เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
filmtofichoramiji
[LF] Way Down We Go 2: Part I (Chris x Cill, Jack x Tom x Fionn)
  • Title: Way Down We Go 2
    Continuity: Sequel to Way Down We Go (Part IIIIIIIVV here)
    Fandom: Dunkirk Cast
    AU: Mafia
    Theme Song: Way Down We Go - Kaleo



    เมื่อคุณแบ่งปันชีวิตกับใครสักคนไปนานๆ
    เปลือยทุกเปลือกเข้าหากัน

    คุณมักคิดว่าคุณรู้จักเขาดีกว่าใคร


    .
    .

    "เหมือนซานตาคลอสจริงๆ..."

    ริมฝีปากจิ้มลิ้มพึมพำ
    หัวเราะในลำคอกับภาพตรงหน้า

    ครีมขาวฟูฟ่องจับจองสันกรามนุ่มนิ่มเรื่อยไปตามแนวไรหนวดและเครา บนใบหน้าของหนุ่มใหญ่ที่ตื่นมาเจอทุกเช้า กับร่องรอยอ่อนโยนในดวงตาที่ได้เห็นเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนหลับใหลทุกค่ำคืน เขา...ผู้ทำให้ชีวิตแต่ละวันเป็นดั่งเทพนิยายได้เพียงแค่มีตัวตนอยู่เท่านั้น

    มีอยู่ และ...เป็นของกันและกัน

    คริสอมยิ้ม
    ยื่นหน้าไปจูบคนบนเคาน์เตอร์เบาๆ

    ป้ายแก้มตนเข้ากับแก้มตอบ
    ซ้ายและขวา แบ่งครีมให้

    "มีซานตาคลอสสองคนแล้ว..."

    ชั่วนิรันดร์เคยเหมือนเกินฝัน แต่กลับมีจริง?

    คิลเลียนหลุดหัวเราะ
    ป้ายครีมเพิ่มให้ใหม่

    "คิดว่าน่ารักมากไหม ห้าสิบกว่าแล้วนะ"
    "น่ารักไหมไม่ทราบครับ แต่คุณรักแน่นอน"
    "เงียบไปเลย เดี๋ยวบาด"

    มือเล็กประคองโครงหน้านั้นไว้ เริ่มโกนหนวดให้ คริสเงียบลง แต่ลอบยิ้มในมุมปากใต้ฟองครีม...ในแววตาซึ่งกลอกขึ้นสูง ทว่ายังแอบหลุบลงเล็กน้อย มองพระจันทร์คู่โตทอประกายความตั้งอกตั้งใจพิถีพิถันนั้น ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไร ก็ยังคงกล้ามองเพียงเมื่อมันไม่ได้สนใจเขาตอบอยู่ดี

    บางสิ่งคงทนเหนือกาลเวลาเสมอ
    โดยเฉพาะความรัก, โดยเฉพาะหัวใจ

    "ผมเริ่มเคลียร์คิวฝึกม้าแล้วนะ อีกสักพักจะกลับไปเยี่ยมทอม..."

    จุ่มมีดโกนในอ่างน้ำ ชำระคราบ
    ปาดกับผ้า ยื่นให้เจ้าของมือใหญ่

    "ให้ผมไปด้วยไหมครับ"
    "ถ้าว่างก็มาสิ..."

    เงียบไป เมื่อคริสเริ่มโกนหนวดให้บ้าง

    คิลเลียนรู้หน้าที่ว่าต้องหลับตา ไม่อย่างนั้นคนถูกมองจะต้องมือสั่น แน่นอน...เขาไม่อยากลงข่าวหน้าหนึ่งเป็นโศกนาฏกรรมถูกมีดโกนบาดตาย คนอะไรยังเขินสายตาเขาได้ทั้งที่อยู่ด้วยกันมาสี่ห้าปี บางทีก็อยากพาไปให้จิตแพทย์ตรวจสุขภาพจิตอยู่เหมือนกัน ดูไม่น่าปกติเอาเสียเลย

    "คุณจะไปชัวร์ๆ ช่วงไหนครับ ผมจะได้จัดตารางงานหลบถูก"

    คริสล้างใบมีด เช็ด ชะงักรอ
    "สักต้นเดือนหน้าละมั้ง" ตอบทั้งหลับตา

    ใบมีดเปลี่ยนฝั่งมายังแก้มอีกข้าง

    "คุณผอมจังเลย..."

    เสียงทุ้มนุ่มพึมพำ นิ่มนวล
    แฝงความห่วงใย สัมผัสได้ผ่านน้ำเสียง

    คิลเลียนทำเสียงรับรู้ในลำคอ ไม่ได้เอ่ยอะไรตอบ คริสบ่นอย่างนี้เป็นประจำนั่นละ บ่นทีก็หาอะไรมาขุนมาบำรุงทีอยู่เป็นเดือน ไม่ได้ช่วยให้มีเนื้อมีหนังขึ้นมาเท่าไร ก็ยอมแพ้ แต่สักพักก็จะกลับมาบ่นอีก วนไปอย่างนี้ น่ารักดี

    ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดีแล้ว
    คริสอุ้มคนตัวเล็กลงจากขอบอ่าง

    "จริงๆ ผิวผมอาจจะแค่เหี่ยวก็ได้..."
    คริสส่ายศีรษะ "คุณผอม"
    "ใครจะไปพุงพลุ้ยเหมือนคุณ"

    ไม่แซวเปล่า เอามือตบเล่นเป็นเรื่องสนุก
    คริสยิ้มเอ็นดู มือคู่นั้นเลื่อนขึ้นโอบรอบลำคอ

    "ผมอยากกลับคอร์กด้วย หลังจากลอนดอนน่ะ คุณคิดว่าไง..."

    อ้อมแขนอบอุ่นโอบรัดเอวสอบเข้ามาหลวมๆ

    "เอาสิครับ"

    เกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากเจ้าตัวขึ้น
    จรดริมฝีปากพรมความอ่อนโยนรักใคร่ลงไป

    "ที่ไหนมีคุณ ผมก็อยากไปด้วยทั้งนั้น..."

