เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อคิดออกจะมาเขียนสุพรรณฝันเฟื่อง
Memorabilia : ปีหนึ่ง
  • "เห้ย น้องมาวันไหนอะ"

    เป็นประโยคที่เราเริ่มเจอบ่อยขึ้นในช่วงหลัง ๆ นี้ เพราะอีกไม่นานก็จะมีว่าที่นักศึกษาปีหนึ่งหน้าใสเข้ามาที่คณะกันแล้ว
    นั่นทำให้เราที่กำลังจะหมดช่วงชีวิตของเฟรชชี่อยากมาเขียนถึงความเป็นปีหนึ่งของตัวเองบ้าง


    1.

    เราเลือกเข้าเรียนที่คณะของเราด้วยเหตุผลที่ว่า 

    "เราเข้าตามผู้ชาย"

    ดูแย่เนอะ 

    แฮะ ๆ

     

    ตอนช่วงรอแอดมิชชันเป็นช่วงเวลาที่เพื่อนเราทุกคนหาคณะที่ตัวเองอยากเรียนเจอกันหมดแล้ว

    แต่เรายังไม่เจอเลย

     

    ตอนแรกเราอยากเรียนสายภาษา แต่ตัวเองตอนนั้นก็รู้สึกอิ่มตัวกับภาษามากพอแล้วและเราก็นึกขึ้นได้ว่าคน ๆ นั้น ของเรา(ในอดีต) เลือกเรียนคณะนี้ เราเลยคิดว่าถ้ามีโอกาสได้เรียนคณะนี้คงได้เจอกับเขาบ่อยขึ้น และลูกพี่ลูกน้องของเราก็เรียนจบที่คณะนี้ด้วย 

    หลังจากเช็คคะแนน และแน่ใจกับตัวเองแล้ว เราเลยตัดสินใจยื่นคะแนนแอดคณะนี้ไป

    เราติดคณะนี้


    เย้ /วิ่งไปหอมแก้มแม่หนึ่งที


    (แต่หลังจากเรียนไปหนึ่งเทอม เขาคนนั้น ก็ลาออกไปแบบเงียบ ๆ)


    2.

    เราได้เจอกับความใหม่หลายอย่างมาก 


    ตัวอย่างคร่าว ๆ ก็จะมีที่เราเคยเขียนไปในตอนที่แปด ตอนนั้นเป็นตอนที่เราพึ่งเข้ามหาลัยมาได้ไม่นานและชีวิตค่อนข้างเปลี่ยนไปจากเดิม 


    แต่ตอนนี้เราเริ่มคุ้นเคยกับการเจอสิ่งใหม่ ๆ แล้ว และรู้สึกว่าการได้รอคอยที่จะได้เจออะไรใหม่มันเป็นการรอคอยที่ไม่เลวเลยทีเดียว 


    ความใหม่ในช่วงชีวิตปีหนึ่งมันมีมากกว่าที่เราคิดก่อนที่เราจะเข้ามา เพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะเป็นสายกิจกรรม นึกภาพตัวเองไว้ว่าชีิวิตก็คงจะเรียบง่าย เนิร์ด ๆ 


    แต่พอได้เข้ามาจริง ๆ แล้ว มันกลับด้านจากที่คิดไว้เลย

    ช่วงแรกที่เราเข้ามา เราเชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้จักกิจกรรมรับน้อง ใช่ เราผ่านกิจกรรมนั้นมา ช่วงแรกเราไม่ได้ให้ใจกับการรับน้องมากนัก เพราะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ แต่พอช่วงหลัง ๆ ที่มีกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น และเราเริ่มมองเห็นคุณค่าของมันมากขึ้น เราก็ตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องจนจบ 


