เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่นอ่าน-คิด-เขียน
17. มุม
  •                                                                 โดย อมิตาภพุทธ
    นิสิตชั้นปีที่ 2  เอกภาษาไทย โทภาษารัสเซีย อักษรฯ จุฬาฯ
    ผลงานลำดับที่ 17 ในคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น"  อ่านที่มาของคอลัมน์ได้ที่  http://minimore.com/b/F5RyR/1

    22.00น.

             คอที่กำลังหมุนไปในอีกทิศทางหนึ่งกลายเป็นนาฬิกาปลุกให้ฉันในทุกเช้าของวัน  จริงๆแล้วนี่ไม่ใช่เวลาเช้า   สำหรับคนทั่วไป เวลานี้คือเวลาแสนสบายที่พวกเขาจะได้ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและหลับไป  

             แต่นี่คือเวลาเช้าสำหรับฉัน   

            

        ฉันหลับในเวลาที่คนอื่นตื่น และตื่นในเวลาที่คนอื่นหลับ 

    ขอบคุณภาพจาก https://pixabay.com

            มือหนึ่งของเด็กชายเอื้อมมือมากดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวฉัน  ส่วนอีกมือก็กำลังสาละวนกับการจัดหนังสือบนโต๊ะก่อนจะขยับเก้าอี้เล็กน้อยและหย่อนตัวลงไป 
            แสงไฟที่วาบขึ้นหลังจากที่มือของเด็กชายสัมผัสได้ดับความงัวเงียหลังจากถูกปลุกเมื่อสักครู่ไปเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีสติพอที่จะรู้ว่ากิจวัตรประจำวันของฉันได้เริ่มขึ้นแล้ว  ฉันมองไปที่ใบหน้าคุ้นตาที่เห็นจนนับครั้งไม่ถ้วน  ดวงตากลมโตในเวลานี้หรี่ลงเพื่อเพ่งมองหนังสือตรงหน้าริมฝีปากแห้งตึงเม้มจนเกือบเป็นเส้นตรง  ผมยุ่งเหยิงของเขาบ่งบอกว่าเป็นคนไม่ค่อยดูแลตัวเอง
              นี่คือกิจวัตรของฉันการมองเด็กชายคนนี้ในทุกๆวันช่างเป็นกิจวัตรที่น่าเบื่อ ซ้ำซากและจำเจ ในแต่ละวันไม่มีสิ่งใดให้ทำนอกจากการเพ่งมองเด็กชายที่กำลังเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือ หนังสือที่เขาอ่านก็จะมีแต่เล่มเดิมๆที่ขีดเขียนซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้ง

               ฉันพยายามมองไปให้กว้างขึ้นกว่าเดิม มองให้ไกลกว่าเด็กชายผู้นี้แต่ยากเหลือเกิน เพราะฉันไม่สามารถขยับคอเองได้ถ้าปราศจากมือที่เด็กชายขยับให้และน้อยครั้งที่เขาจะขยับคอของฉันให้ได้มองสิ่งอื่นๆรอบห้องบ้าง  นี่เป็นชีวิตที่น่าเบื่อเกินกว่าจะบรรยายได้ ลองคิดภาพดูสิ ถ้าทุกๆวันคุณตื่นมาแล้วทำได้แค่จ้องมองเด็กชายคนหนึ่งในท่าเดิมแต่ไม่สามารถสื่อสารกับเขาได้ ไม่สามารถแม้แต่จะขยับตัวได้และมองได้แค่ในสิ่งที่คนอื่นอยากให้มอง จะน่าเบื่อขนาดไหนกันนะ

               เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่มีใครทราบได้ อาจจะสองชั่วโมง หรือสามชั่วโมงฉันไม่รู้อะไรเลย และมองไม่เห็นเข็มนาฬิกา แต่ฉันเห็นเด็กชายคนนี้จัดแจงเก็บหนังสือเข้ากระเป๋าลุกขึ้น และทำอะไรบางอย่างที่ฉันมองไม่เห็น

               มือของเด็กชายเอื้อมมาสัมผัสที่ร่างกายของฉันอีกครั้งซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันรู้ว่าเวลาของฉันในวันนี้กำลังจะหมดไปเหมือนเช่นทุกๆวัน

               และแล้ว ไฟก็ดับลง

     

     

     

    09.16 .