    อยู่ที่ไหน ไม่เคยสำคัญเท่าอยู่กับใคร
    อยู่กับ...คุณ

    เพราะเพียงมีเราอยู่ด้วยกัน
    ก็เหมือนได้สร้างโลกขึ้นมาอีกใบ

    โลก...ที่เป็นของเราเท่านั้น

    โลก...ที่ควรจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
    แต่...

    คิลเลียนยิ้ม ซุกหน้าลงกับอกกว้าง
    ถูไถออดอ้อนคล้ายลูกแมว

    ชั่วนิรันดร์นี่มัน...คงอยู่ได้นานแค่ไหนกันนะ?

    .
    .

    "พี่กลับไปนอนเถอะ"

    พึมพำ ไม่เงยหน้าจากแฟ้มงานด้วยซ้ำ
    คนนั่งสัปหงกสลัดหัวไล่ความง่วงงุน

    "รอ..."

    รอเก่งเป็นที่หนึ่งจริงๆ

    แจ็คทำแบบนี้มาตั้งแต่ทอมยอมแต่งเข้าบ้านอีกครั้ง เขาไม่ปล่อยให้คนบ้างานหลับคาออฟฟิศเหมือนเดิมแล้ว จะเฝ้าจนกว่าหัวหน้าแก๊งเรดแฮนด์จัดการทุกอย่างเสร็จ เพื่อรับกลับบ้านไปนอน ต่อให้วันนั้นตนจะเหนื่อยมาจากงานของเอิร์ลเองแค่ไหนก็ตาม

    เสมอต้นเสมอปลายอย่างไม่น่าเชื่อ

    "..."

    เอิร์ลหนุ่มอาจเข้มงวดกับลูกน้อง และหัวร้อนหงุดหงิดเรื่องงานได้ง่าย แต่กับสิ่งที่รัก เขากลับใจเย็น อ่อนโยนและทะนุถนอมเป็นพิเศษ เฝ้าเอาใจใส่รักใคร่ดูแล ยอมได้ทุกอย่าง ทั้งไม่กล้าแม้แต่จะทำให้ขุ่นเคืองระคายใจ เขารับรู้จากน้ำเสียงว่าทอมแค่เกรงใจเท่านั้นจึงเลือกจะอยู่ หากอ่านได้ว่าอีกฝ่ายยืนกรานเชิงไล่เมื่อไร เขาจะไปในทันที

    ครั้งสุดท้ายที่ทอมรู้สึกว่ามีคนอ่านใจตนได้ขนาดนั้น คือตอนพ่อยังอยู่ด้วยกัน

    ลูกแก้วสีครามเหลือบมองแจ็คอีกครั้ง
    คนถูกมองไม่ได้รู้ตัว แค่นั่งจ้องพื้นอยู่นิ่งๆ

    ฟึบ

    เสียงปิดแฟ้มดึงคนรอออกจากภวังค์

    "เสร็จแล้วเหรอ..."
    ทอมเป่าลมพองแก้ม "ยังหรอก แต่ช่างมัน ทอมหิว ป่านนี้จะยังมีร้านเปิดไหมครับ..."
    "พี่รู้จักร้านหนึ่งที่ยังเปิด"
    "งั้นไปกัน"

    แจ็คคว้าเสื้อโค้ทพาดไหล่ ยืดตัวขึ้น
    คนตัวเล็กยังนั่งอยู่ที่เดิม

    ยื่นแขนออกมารอ

    ลักยิ้มข้างแก้มขาวบุ๋มลึกลง ขายาวสาวไวๆ ไปฉุดเด็กขี้อ้อนให้ลุกจากเก้าอี้ ทอมไม่เพียงยืนขึ้น แต่โถมร่างเข้าใส่ กอดคนตัวโตเอาไว้ แจ็คต้องหัวเราะน้อยๆ ด้วยความประหลาดใจ

    "อะไรครับ"

    แขนแกร่งโอบตอบหลวมๆ
    คนตัวเล็กส่ายหน้าดิ๊ก "เปล่า..."

    ไม่เซ้าซี้ ยีผมนุ่มสลวยเล่นด้วยความเอ็นดู

    "ไปรึยังครับ หิวไม่ใช่เหรอ"
    "อือ"

    ร่างสูงสะบัดเสื้อโค้ทตัวยาวเข้าคลุมไหล่เล็กบาง จูงมือคนทำตัวน่ารักออกจากห้องทำงาน เขาพยายามไม่ตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี้มากนัก แต่ก็อดมือสั่น หัวใจพองโตไม่ได้เลย

    อยากหยิกตัวเองให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝัน

    แต่มือเล็กที่ค่อยๆ สอดสานนิ้วทั้งห้าเข้าหามือของเขาได้ทำหน้าที่นั้นไปแล้ว

    "อา..."

    ออกมาหน้าตึก ถึงรู้ว่าหิมะเริ่มตก

    ทอมยิ้มกว้างสว่างไสว
    ยื่นมืออีกข้างออกไปสัมผัสปุยสีขาว

    เห็นเนียนแก้มที่ถูกรอยยิ้มดันออกไปกองกันจนนุ้ยนิดๆ น่ารักแล้วมันเขี้ยวนัก แจ็คอดรนทนไม่ไหว ต้องโน้มสันจมูกโด่งลงไปขโมยความหอมดูสักครั้ง ผิดคาดก็แต่คนถูกจู่โจมไม่ตกใจหรือขัดขืน ทั้งยังขยับเบี่ยงเอียงคออีกนิด

    เปลี่ยนสัมผัสอันมักน้อยนั้นให้กลายเป็นจูบ

    จูบแรกระหว่างกันหลังจากวันขอแต่งงานใหม่

    ที่สำคัญ...ทอมเริ่มก่อน

    เมื่อถอนจูบ ไม่มีใครนึกเสียดาย เพราะในแววตาที่สบมองกันและกันนั้นทำความเข้าใจกันดีแล้ว ว่าต่อจากนี้ จุมพิตแสนหวานจะตามมาอีกเป็นร้อยเป็นพัน เหมือนเกล็ดหิมะที่ร่วงโรยโปรยปรายลงมาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไร

    ริมฝีปากคู่สวยนั้นเป็นสิทธิ์ของเขาแล้ว

    .
    .