    ด้วยกิจกรรมรับน้องนี่แหละ ทำให้เรารู้จักกับรุ่นพี่มากขึ้น และด้วยความที่คณะเราเล็ก (เราหมายถึงอาคารในคณะ) มันทำให้เราได้เจอกับพวกเขาได้ง่าย และด้วยความที่คณะเราเล็กอีกนั้นแหละ (อันนี้หมายถึงจำนวนคนในคณะ) เลยทำให้เรารู้จักรุ่นพี่ค่อนข้างเยอะ สนิทบ้าง ไม่สนิทบ้าง เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่คุ้นหน้ากัน เคยเดินสวนกัน หรือเป็นเพื่อนกันแค่ในเฟสบุ๊คก็มี 


    อย่างไรก็ตาม ดีใจที่ได้รู้จักกับรุ่นพี่ใหม่นะคะ (ก้มหัวเล็กน้อย)


    และหลังจากนั้น เราก็ได้เจอกับความใหม่อีกหลายอย่างในแบบที่เราตั้งตัวไม่ทันเลย แต่มันก็สนุกดีนะ เพราะเราไม่เคยเป็นหัวหน้างาน ไม่เคยเป็นคนนำวันไหว้ครู ไม่เคยต้องโทรไปติดต่อเช่าจอฉายหนัง ไม่เคยเป็นกรรมการนักเรียนและอีกหลายอย่างที่เราจำไม่ได้ พอได้มาทำแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สอนอะไรให้กับชีวิตเรา เป็นความทรงจำ เป็นประสบการณ์ เป็นความภาคภูมิใจ เป็นความผิดพลาดที่ทำให้เรานึกถึงแล้วจะไม่กลับไปทำอีก



  • 3.
    มิตรภาพในปีหนึ่ง
    เอาจริง ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราอยากเลี่ยงที่จะพูดถึง เพราะเราไม่รู้ว่าความรู้สึกของเรากับเพื่อนแต่ละคนจะตรงกับเราแค่ไหน แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะเลี่ยงตราบใดที่เรายังคงต้องเข้าสังคมอยู่

    แน่นอนว่าสังคมในมหาลัยกับในโรงเรียนมันย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว เราเจอคนเยอะขึ้น เราเป็นที่รู้จักเยอะขึ้น คนรู้จักเราเยอะขึ้น และเอาจริง ๆ ก็ตามที่เราบอกข้างบนแหละ ว่าเราไม่รู้ว่าความรู้สึกของเรากับเพื่อนแต่ละคนจะคิดในแบบเดียวกับที่เราหรือเปล่า 

    การมีเพื่อนในช่วงชีวิตปีหนึ่งมันก็ดีนะ เพราะอย่างน้อยเราก็มีคนที่เรียนรู้ชีวิตใหม่ ประสบการณ์ครั้งใหม่ไปพร้อมกับเรา มันไม่ทำให้เราเหงาหรือรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่ควรจะเป็น และเพื่อนที่อยู่กับเราอาจจะได้รับอะไรจากเราไปด้วยก็ได้ 

    Give & Take อะไรแบบนี้

    พอใกล้จบปีหนึ่ง เรามีอีกหนึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติมคือ 
    อย่าคาดหวังว่าคนอื่นจะเป็นตลอดไปของเรา และอย่าคาดหวัังว่าเราจะเป็นตลอดไปของใคร 
    ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกันก็ตาม แต่ตราบใดที่เรายังมีความรู้สึกนึกคิดและยังดิ้นไปดิ้นมาได้ การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เราและเขาอาจเป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ผ่านมาเพื่อพบกัน รู้จักกัน และจากกันแค่นั้นเอง

    แต่ทุกอย่างก็มีข้อยกเว้นล่ะนะ :^)

    เคยมีใครหลายคนบอกว่า มหาลัยมีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากัน

    เราไม่เชื่อในประโยคนี้เพราะเราเจอคนใส่หน้ากากมามากมายก่อนที่เราจะเข้ามหาลัยแล้ว และในบางครั้งเราเองก็ใส่หน้ากากเข้าหาคนอื่นเหมือนกัน ฉะนั้น ประโยคนี้สำหรับเรามันควรจะเป็น 

    โลกใบนี้มีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากัน

    ซึ่งมันก็แล้วแต่ว่าเราจะใส่หน้ากากแบบไหนเข้าไป
  • 4.
    เรียนไม่ยุ่ง มุ่งแต่นอน...

    เราจะทำตัวตามสบายแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว...เสียเมื่อไหร่ล่ะ 
    /โดนตี
     
    เอ้า ก็เรื่องจริงนี่นา (หัวเราะ)

    เรายังคงมีนิสัยเดิม ๆ สมัยมอปลายติดมาอยู่บ้าง แต่ว่าไม่ได้คงรูปแบบเดิมเหมือนเมื่อก่อน มีปรับบ้างตามความเหมาะสม วิชา อาจารย์ ควิซ และการเช็คชื่อ

    เรื่องเรียนในปีหนึ่งของเรานั้นไม่ค่อยมีอะไรให้พูดถึงเป็นเรื่องเป็นราวหรอก 
    ยกเว้นวิชา 114101 ที่เรารักและชอบเป็นพิเศษ /โดนเพื่อนมองบนใส่

    เพราะเทอมแรกทางมหาลัยจะเป็นคนจัดการเรื่องตารางเรียนให้ และเราต้องลงเรียนเพิ่มไม่กี่ตัวเท่านั้น ส่วนเทอมสองเราต้องลงเรียนเอง ซึ่งเราก็ไม่ได้เลือกเองทั้งหมดหรอก เราลงตามเพื่อน เป็นเพราะยังไม่มีตัวที่ต้องแยกกันเรียนเราก็เลยไม่มีปัญหาอะไรมาก 

    เทอมสองจะพิเศษหน่อยก็ตรง 'ตัวฟรี' นี่แหละ เพราะเราลงเรียนต่างจากเพื่อนที่ลงเรียนวิชาอื่นด้วยกัน ในขณะที่เพื่อนลงเรียนตัวตัดกระดาษ 

    เราเลือกเรียนถ่ายภาพ
    เหตุผลง่าย ๆ ในการเลือกเรียนคือ เห็นประธานรุ่นลง เลยอยากเรียนบ้าง
    ประกอบกับความชอบไข่ย้อยกับดากานดา เลยอยากมีโอกาสไปเรียนในคณะของสองคนนี้บ้าง (ถึงจะคนละวิชาก็เถอะ)

    (ในขณะที่กำลังจะร่ายยาวนั้นเอง เราก็นึกขึ้นมาได้ว่าพึ่งเขียนถึงวิชานี้ไป เชิญไปตามสดับรับชมกันได้จ้ากับ 114101)

    และอีกอย่างหนึ่งคือ กิจกรรมสำหรับปีหนึ่งเยอะมาก 
    มีทั้งกิจกรรมคณะและกิจกรรมที่เราหามาให้กับตัวเอง เพราะเรารู้สึกว่าปีหนึ่งเนี่ย มันยังเรียนไม่ค่อยหนักเท่าไหร่หรอก เก็บเกี่ยวอะไรได้ก็ควรทำ แม้ว่าในบางครั้งจะกระทบกับการเรียนบ้างก็ตาม แต่ถ้าเราเห็นว่ามันไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรง เราก็จะปล่อยผ่านไป และถึงแม้หลายกิจกรรมจะถูกงดแต่เราก็ไม่กังวลใจ เพราะปีหน้าฟ้าใหม่กิจกรรมจะเยอะกว่าเดิม 
    /ปาดเหงื่อ
  • 5.
    เป็นปีที่เข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก
    แต่ก็ไม่ใช่โรงพยาบาลทุกครั้งหรอก ส่วนใหญ่เป็นคลินิคในมหาลัยเสียมากกว่า