                เคยได้ยินไหมใครสักคนเคยบอกว่า เวลาผ่านไปเร็วเสมอและไม่รู้เลยว่าเวลาของแต่ละคนจะเหลืออยู่มากน้อยขนาดไหน สิ่งที่ควรทำคืออย่าปล่อยให้เวลาสูญเปล่าอย่าทิ้งขว้างเวลาด้วยการผูกติดกับอะไรบางอย่างที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

                ฉันรับฟังพลางคิดไตร่ตรองว่าฉันใช้เวลาคุ้มค่าหรือไม่


          ไม่เลย...ฉันใช้เวลาเคียงข้างใครคนหนึ่งมาทั้งชีวิต รอคอยให้เขามองมาที่ฉันด้วยใจอันเปี่ยมไปด้วยความหวังแม้รู้ดีว่า เขาจะไม่มองกลับมา นี่เรียกว่าฉันทิ้งขว้างเวลาหรือเปล่านะ


                ไม่หรอกไม่เปล่าประโยชน์สิน่า เพราะฉันเฝ้ารอด้วยความหวังหวังว่า ฉันจะได้มองเขาในมุมอื่นๆบ้างและเขาจะหันมามองฉันแม้สักมุมหนึ่งก็ยังดี

                ฉันลืมตาขึ้นอย่างงัวเงียหลังจากถูกปลุกด้วยน้ำอุ่นๆที่พรมรดมาบนตัวไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าความอุ่นนี้ส่งผ่านมาจากน้ำหรือจากไอแดดที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างกันแน่  หากแต่สายน้ำนั้นกลับเพิ่มความชุ่มชื่นให้ร่างกายและจิตใจไม่น้อยทีเดียวเวลานี้เป็นเวลาสายแล้ว ฉันมองใบหน้าคุ้นตาของเด็กชายที่กำลังใช้มือจัดแต่งทรงผมให้ฉันด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นไย  ดูสิ ขอบตาของเขาคล้ำขึ้นอีกแล้ว ผมก็ยุ่งไม่เป็นทรง ชุดนอนที่สวมใส่อยู่นั้นเป็นชุดเดียวกันกับชุดนอนเมื่อคืนวานและเมื่อคืนวานซืน

                เด็กชายหาวหวอดใหญ่ก่อนจะเดินลับออกไปจากห้อง

                ฉันละสายตาจากเด็กชายไปยังคนข้างๆเขายืนห่างจากฉันเพียงไม่กี่เซนติเมตร พยายามจะทักทาย แต่เขาก็ไม่ได้มองมาที่ฉันสักนิดหรืออาจจะเรียกได้ว่า เขาไม่เคยหันไปมองทางอื่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเขาเอาแต่มองไปที่ใครคนหนึ่งอยู่เสมอ สายตาของเขาไม่เคยเลื่อนออกไปจากทิศนั้นเหมือนเช่นทุกวัน ต่อให้ฉันใช้ความพยายามร้องเรียกด้วยเสียงที่ดังเพียงใดเสียงนั้นก็หายไปราวกับไม่เคยได้กระทบโสตประสาทของผู้ฟัง และไม่เคยกระทบลงไปในใจของผู้ฟังด้วยเช่นกัน

              หลายครั้งฉันพยายามหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่เคยมองไปทางไหนเลยบางทีอาจเป็นเพราะเวลาของเราไม่ตรงกัน ฉันตื่น เขาหลับ ฉันหลับ เขาตื่น เราจึงไม่เคยได้เจอกันสักครั้งแม้กระทั่งคำทักทายก็ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ตั้งแต่ฉันจำความได้ฉันก็อยู่เคียงข้างเขามาตลอด คอยส่งสารถึงเขาเพียงทางเดียวและไม่เคยได้รับสารใดกลับ

                ความเศร้าที่เคยมีกลับแปรเปลี่ยนเป็นความน่าเบื่อ 
                เบื่อกับการเฝ้ามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆกับตัวเรา  

                เบื่อกับการเฝ้ามองภาพเดิมๆ ที่คุ้นตา
                เบื่อกับการเฝ้ามอง
    เขาเพียงมุมเดียวมาตลอดชีวิต



    กว่าจะมาเป็นงานเขียนเรื่อง "มุม"

    • จับได้คำว่า 'น่าเบื่อ' ก็คิดว่าเอ๊ะ เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเรา เพราะคิดว่าทุกๆเรื่องมันมีความสนุกในตัวมันเอง แม้ว่าจะน่าเบื่อแค่ไหนเราก็จะมองหาความสนุกเล็กๆในตัวสิ่งนั้นได้เสมอ  
    • พอคิดดีๆ เรารู้สึกว่า ความน่าเบื่อ มันเกิดขึ้นเพราะเราทำอะไรซ้ำๆ ไม่มีความแปลกใหม่และไม่หลงเหลือความสนุกตกค้างอยู่ในสิ่งนั้นแล้ว เลยมองไปรอบๆห้องแล้วคิดว่า สิ่งของจะเบื่อไหมถ้าต้องอยู่มุมเดิม มุมเดียวตลอด แถม 'โคมไฟ' ยังต้องก้มตัวคล้ายกับก้มมองอะไรข้างล่างอยู่ตลอดเวลา คงจะน่าเบื่อเข้าไปอีก เลยลองเขียนเรื่อง 'ความน่าเบื่อของโคมไฟ' ดู ส่วนเรื่องที่สองก็เป็นตอนต่อไป ที่มี 'อะไรบางอย่าง' คอยจ้องมองโคมไฟอยู่ตลอดเหมือนกัน 


    **ลิขสิทธิ์งานเขียนและภาพถ่ายเป็นของผู้สร้างผลงาน**

    --------------------------

    ติดตามคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น"

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in