    แบร์รี่ยังแวะมาทักทายคนขายดอกไม้ทุกวัน

    แต่เดี๋ยวนี้ถ้าวันไหนพบว่าฟินน์อยู่ เขาจะรีบไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น มีไม่กี่วันที่เขาได้อ้อยอิ่งอยู่ในร้านโดยไม่กระอักกระอ่วนใจ โชคร้ายนัก วันนี้ก็ไม่ใช่วันแบบนั้นเช่นกัน

    "ไปนะ" บอกลาห้วนสั้น ยิ้มเพียงเล็กน้อย

    ฟินน์มองตามคนที่เดินไปขึ้นรถ
    ดึงคนกำลังตัดแต่งก้านกุหลาบลงมานั่งตัก

    "พี่รู้จักกับแบร์รี่มานานแล้วเหรอครับ..."
    "ตั้งแต่เด็กเลยละ" อนายรินยิ้ม "ตั้งแต่จำความได้เลยดีกว่า นานกว่าที่พี่รู้จักแจ็ค หรือแจ็ครู้จักแบร์อีก"
    "..."

    ฟินน์ไม่ถามอะไรต่อ ปลายนิ้วเขี่ยบรรดาหนามกุหลาบแหลมคมซึ่งถูกตัดออกมากองกันบนโต๊ะเล่น ครุ่นคิดอะไรในใจเงียบๆ

    ลูกค้าใหม่เข้าร้าน
    อนายรินลุกขึ้นจากตักเขา

    "อรุณสวัสดิ์ครับ สารวัตร"

    อีกฝ่ายยิ้มรับ ถอดหมวกออก
    หางตาเหลือบมองฟินน์เล็กน้อย

    "ผมอยากได้อะไรที่ไม่ใช่กุหลาบ..."
    "อ่า ให้ใคร ในโอกาสอะไรครับ"
    "วันเกิด" ลีโอตอบ "คนชอบหมาเขาชอบดอกไม้อะไรกันน่ะ"
    อนายรินหัวเราะ "คงไม่ชอบดอกไม้หรอกมั้งครับ ซื้อหมาให้ดีไหม"
    "มีเยอะเป็นฟาร์มอยู่แล้วน่ะสิ" คุณตำรวจอมยิ้ม
    "เดี๋ยวผมดูให้นะครับ ถ้าไม่รับกุหลาบ..."

    คนขายเดินหายไปหลังร้าน

    ลีโอนาร์โดขยับเข้ามาใกล้ฟินน์
    กระซิบ ลอดไรฟัน "ฉันไม่รู้ว่านายรอดคดีคราวก่อนได้ยังไงทั้งที่หลักฐานแน่นขนาดนั้น แต่มันหยุดฉันไม่ได้หรอก..."
    "..."

    มาเฟียหนุ่มไม่โต้ตอบ ไม่ยิ้ม ไม่อะไรทั้งสิ้น
    แต่ก็ไม่ได้หลบตาสารวัตรใหญ่คนเก่งเช่นกัน

    เทียบกับเรดแฮนด์หรือเอิร์ลแล้ว ลีโอหงุดหงิดกับแก๊งของเจ้าเด็กตรงหน้านี่มากกว่าหลายเท่านัก เพิ่งโผล่มาไม่เท่าไรแต่กิจการกลับดูโตไวและเส้นใหญ่เหลือเกิน ผู้พิพากษาที่เขาเชื่อสุดใจว่าไม่เคยรับสินบนยังยกฟ้องในคดีอันแน่นหนาด้วยหลักฐานของไวท์เฮดอย่างน่าโมโห

    ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังมีใครหนุนอยู่กันแน่

    "สแตทิซนี่แห้งแล้วยังสวยอยู่ได้นาน ชอบไหมครับ"

    อนายรินกลับมาพร้อมกลุ่มดอกไม้สีม่วงอ่อน
    บรรยากาศตึงๆ ผ่อนคลายสลายไปในอากาศ

    "จัดช่อให้ด้วยนะ ขอบคุณ"

    สายตาลีโอยังจับจ้องมองคนรักเจ้าของร้าน

    ฉันต้องรู้เรื่องนายให้ได้

    .
    .

    เมื่อคุณแบ่งปันชีวิตกับใครสักคนไปนานๆ
    เปลือยทุกเปลือกเข้าหากัน

    คุณมักคิดว่าคุณรู้จักเขาดีกว่าใคร
    ดีกว่า...ทุกคน

    แต่ความจริงมักไม่ใช่อย่างที่คุณคิด

    .
    .

    "เจ้านายให้ผมมารับคุณน่ะ"

    โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์โผล่หน้ามาจากรั้วกั้นสนามขี่ม้า ในชุดสูทกั๊กตามสไตล์ประจำตัว เหงื่อโชกคอเสื้อเหมือนวิ่งกระหืดกระหอบมา สีหน้าจัดว่าเคร่งเครียดสำหรับคนสบายๆ กึ่งยียวนเป็นนิสัย มือข้างหนึ่งรั้งซองบรรจุชุดสูทพาดไว้เหนือบ่า คงเป็นชุดที่เตรียมมาสำหรับเขา

    แต่เพื่ออะไร?

    "ขอพามันวิ่งอีกสักรอบได้ไหม" คิลเลียนต่อรอง
    โจเซฟส่ายหัวแรง "ผมต้องไปส่งคุณให้ถึงที่หมายตอนหนึ่งทุ่มตรง"
    "ที่ไหน"
    "เดี๋ยวก็รู้เอง"
    คนฟังเลิกคิ้ว "บอกได้ไหมว่าเรื่องอะไร"

    มือขวาของคริสเม้มปาก

    "เรื่องใหญ่"
    "..."

    นัยน์ตาคนพูดไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย

    "เรื่องใหญ่มากๆ"

    .
    .

