่อนตัวขึ้นบนทางลาดชันอย่างช้าๆจนมาถึงจุดที่เราเริ่มต้นอีกครั้ง ถือว่าพึงพอใจแล้วเมื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่แรกได้รับการปฏิบัติเสียที 
                      เหลืออีกสถานที่เดียวเท่านั้นก็จะเป็นการจบทริป Day Tour พวกเรายังไหวแม้จะเริ่มคิดถึงโฮสเทลกันแล้ว


  •                    สถานที่ต่อไปรู้สึกจะอยู่ไกลสุดเลย เพราะพวกเรานั่งรถอยู่นานเหมือนกันกว่าจะถึง จนในที่สุดก็ถึงซักที สถานที่ท่องเที่ยวนี้เรียกว่า ‘The Valley of Love’ หุบเขาแห่งความรักนั่นเอง 
    แน่นอนว่าชาวไทยค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้แน่ๆ เพราะความรู้สึกแรกที่พบเจอเลยคือผมรู้สึกว่ามันช่างคล้าย สวนนงนุชพัทยา หรือ สวนนกชัยนาท มากๆ
     
                       ความเหนื่อยล้าที่สะสมรวมถึงค่าเข้าที่แพงสุดเท่าที่เที่ยวมาในวันนี้ คนละ 100000 ดอง ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยล้าเข้าไปใหญ่ ขี้เกียจเดินรุนแรง แม้ราคาจะดูแพงแต่ก็แถมไปด้วยการนั่งรถชมรอบสวนฟรี และ ปั่นเรือเป็ดฟรี ก็พอจะทำให้รู้สึกบันเทิงขึ้นบ้าง (หรอวะ) 
                       สวนนี้เต็มไปด้วยต้นไม้และไม้ดอกนานาชนิด ถ้ามาเที่ยวเป็นที่แรกคงจะถ่ายรูปแทบทุกมุม แน่นอนว่าเราเหนื่อยแล้ว ขี้เกียจถ่ายรูปและขี้เกียจขึ้นแม้กระทั่งรถฟรีรวมถึงทัวร์จีนมาลงอีก จะให้มาประลองวิทยายุทธแทรกตัวขึ้นรถแข่งกับคนชาตินี้ ก็ยิ่งดูจะวุ่นวายเข้าไปใหญ่ เราเลยเลือกที่จะเดินมาถึงทะเลสาบเพื่อปั่นเรือเป็ด เราเดินลัดเลาะตามสภาพภูมิประเทศที่ทางสถานที่สรรสร้าง สิ่งที่เราได้รับในตอนนี้ก็คงเป็นกล้ามเนื้อไตรเซพและไบเซพที่เริ่มปูดขึ้นตามน่องแล้ว และการมาปั่นเป็ดก็ได้ทำให้กล้ามเนื้อตรงช่วงขานั้นชัดเจนขึ้นอย่างมาก เพราะยิ่งปั่นก็ยิ่งเมื่อย โอย ช่วยได้มากเล้ยยย
    ของฟรีที่มีขึ้นมาเพื่อทรมานพวกเรา
                 ซ้ำร้ายช่วงท้ายก่อนจะกลับก็เดินเล่นกับเพื่อนในเขาวงกตอีก ปวดเมื่อยไม่พอ ปวดหัวด้วยอีก 
                 ผมพอกันทีกับเดย์ทัวร์วันนี้ รวมถึงสมาชิกทัวร์ที่เหลือก็เห็นพ้อง เราเตรียมตัวกลับโฮสเทลเพื่อสิ้นสุดการท่องเที่ยวช่วงเช้าวันนี้แล้ว
                 ตลอดทางกลับนั้นพวกเราก็แอบกังวลว่าค่าทัวร์นี่มันทั้งกรุ้ป 700000 หรือคนละ 700000 กันแน่ จนเมื่อถึงปลายทางความกังวลก็หายไป เมื่อความจริงปรากฏว่าทั้งกรุ้ป 700000 เราเลยรู้สึกว่าคุ้มเหลือเกินเมื่อมาเป็นกรุ้ปแบบนี้ เราล่ำลาคุณลุงและขอบคุณที่ลุงคอยทำหน้าที่นำเที่ยวอย่างดีและยิ้มแย้มมาโดยตลอด แม้จะฟังเราไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม แนะนำครับ ถ้ามากันหลายคน ไม่ต้องซื้อทัวร์ตามโรงแรมหรืออะไรก็ได้ แพงกว่ากันเป็นแสน 
                  เราอยู่หน้าโฮสเทล Binh Yen Hotel ค่าที่พักสำหรับคืนนี้อยู่ที่คนละ 5 ดอลล่าห์ หรือ เกือบๆ 115000 ดอง เลือกจ่ายได้ตามสะดวก เมื่อเสร็จสิ้นการชำระเงินแล้ว เราก็ไม่รอช้าที่จะรีบไปที่ห้องพักแบบโฮสเทลโดยไม่รู้เลยว่าเราจะมีเพื่อนร่วมห้องเป็นใครบ้าง 
    เรามาถึงจัดการเก็บของ และพร้อมจะชาร์จแบตทั้งโทรศัพท์และแรงกายและนัดหมายกันว่าประมาณทุ่มนึงออกไปหาไรกินที่ถนนคนเดินดาลัทกัน
    ที่ซุกหัวนอนประจำราตรีนี้ 

