เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หนังชีวิตI-love-thee
It’s Kind of a Funny Story นี่คือตัวเราภายใต้ความกดดัน
  • “พระเจ้าโปรดประทานความเข้มแข็งให้ข้าเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ข้าทำได้
    ความกล้าที่จะยอมรับสิ่งที่ข้าทำไม่ได้ และความฉลาดที่จะรู้ความแตกต่าง


    ข้อความข้างต้นเป็นสิ่งที่ ดร.มิเนอร์วา ใช้ตอบความสงสัยของเคร็กในขณะที่กำลังสัมภาษณ์เพื่อติดตามอาการหลังจากที่เขาได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชแห่งนี้มาแล้วราวๆสองสามวัน

    It’s Kind of a Funny Story เป็นผลงานการกำกับของ Anna Boden และ Ryan Fleck ซึ่งดัดแปลงมาจากหนังสือนิยายชื่อเดียวกันซึ่งเขียนโดย Ned Vizzini เล่าเรื่องราวของ เคร็ก กิลเนอร์ (Keir Glichrist) เด็กหนุ่มวัยสิบหกที่ตัดสินใจล้มเลิกแผนการฆ่าตัวตายกลางคันแล้วพาตัวเองเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชในทันทีโดยที่ไม่ได้บอกใครไว้ก่อน

    แล้วก็บังเอิญกับที่แผนกจิตเวชวัยรุ่นนั้นกำลังอยู่ระหว่างช่วงปิดปรับปรุง เขาเลยถูกแอดมิดเข้าแผนกจิตเวชผู้ใหญ่ และได้เจอกับคนไข้รายอื่นที่มีอาการหลากหลายมาก บ้างก็พึมพำอยู่คนเดียว บ้างก็อ่อนไหวกับเสียงรบกวน บ้างก็มีท่าทางระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา และเคร็กก็ได้รับความช่วยเหลือจาก บ๊อบบี้ (Zach Galfianakis) ที่ดูภายนอกเหมือนเขาสบายดีทุกอย่างแต่เขากลับมีปัญหาบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในใจ

  • ชีวิตวันแรกในโรงพยาบาลของเคร็กมันดูไม่ง่ายเอาเสียเลยเมื่อภาพที่เขาคิดเอาไว้ดันไม่ตรงกับความจริงจึงขอร้องให้ ดร.มิเนอร์วา (Viola Davis) ปล่อยตัวกลับบ้าน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธโดยเธอบอกว่าเขาควรจะอยู่ที่นี่ 3 – 5 วันเป็นอย่างน้อย ในระหว่างการสัมภาษณ์เคร็กได้เล่าถึงความไม่เข้าใจต่างๆที่เกิดขึ้นในหัวของเขา พอเริ่มลำดับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตก็รู้สึกว่าตัวเองมีกรอบและเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนในสภาพแวดล้อมที่อุดมไปด้วยเพื่อร่วมชั้นเรียนเจ๋งๆมากมาย เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเพลนๆ ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมด้วยเหตุผลแค่นั้นในตอนนั้นถึงทำให้ตัวเองไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

    ในวันถัดมามีชั่วโมงการบำบัดแบบกลุ่มที่ทุกคนในนั้นจะนั่งเรียงกันเป็นวงกลม และพูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหาหรือความไม่สบายใจที่แต่ละคนได้พบเจอในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาในตอนแรกเราก็สงสัยว่าวิธีนี้มันจะช่วยได้จริงๆหรือ แต่สถานการณ์ในเรื่องนั้นทำให้เราเห็นประโยชน์ของการบำบัดแบบกลุ่มได้อย่างชัดเจน ซึ่งหลังจากนั้นเคร็กก็ได้รู้ว่าโลกข้างนอกนั้นยังมีอะไรอีกมากมายที่นอกเหนือไปจาการได้เข้าเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยดีๆรอเค้าอยู่

  • เราอาจจะรู้สึกว่าการที่ผู้ป่วยจิตเวชที่มีอาการแตกต่างกันมาอยู่รวมๆกันคงจะเป็นอะไรที่วุ่นวายน่าดู และมันก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ว่าผู้ป่วยแต่ละคนส่วนใหญ่สามารถรับรู้ และเข้าใจถึงความแตกต่างเหล่านั้น พวกเขาใจได้ว่ามีผู้ป่วยคนนึงที่อ่อนไหวกับเสียง และจะไม่โกรธหรือถือสาเวลาเขาเดินมาต่อว่าเมื่อพูดคุยกันเสียงดัง (ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ดังขนาดนั้น) พวกเขาเข้าใจได้ว่ามีผู้ป่วยจิตเภทที่อยู่ดีๆก็ตะโกนด่าคนอื่นแบบสุ่มๆ และก็จะไม่โต้ตอบอะไรกลับไป ทุกสิ่งทุกอย่างในนั้นเป็นคล้ายๆกับสังคมจำลองที่ในวันใดวันนึงพวกเขาอาจจะได้ออกไปสัมผัส แต่อาจจะมีความต่างตรงที่คนส่วนใหญ่ในนั้นเปิดใจยอมรับให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมและพร้อมที่จะ cheer up อยู่เสมอเวลาที่ต้องทำอะไรสักอย่าง

    และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เคร็กเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือและซัพพอร์ตเพื่อนๆของเขาด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ประสบการณ์ที่เขาได้รับยังทำให้เขามีความกล้าที่จะทะลุตัวเองออกจากความกดดันและกรอบเดิมๆ ซึ่งคนอื่นบอกว่ามันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ แต่เขากลับเลือกเส้นทางของตัวเองที่เขารู้สึกสบายใจและมีความสุขมากกว่า

     ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงนั้นกว่าการที่เราจะหลุดพ้นจากความกดดัน และรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังบรรลุถึงสัจธรรมบางอย่างที่ทำให้เรามีความมั่นใจในการใช้ชีวิตได้อย่างเคร็กนั้น อาจจะไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ แต่ถ้าเราได้ลองถอยออกมาจากจุดที่ยืนอยู่ และมองโลกในมุมมองของบุคคลที่สามซึ่งทำให้เราเห็นภาพรวมของอะไรๆได้ชัดเจนขึ้นนั้น อาจจะทำให้เราได้ไอเดียบางอย่าง และหลุดโฟกัสจากอะไรต่อมิอะไรที่มันบั่นทอนชีวิตของเราได้ง่ายขึ้น


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in