    เรื่องดูจะใหญ่อย่างที่หมอนั่นว่า

    คริสรอเขาอยู่แล้วในภัตตาคารหรู เจ้าตัวอยู่ในทักซิโด้แบบเดียวกันกับที่เขาใส่ ต่างเพียงขนาด ใบหน้ามีร่องรอยความกังวลมากสุดเท่าที่เคยเห็นตั้งแต่รู้จักกันมา โจเซฟเลื่อนเก้าอี้ให้คิลเลียนนั่ง เป็นบริการสุดท้ายก่อนกลับไป คนตัวเล็กไม่รอช้า เอียงตัวเข้าใกล้ กระซิบกระซาบถามคนข้างกายทันที

    "นี่มันเรื่องอะไรกัน"

    คริสไม่ตอบ ดึงมือเล็กไปกุมไว้

    "คุณทำผมกลัวนะ คริส..."

    เขารู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ

    หัวใจยิ่งหล่นวูบลงไปเมื่ออีกฝ่ายปล่อยมือเอาเสียดื้อๆ และลุกขึ้นยืน ให้เกียรติใครอีกคนที่เข้ามาร่วมโต๊ะอาหาร ผู้หญิงคนนั้นมาพร้อมบอดี้การ์ดในชุดทักซิโด้สองคน ใบหน้ามีริ้วรอยบ่งบอกอายุ แต่ก็ยังจัดว่าสวยสง่านัก เรือนผมสีบลอนด์ซีดจางราวแสงจันทร์เกล้าขึ้นเป็นมวยเรียบตึงไม่แตกแถวสักเส้น แววตานิ่งเรียบเยียบเย็นยิ่งกว่ามือเขาในตอนนี้ และจะบอกว่าดูคุ้นก็ไม่เชิง แต่รู้สึกคับคล้ายคับคลาไม่น้อยเลยจริงๆ

    สมองยังประมวลไม่ทันว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ใช่อย่างที่เดาหรือเปล่า แต่ร่างกายก็สั่งตัวเองลุกยืนตามคริสไปโดยอัตโนมัติ แม้จะช้ากว่าหลายอึดใจก็ตามที

    คริสเอื้อมไปเชยหลังมือในถุงมือสีขาวมุกขึ้นจุมพิต

    "ดอนน่าคริสติน่า..."

    ดอนน่า?
    หรือว่าผู้หญิงคนนี้ก็เป็น...?

    "โตแล้วพูดคำว่าแม่ไม่เป็นหรือไง"

    แม่!?

    ไร้ซึ่งคำพูดใดจากปากคนเป็นลูกชาย
    เธอตวัดหางตามามองเขาด้วยเล็กน้อย

    "นั่งสิ"

    เสียงนุ่มนวล แฝงอำนาจอันอธิบายไม่ได้

    ทั้งเขาและคริสต่างพากันหย่อนตัวลงนั่งในความเงียบ ขณะที่ความคิดในหัวคิลเลียนตีกันลั่นไม่หยุด เขาไม่เคยเจอแม่ของคริสมาก่อนแม้แต่ตอนที่ครอบครัวคุณชายไปพักบ้านในไอร์แลนด์ พ่อของคริสออกมาขี่ม้ากับลูกบ้าง แต่แม่...ไม่เคยออกมาให้เห็นสักครั้ง และนอกจากเรื่องว่าแม่หย่ากับพ่อและพาหนีมาอยู่อเมริกา คริสก็ไม่เคยพูดถึงแม่เลย จนเขาคิดว่าท่านอาจจะเสียไปนานแล้วด้วยซ้ำ แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่

    หล่อนกระแอมขึ้นมาเบาๆ
    คริสจึงเอ่ยแนะนำ

    "คิลเลียนครับ นี่แม่ผม..."

    เขาไม่ขยับ ไม่ทำอะไรเลย ไม่ได้รั้งมือหล่อนมาจุมพิตอย่างที่ควรทำด้วยซ้ำ เอาแต่จ้องจนเสียมารยาท อาจเพราะติดใจสงสัยไปหมดทุกอย่าง และบรรยากาศรอบตัวคริสติน่าก็เป็นอะไรที่อ่านไม่ออก ไม่เคยพบเจอใครไร้ซึ่งร่องรอยทางความรู้สึกอย่างนี้มาก่อนในชีวิตจริงๆ หล่อนอ่านยากยิ่งกว่าคนเป็นลูกชาย จนคิลเลียนรู้สึกเหมือนคนตาบอดหลงทางในความมืด

    นัยน์ตาจะอ่อนโยนก็ไม่ใช่ จะเย็นชาก็ไม่เชิง
    คิดอะไรอยู่ไม่มีวันรู้ได้เลย

    เขาเลียริมฝีปากอันแห้งผาก "เห็นคริสเรียกคุณว่าดอนน่า..."

    "ใช่อย่างที่เธอคิด"

    สุรเสียงยืนยันความคิดผู้ถาม

    นี่เป็นครั้งแรกที่คิลเลียนเคยได้ยินและยิ่งกว่านั้น...ได้ประสบพบดอนที่เป็นผู้หญิงด้วยตนเอง ญาติที่ชวนเขาไปเข้าแก๊งในลอนดอนก็สืบเชื้อสายชาวซิซิลีมา เขาจึงคุ้นเคยกับขนบธรรมเนียมบางอย่างของชนชาติจากแถบนั้นของอิตาลี เจ้าพ่อมาเฟียจะต้องได้รับความเคารพด้วยคำนำหน้าว่า ดอน ตามด้วยชื่อจริง ดอนน่า เป็นคำสำหรับเพศหญิงของดอน แต่อย่างที่บอก ไม่เคยมีดอนที่เป็นผู้หญิงมาก่อนในประวัติศาสตร์ มันค่อนข้างแหกขนบของชาวซิซิลี

    แล้วถ้าคริสติน่าเป็นอเมริกันเชื้อสายซิซิลี...
    อย่างน้อยคริสก็ต้องมีเสี้ยวด้วย