                  And now battery is charging . . .
  •                พวกเราตื่นกันได้ตรงตามเวลาที่นัดหมายกันไว้ ไม่แน่ใจเพราะว่าความอยากไปย่ำราตรีหรือความหิวกระหายกันแน่ คราวนี้เรารู้ดีแล้วว่าการจะไปที่จตุรัสมันไกลเกินความมุมานะของพวกเราทั้งหมด เราเลยนั่งแท็กซี่ตรงหน้าโฮสเทลไปเสียเลย               
                   เรามาถึงจัตุรัสกลางเมืองที่เดิมที่เรามาเมื่อตอนเช้า แต่ต่างกันที่จากคนบางตาเมื่อรุ่งเช้ากลับหนาแน่นอย่างมากยามพลบค่ำ
     นี่มาขายของหรือเรียกร้องให้รัฐบาลชุดปัจจุบันออกกันแน่!?
                    ที่นี่เป็นถนนคนเดินที่ให้ความรู้สึกว่าวุ่นวายมากแทนที่จะน่าเดิน แถมยิ่งมีละอองฝนตกมาปรอยๆตลอดยิ่งทำให้รู้สึกเละเทะเข้าไปใหญ่ แต่ด้วยความหิว ทำให้เราพร้อมชนทุกสถานการณ์ 
    เราเดินสังเกตการณ์ไปเรื่อยๆก็พบร้านค้ามากมายไม่ว่าจะขายเสื้อผ้า ของจิปาถะทั่วไป ซึ่งดูๆแล้วก็คล้ายกันแทบทุกร้าน เช่นเดียวกันกับร้านอาหารก็ยังคล้ายกัน
                     ผมประเดิมด้วยอาหารที่เห็นมีขายอยู่แทบทุก5 เมตร ซึ่งคนที่นั่นเรียกว่า “พิซซ่าดาลัท” สนนราคาอยู่ที่ 20000 ดอง ลักษณะเป็นแป้งชนิดนึงทำการตีไข่ใส่เครื่องปรุงและเครื่องเทศลงไป รสชาติที่ออกมาเลยเหมือนกับขนมโตเกียวซึ่งมีความกรอบกว่า ผมจัดไป2 เพราะรู้สึกถูกโฉลกกับมันจริงๆ
     เมนูสุดโปรดประจำทริปนี้
                    พวกเราเดินเสาะหาของกินไปเรื่อย จนมาเห็นร้านสไตล์ไก่ย่าง ลูกชิ้นปิ้งอยู่แถบๆถนน เลยกะจะอุดหนุนซักหน่อยเพราะสิ่งที่กินมามันยังไม่พอ แต่แล้วต้องตกใจเมื่ออยู่ดีๆรถเข็นที่ขายกลับรีบไสรถเข็นหนีเลย ผมช็อค พร้อมนึกหาสาเหตุ เพราะอะไร เหตุใดเธอต้องไป (เพลงมา)
                    จึงมาทราบทีหลังว่ามีเทศกิจซึ่งดูเฮี้ยบมาก คอยจะมาเล่นงานพวกที่ขายกลางถนนแบบนี้โดยไม่จ่ายค่าที่ ผมนึกว่ามีเพียงร้านนี้ร้านเดียวแต่มองย้อนกลับไปตามทางที่เดินมาร้านค้าที่ตั้งบนถนนก็หายไปพร้อมกันหมดเลย สามัคคีชุมนุมจริงๆปวงชนชาวดาลัท