    และจะทางไหน คริสก็เป็นลูกมาเฟียอยู่ดี

    นี่แปลว่าบางที...เขาอาจจะรู้จักคนรักได้ไม่ถึงครึ่งของตัวตนเลยก็ได้ น่าเจ็บปวดสิ้นดีเมื่อคิดเช่นนั้น คริสอาจไม่ใช่ดาวหาง แต่กลับเป็นหลุมดำ เป็นปริศนาลุ่มลึกซึ่งรอการค้นพบอันไม่สิ้นสุด และโดยไม่รู้ตัว...อาจเป็นหายนะที่พร้อมจะกลืนกินชีวิตเขา

    "ทานกันเถอะ ก่อนอาหารจะชืด"

    น้ำเสียงไม่ได้สั่ง แต่กลับมีอำนาจสั่ง

    มื้อค่ำดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ เขาไม่เคยอึดอัดใจกับการรับประทานอาหารขนาดนี้มาก่อน ได้แต่บังคับกรามให้บดเคี้ยวสิ่งที่ช้อนส้อมส่งเข้าปากโดยไม่รู้รส คำถามมากมายวนเวียนแหวกว่ายวุ่นวายอยู่ในใจ แม่ของคริสอยากเจอเขา? ทำไม? แล้วทำไมคริสต้องดูเครียดขนาดนั้น? เพราะรู้ว่าแม่ต้องการอะไรหรือ? แล้วสิ่งที่หล่อนต้องการคืออะไร? คงไม่ได้เกี่ยวกับเขาหรอกใช่ไหม? เขามานั่งอยู่ตรงนี้ในฐานะอะไรกันแน่ ไม้ประดับหรือหัวใจของประเด็น?

    "พูดน้อยอย่างนี้เป็นปกติหรือ?"

    คิลเลียนวางแก้วไวน์ที่กำลังจิบ
    พยายามยังไงก็ได้ให้มุมปากดูเหมือนยิ้ม

    "เหมาะกับคริสดี ได้ฟังเขาพูดทั้งวันเลยสิ"

    ไม่แน่ใจว่าพูดจริงหรือประชด
    ยืนยันว่าเขาอ่านความคิดหล่อนไม่ได้จริงๆ

    "เงยหน้าซิ..."

    ดอนน่าเอ่ย คิลเลียนว่าง่ายเหมือนผู้สั่งเป็นแม่ของตัวเอง เธอมองเขา และยิ้มเรียบๆ

    "ชอบตาของเธอจัง"

    ปลายนิ้วหล่อนเชยคางเขาขึ้นอีกนิด
    คริสมองตามมือของแม่หวาดๆ

    และหล่อนก็ปล่อยทันทีที่รู้สึกว่าลูกชายระแวดระวังขึ้นมา รวบช้อนส้อมมีด ตวัดผ้าเช็ดปากขึ้นซับ จิบน้ำเปล่า ลุกขึ้นยืน

    "น่าเสียดายแย่ถ้ามันจะ..."

    ไม่มีส่วนเติมเต็มต่อจากนั้น
    นั่นจะใช่...คำขู่หรือเปล่า?

    เขาไม่รู้ และไม่มีวันได้ถามให้รู้แน่ชัด
    หล่อนจากไปรวดเร็วเหมือนตอนปรากฏตัว

    มือใหญ่คว้าต้นคอเรียกเขาในฉับพลัน

    "คุณต้องกลับอังกฤษคืนนี้เลย"
    "แม่คุณต้องการอะไรจากผม คริส?"
    เจ้าตัวฉุดเขาลุกเดินออกจากร้าน อธิบายระหว่างทาง "มันไม่เกี่ยวกับคุณ แต่แม่จะใช้ทุกอย่างที่ผมมีในชีวิตมาบีบผม คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว มันไม่ปลอดภัย"

    คำตอบนั้นไม่ได้ขยายความอะไรเลย

    คริสรุนหลังร่างเล็กขึ้นรถ
    ก่อนตามเข้าไป

    "คริส ผมไม่เข้าใจ..."

    มือนั้นชื้นเหงื่อไปหมดจนคิลเลียนใจไม่ดี

    "คุณเคยบอกว่าพ่อแม่หย่ากันเพราะเรื่องที่พ่อจะให้คุณเป็นเอิร์ลคนต่อไป ผมก็นึกว่าท่านจะ— คือผมไม่คิดมาก่อนว่าแม่คุณจะเป็นอย่างที่เจอวันนี้..."
    "มันไม่ใช่แค่นั้น" คริสกระซิบ
    ถอนหายใจ "แม่ไม่ยอมให้ผมสืบทอดตำแหน่งเอิร์ล เพราะต้องการให้ผมเป็นดอนคนต่อไปต่างหาก"

    คริสติน่าทะเลาะกับเบรนดัน ไม่ใช่เพียงเพื่อปกป้องลูกชายจากการลอบสังหารในฐานะทายาทของเอิร์ล ความจริงมันเป็นศึกแย่งชิงเพื่ออนาคตของแก๊งใครแก๊งมันโดยแท้ หล่อนต้องการให้คริสเป็นผู้สืบทอดของตน เป็นดอนแห่งตระกูลมาเฟียเก่าแก่ในมหานครนิวยอร์ก คริสคิดว่าแม่ปกป้องตัวเองมาตลอดจนกระทั่งโตพอจะระแคะระคายความจริงเรื่องนี้ จึงได้หนีมาอยู่ลอสแอนเจลิส

    แต่ลึกๆ เขารู้ดีว่าวันนี้ต้องมาถึง
    มันเป็นความจริงที่เขาไม่มีทางหนีพ้น

    "แล้วคุณจะเอายังไง..."

    แม้เจ็บปวดกับเรื่องที่ถูกปิดบัง
    แต่นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับความรู้สึกของเขา

    เรื่องสำคัญคือความรู้สึกของคริส

    "ผมไม่รู้..."

    เสียงทุ้มนุ่มพึมพำซ้ำๆ
    ซบหน้าลงกับฝ่ามือ

    คิลเลียนดึงคนตัวโตเข้ามากอด

    เสียงอู้อี้เอื้อนเอ่ยประโยคสร้างแรงสะเทือนสั่น...โยกโยนหัวใจได้ยิ่งกว่าถ้อยคำใดที่เคยฟังมาทั้งชีวิต

    "ขอให้คุณปลอดภัยก่อน เรื่องอื่นไว้ทีหลัง..."

    ให้ตายสิ...คริส
    ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ

    .
    .

    แจ็คติดดื่มกาแฟก่อนไปทำงาน

    ยังอยู่ในชุดนอน นั่งรับแสงอ่อนโยนยามเช้าตรงชานระเบียง เครื่องดื่มสีเข้มไร้นมหรือน้ำตาลพร่องลงรวดเร็วระหว่างไล่สายตาจากกรอบหนึ่งสู่อีกกรอบบนหน้าหนังสือพิมพ์ สมองคิดเรื่องธุรกิจ เรื่องตารางงาน และเรื่องคนในห้องนอนไปพร้อมกัน

    พลันริมฝีปากหยักก็เหยียดยิ้มเจือจางออกมา

    กาแฟในถ้วยกลายเป็นเพียงอดีต มือใหญ่วางพาชนะเปล่าลง ลุกขึ้น เคลื่อนกายกลับขึ้นไปชั้นบน ดันประตูเปิด ส่งเสียงเรียกถามก่อนเห็นตัว

    "ทอมครับ วันนี้จะขับเองหรือให้พี่ไปส่—"

    ครึ่งคำสุดท้ายไหลย้อนกลับลงคอ
    ด้วยสายตาแลเห็นเรือนร่างสวยผ่านกระจก

    คนถูกมองรู้ตัว แต่ไม่ยักแหนหวงสงวนเนื้อตัวแต่ประการใด กลับพาร่างพร่างพราวด้วยหยดน้ำก้าวผ่านประตูที่แง้มอยู่ออกมา...เพียงครึ่งหนึ่ง เพื่อเอื้อมมือนุ่มลื่นนั้นเข้าใกล้ กระตุกรั้งร่างคนตัวโตกว่าเข้าไป

    "..."

    แจ็คลอบกลืนน้ำลายอย่างเสียไม่ได้

    ยืนตระหง่านงันนิ่งราวหินผา ระหว่างนิ้วเล็กๆ แสนซุกซนเริ่มรุกไล่สะกิดกระดุมชุดนอนออกจากรังทีละเม็ด...ไม่เร่งรีบ ดวงหน้าสวยอยู่ใกล้ในระดับที่สามารถสังเกตเห็นหยดน้ำใสเกาะพราวตามเส้นขนตาหนา ร่างเปลือยเปล่าก็เบียดเสียรกระชั้นชิดจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นเจือจางที่เนื้อหนังเนียนนุ่มระบายออกมา กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายเพิ่งชุบตัวในหมู่มวลบุปผาพาสติเขาล่องลอยจนไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้าทั้งชุดถูกสลัดหลุดพ้นกายไปเมื่อไร

    หรือ...ถูกฉุดให้มายืนอยู่ใต้ฝักบัวเมื่อใด
    จนสายธารฉ่ำเย็นซ่านกระเซ็นใส่ศีรษะ

    ฟองฟูฟ่องสีขาวผุดขึ้นตามพื้นผิวแต่ละตารางนิ้วที่มือเล็กเริ่มลูบโลมไล้สบู่ถูวนไล่ไป จากรอบลำคอขาว บ่าแกร่ง แผงอกกว้าง เรื่อยลงมาถึงหน้าท้อง...ซึ่งทำเอาร่างสูงเกร็งวูบ

    มือใหญ่รั้งข้อมือบางไว้ให้หยุดหยอกเย้า

    ริมฝีปากเอิบอิ่มยังกักเก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่เผยเจตนา ทว่านัยน์ตาสีครามสดใสกลับฉายแววซุกซนปนเจ้าเล่ห์เกินบรรยาย สันดั้งคมฝังจมลงข้างจมูกรั้น ค่อยๆ เอียงคอปรับองศาหามุมอันเหมาะสมให้กลีบปากของตนจรดลงไป แลกเปลี่ยนลมหายใจซึ่งกัน

    กระบวนการหลอมรวมเริ่มต้นจากตรงนั้น

    ก่อนลามไปยังทุกส่วนระหว่างสองร่าง ไม่มีใครรู้แล้วว่าที่ปัดป่ายไปมาอยู่นั่นมันมือใคร หรือที่คลึงเค้นเน้นอยู่ตรงนี้เป็นของมือใคร ไม่มีใครสนใจ ไม่มีอะไรในหัวสมองอันว่างเปล่าขาวโพลน เว้นแต่ความรู้สึกสุขล้นจากการละลายเรือนร่างเข้านัวเนียกันแทบเป็นเนื้อเดียว ด้วยจังหวะหัวใจที่เริ่มสอดคล้องประสานกันในท่วงทำนองละมุนหวาน

    อย่างเดียวที่แจ็คแน่ใจเกี่ยวกับเช้าวันนั้น...

    คือมันเป็นการอาบน้ำซึ่งกินเวลายาวนานสุดในชีวิต

    .
    .

    คิลเลียนเหยียบแผ่นดินอังกฤษชั่วโมงก่อน

    ตัวคนเดียว พกมาแต่เพียงเงิน หนังสือเดินทาง กับความไม่สบายใจเต็มกระเป๋า ทีแรกคริสอยากให้โจเซฟตามมาคุ้มครองด้วย แต่เขาไม่รู้สึกว่ามันจำเป็นนัก จากนี้คริสคงต้องใช้ประโยชน์จากผู้ช่วยมากกว่า เขาแค่ต้องแตะอาณาเขตอีสต์เอนด์ให้เร็วที่สุดเท่านั้น เดี๋ยวเรดแฮนด์ก็รับประกันความปลอดภัยของเขาเอง

    โดยไม่มีใครรู้ อดีตมาเฟียกำลังคืนถิ่น

    "..."