                     เราเดินกันผ่านย่านที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร พบเห็นคนออกมาเรียกแขกจำนวนมาก และบางร้านยังวางอาหารทะเลไว้อยู่หน้าร้านเป็นการทำให้รู้สึกอยากจะเข้าไปเหลือเกินแต่ต้องยับยั้งความคิดเอาไว้ เพราะพวกเราตกลงกันว่าจะไปจัดหนักเรื่องซีฟู้ดกันที่มุยเน่ เลยเลือกที่จะกินน้ำเต้าหู้แทน

                     น้ำเต้าหู้ที่นี่นั้นผมรุ้สึกว่ามันหวานน้อยกว่าที่ประเทศไทยเยอะ ขนาดใส่น้ำตาลตามเข้าไปเป็นจำนวนมาก ก็ไม่ได้ช่วยให้หวานขึ้นเลย แต่ทางร้านก็มีเครื่องเคียงให้กินมากมายไม่ใช่แค่ปาท่องโก๋ขนาดพี่บิ๊ก ยังจะมีเอแคลร์ และ ขนมปังที่คล้ายของมิสเตอร์บัน 
                    สำหรับค่าเสียหายในร้านน้ำเต้าหู้นั้นเราเสียไปคนละ 20000 ดอง ก็เพียงพอแล้วสำหรับการออกหากินในที่นี่ ได้เวลากลับไปที่โฮสเทล


                     ถึงเวลาซักทีที่จะได้ประเดิมเบียร์ที่นี่ …
                     เรามาถึงที่พัก พร้อมดิ่งไปที่ตู้ขายน้ำดื่ม และยี่ห้อแรกที่ผมเลือกลิ้มลองก็คือ เบียร์ 333 นี่เอง ราคาอยู่ที่กระป๋องละ 12000 ดอง
     
                      โดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกว่าค่อนข้างจืดใกล้เคียงน้ำเลย ไม่ประทับใจเท่าที่ควร แต่ราคาถูกในระดับที่กินแทนน้ำเปล่าเลยก็ได้ ผมจึงดื่มด่ำกับเบียร์ท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนความง่วงหงาวหาวนอนออกมาทำงาน 
                     วันนี้เต็มอิ่มแล้ว ได้ทำตามแพลนที่วางไว้แทบทุกอย่าง เราร่วมแชร์ประสบการณ์กับเพื่อนร่วมโฮสเทลที่เป็นชายชาวเวียดนามคนนึง รวมถึงได้ทักทายสาวจีนกลุ่มนึงที่อยู่คนละฝั่งที่พวกเรานอน 
                    วันนี้ดูผ่านไปอย่างราบรื่นดี แต่ความเหนื่อยล้าก็บอกกับผมว่าควรพักผ่อนเสียที พรุ่งนี้เช้าประมาณ 7 โมงต้องเดินทางต่อ 
     
                    ราตรีสวัสดิ์นะดาลัท มีโอกาสจะกลับมาเที่ยวที่นี่อีก…

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in