    เขาไม่อยากเดินทางในตอนนี้ แม้ไม่คิดว่าคนของคริสติน่าจะตามมาได้เร็วถึงเพียงนั้น แต่ก็ต้องระวัง ต้องไม่ประมาท คริสเตือนเขาเป็นร้อยเป็นพันครั้งก่อนแยกกันว่าแม่ของตนวิสัยทัศน์แหลมคมดุจเหยี่ยวเหินเวหา วางแผนล่วงหน้าหลายก้าว ไม่มีใครทันตั้งตัวทั้งนั้นหากตัดสินใจจู่โจม เขาจึงตัดสินใจเข้าพักโรงแรมซ่อมซ่อจนกว่าจะพ้นกลางวัน เตรียมออกเดินทางอีกครั้งยามเวลาเปลี่ยนผันเป็นกลางคืน

    ตะวันตกดิน คิลเลียนขึ้นรถไฟเชื่อมต่อ

    เส้นทางของรางเหล็กใต้อุโมงค์ทำเขาจิตตกขึ้นมาโดยไร้เหตุผล อาจเป็นความกดดันทางจิตอันมหาศาลมากกว่าที่ถาโถมถล่มทับลงมาจนรู้สึกอึดอัดกับการติดในที่แคบ ความทรงจำหลายปีก่อนตอนเขากับคริสพากันขึ้นรถไฟตามแจ็คและทอมไปจัดการเรื่องไมเคิล เคนแวบเข้ามาทำให้อุ่นใจได้พักหนึ่ง ได้รู้สึกว่าเจ้าตัวยังอยู่ตรงนี้ด้วยกัน

    ตรงหัวใจ

    ?

    เพียงเงยหน้าขึ้นสบตาคนแบบสุ่มก็พบบางสิ่งผิดสังเกต ผู้ชายอย่างน้อยสองคนหลบตาเขาทันที และยิ่งหลุกหลิกเมื่อถูกจ้อง ดวงแสงเย็นเยียบแกล้งละผ่านสาดส่องไปอีกทาง กระทั่งพบสิ่งน่าตกใจยิ่งกว่า

    ใครสักคนที่มองแวบแรกก็นึกถึงคริส

    คิลเลียนรู้ตัวว่าสายตาของเขาไม่ดีเท่าเมื่อก่อน จึงไม่เชื่อในฉับพลันทันที แต่ก็ตะขิดตะขวงใจเกินกว่าจะปล่อยผ่าน เสี้ยววินาทีต่อมาขบวนรถหยุดลง ชายคนนั้นก้าวออกไป เขาแทบจะพุ่งตัวตามโดยอัตโนมัติ หมอนั่นเดินเร็ว แต่ยังสัมผัสได้ว่าตั้งใจทิ้งระยะห่างพอให้เขาวิ่งตามทัน

    กับดักหรือเปล่า?

    แต่ถ้าหากเป็นคริสจริง...
    เขายิ่งต้องรู้ให้ได้ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่

    .
    .

    หลัง 'อาบน้ำ' กันจนสะอาดสะอ้านทุกซอกมุม ทอมขึ้นรถมาทำงานกับเอิร์ลของเขา

    บรรยากาศรอบตัวทั้งคู่อบอวลไปด้วยความหวานอบอุ่นละมุนละไมจนแบร์รี่สัมผัสได้ แทบจะขับรถไปเบ้ปากใส่กระจกมองหลังไปอยู่ตลอดเวลา แม้อดหมั่นไส้ไม่ได้แต่แน่นอนว่าลึกๆ เขาดีใจที่เห็นเพื่อนรักกลับมามีความสุขได้อีกครั้งสักที และตลอดหลายเดือนตั้งแต่มีเจ้านายเพิ่มอีกคน เขาก็เพิ่งเคยเห็นหัวหน้าแก๊งเรดแฮนด์ยิ้มแย้มแจ่มใสสมวัยแบบนี้เป็นครั้งแรก

    ริมฝีปากคู่สวยแทบช้ำกว่าแจ็คจะยอมถอนจูบลาและปล่อยคนตัวเล็กลงจากรถ

    "ทำเหมือนเมียจะไปต่างประเทศสามปีทั้งที่ตึกบริษัทอยู่ห่างกันสิบบล็อก"

    แบร์รี่แขวะทันทีที่ประตูรถปิดงับกลับเข้ามา
    เอิร์ลไม่ว่าอะไรสักคำ เอาแต่นั่งยิ้มเป็นบ้า

    รถเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ แจ็ค ลาวเดนส่งปลายนิ้วเรียวยาวเข้าปากด้วยความเคยตัว ประสาทสัมผัสไม่รับรู้เรื่องราวแวดล้อมภายนอก ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถทำงาน ไม่ได้เห็นว่าโลกนอกหน้าต่างข้างทางมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เหมือนสติของเขาตามติดตัวคนที่เพิ่งลงรถเมื่อครู่ไป

    มันเป็นเช่นนั้นอยู่ไม่นานนัก
    จนกระทั่งแบร์รี่หันมาพูดอะไรบางคำ

    งึมงำ ฟังไม่ถนัด

    "ข...โทษ..."

    พลันนั้น ทุกอย่างหมุนช้าลง
    เศษกระจกปลิวว่อนไปทั่วรถ

    ก่อนโลกทั้งใบจะวูบดับลงกะทันหัน

    แกว่าอะไรนะ...แบร์รี่?

    .
    .

    เขาตามหมอนั่นไม่ทัน

    แต่ผู้ชายสองคนที่จับพิรุธได้บนขบวนรถก่อนหน้านั้นกลับโผล่มาตรงหน้า คิลเลียนไม่มีเวลาคิดด้วยซ้ำ มันคนหนึ่งเตะตัดขาเขาให้ล้มลง ผ้าโปะยาสลบตามเข้ามาซ้ำ ระหว่างสติเริ่มเลือนรางจางหายไป ถุงกระสอบสีดำก็ครอบทับลงมาคลุมศีรษะ

    โลกทั้งใบมืดดับ

    บ้าฉิบ...

    .
    .

    "แบร์รี่ เอาใหม่ พูดช้าๆ ชัดๆ...เกิดอะไรขึ้น"

    ปลายสายทวนเหตุการณ์ซ้ำ
    ทอมถึงกับเขวี้ยงโทรศัพท์ลงพื้น

    ตะโกนสั่งนิโคลัสที่ประจำอยู่หน้าห้องให้เตรียมยานพาหนะ คว้าเสื้อโค้ทมาสวมลวกๆ รัวฝีเท้าลงบันไดอย่างไม่คิดชีวิต ลูกน้องหนุ่มร่างสูงวนรถมารับภายในไม่กี่นาที เขาสั่งออกรถ จุดหมายปลายทางคือโรงพยาบาลที่แบร์รี่บอกมาในโทรศัพท์

    โรงพยาบาลซึ่งได้รับร่างไร้สติของแจ็คไป

    "นิค ฝ่าไฟแดงได้ก็ฝ่าเลย"
    "ครับ"

    ด้วยความเร็วระดับนี้ เขาควรจะถึงโรงพยาบาลในไม่กี่อึดใจ ทว่าเรื่องไม่คาดฝันก็ดันเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ รถยนต์สีดำรุ่นเดียวกันสี่คันโผล่มาตีขนาบเข้าทางซ้าย ขวา หน้าและหลัง บีบบังคับให้คนขับรถของเขาต้องจำใจตามน้ำ เบี่ยงเข้าข้างทาง และจอด

    ทอมไม่คิดว่ามันคือการปล้น
    แต่ก็ไม่แน่ใจว่ากำลังจะเกิดอะไร

    อึดใจเดียวเท่านั้น
    ประตูรถเปิดออก

    นิคถูกปืนจี้ลงจากรถ มีคนเข้าสวมหน้าที่แทน
    ใครอีกคนก้าวขึ้นมานั่งข้างเขา ณ เบาะหลัง

    "..."

    สูททั้งชุดเป็นสีดำสนิท จรดรองเท้า มือข้างหนึ่งขยับจับเนคไทให้เข้าทาง ก่อนลูบสัมผัสห่วงเงินที่ติ่งหูหนึ่งครั้งด้วยความเคยชิน ทอมนิ่งเงียบ ไม่ลังเลที่จะหันหน้าไปมองตรงๆ และต้องถึงกับอุทานเสียงเบาด้วยความแปลกใจปนคาดไม่ถึง

    "ฟินน์...?"


    น้องชายต่างแม่ของแจ็ค
    มาทำอะไร?

    คนถูกทักไม่แสดงท่าทีใดๆ ไม่ออกอาการทั้งทางสีหน้าหรือแววตา ทุกอย่างราบเรียบเหมือนเส้นชีพจรของหัวใจที่หยุดเต้น อ่านไม่ได้ คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

    และไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ชั่วจังหวะหนึ่ง...
    หัวใจของทอมก็เหมือนหยุดเต้นไปเสียดื้อๆ

    "..."

    ฟินน์ยังคงไม่พูดอะไร

    แต่นิ้วมือเริ่มขยับเข้าใกล้ร่างที่นั่งนิ่งเหมือนถูกสะกด ทอมมองตามมือข้างนั้นซึ่งเตาะแตะมาจนถึงมือซ้ายของตนที่วางอยู่บนหน้าขา ปล่อยให้ปลายนิ้วเยียบเย็นเกี่ยวเอานิ้วนางขึ้นมาเล่น...หมุนวงแหวนเกลี้ยงเกลาจนด้านสลักตัวอักษรปรากฏขึ้นมา

    'เอิร์ล'

    ทอมสลัดมืออีกฝ่ายทิ้ง

    "ต้องการอะไร"

    ชู่วววว

    เจ้าตัวทาบนิ้วชี้ลงกึ่งกลางริมฝีปากคู่สวย
    ห้ามปรามทุกคำถามที่จะตามออกมา

    "..."

    ค่อยๆ ลากไล้ปลายนิ้วขึ้นไปตามเส้นเงาโหนกแก้มอันเด่นชัด เชื่องช้า กรีดกราย ทรมานใจให้เจ้าของใบหน้ารู้สึกอัดอัด

    แพขนตางอนหนากะพริบเนิบนาบหนึ่งครั้ง
    เสียงกระซิบเล็ดลอดเรียวปากนั้นเป็นหนแรก

    "ฉันไม่มีแหวนอะไร..."

    หลุบนัยน์ตาลงต่ำ
    มองนิ้วนางของทอมซ้ำ

    ถ้อยคำถัดมาถูกกล่าวเต็มเสียง
    จริงจัง แน่นหนัก ฟังชัด

    "แต่จากวินาทีนี้ไป...นายเป็นคนของฉัน ทอม กลินน์-คาร์นีย์"

    .
    .

    เขาลืมตา แต่โลกที่เห็นยังคงมืดทึบ

    เส้นแสงลอดผ่านช่องว่างระหว่างใยผ้าเตือนให้รู้ว่าโลกแวดล้อมแค่ถูกสกัดกั้นออกไปด้วยถุงคลุมศีรษะ คิลเลียนขยับข้อเท้าได้อิสระ แต่ข้อมือกลับตรงกันข้าม เชือกเนื้อสากไพล่มัดรวบมันเอาไว้ข้างหลังเก้าอี้ เสียงฝีเท้าอย่างน้อยสองคนลากไปมาอยู่ห่างไกล เสียงลมหายใจของคนหนึ่งคนแผ่วเบาเฝ้าอยู่ใกล้ๆ

    "ตื่นแล้วสิ?"

    เขาเอียงคอราวจะเงี่ยหูฟังให้ชัด
    เพราะเสียงนั้นช่างคุ้นโสตประสาท

    อีกฝ่ายใจดีกระตุกถุงคลุมหัวออกให้ในที่สุด

    ใบหน้าที่เห็นทำเอาตกใจจนแทบผงะ

    "คริส?"

    ไม่สิ...

    บรรยากาศรอบตัวไม่ถูกต้องเลยสักอย่าง

    คิลเลียนย่นคิ้ว นิ่วหน้า
    หรี่ตาลง จ้องดวงตาคู่นั้น

    ดวงตาคู่คม...จ้องตอบกลับมาไม่มีเลี่ยงหลบ

    ม่านนัยน์ตาคู่สวยขยายตัวเป็นวงกว้าง

    "แอนดี้...?"









    Next Episode: Way Down We Go 2 (Part IIIII here)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in