    จำได้เลยว่าเข้าครั้งแรกตอนช่วงเปิดเทอมใหม่ ๆ ตอนนั้นเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ และหลังจากนั้นสัก 2 - 3 อาทิตย์ก็เข้าอีกเพราะวูบ

    และมหากาพย์การเข้าคลินิค - โรงพยาบาลของข้าพเจ้าก็เริ่มตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา 

    ในตอนแรกที่เข้าไปแล้วไม่รู้เรื่องอะไร 
    ตอนนี้รู้หมดแล้วว่าต้องทำอะไร ต้องรอนานแค่ไหน เสร็จแล้วไปที่ไหนต่อบ้าง

    สาเหตุที่เข้าบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน เป็นเพราะว่ามีสิทธินักศึกษาแล้วรักษาฟรีหรือได้เสียค่ารักษาไม่กี่บาท นั่นทำให้เราไม่รู้สึกลำบากใจเท่าไหร่ที่จะเข้าไปใช้บริการ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าเราควรจะดูแลตัวเองสักที (แต่ยังไม่เริ่มทำอะไรเล้ย /เสียงสูง)

    และด้วยสิทธินักศึกษานี่แหละ ทำให้เราได้มีโอกาสไปรักษาอาการเรื้อรังของร่างกายตัวเองสักที 
    เพราะมันไม่ต้องเสียเงินไงล่ะ (หัวเราะ)

    หนึ่งในอาการเจ็บป่วยที่ตลกที่สุดเท่าที่เคยรักษาในช่วงชีวิตปีหนึ่ง คือ 

    เราปวดท้องหนักมาก
    ไปตรวจกับหมอตอนแรกก็คาดว่าอาจจะเป็นไส้ติ่ง หรือซีสต์ในมดลูก
    โอ้โห เราแพนิคมาก โดนเจาะเลือด ตรวจ U/A นั่งรอแล้วรออีกจนหมอคนที่ตรวจเราออกเวรไปแล้ว

    พอหมอคนใหม่มาตรวจให้ หมอก็บอกว่าไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงนะ 
    เรายังคงหิวข้าวและห่วงสอบไฟนอลเป็นปกติ
    เราเลยถามหมอไปว่า

    "หมอคะ นี่พึ่งไปบายเนียร์มา กินเบียร์ไป 5 ขวดแล้วท้องว่างด้วย หมอว่าเบียร์กัดกระเพาะไหมคะ"

    โอเคค่ะ สรุปคือ เบียร์กัดกระเพาะ 

    หมอขำ ๆ เราและสาเหตุอาการป่วยของเรา พร้อมกับจัดยาแก้อักเสบมาให้ 

    สรุปวันนั้นเราเจาะเลือดไปฟรี แถมเจ็บแขนด้วย เพราะพี่พยาบาลคนที่เจาะเหมือนไม่ชำนาญเท่าไหร่
  • 6.
    หนึ่งสิ่งที่คอมพลีทที่สุดในชีวิตปีหนึ่งคือ
    การได้เจอกับพี่เบ๊น ธนชาติ ศิริภัทราชัย!
    (ตอนแรกว่าจะไม่เติมนามสกุลละ กลัวมันลดความตื่นเต้น แต่เติมดีกว่า เพราะชอบเรียกพี่เบ๊นแบบนี้)

    เรา โคตร ชอบ พี่ แก เลย!

    แน่นอนล่ะ เราเคยเขียนถึงการเจอกันกับพี่เบ๊นไปแล้วในตอน Special

    บางคนคงอาจจะสงสัย ว่ามันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อปีหนึ่ง (วะ) ?

    เพราะด้วยความที่เราติ่งพี่เบ๊นเป็นทุนเดิม การได้เจอกับพี่เบ๊นและได้พูดคุยถึงความตั้งใจของตัวเองให้เขาฟัง แล้วได้รับการให้กำลังใจกลับมา เราถือว่ามันเป็นการเติมเชื้อไฟที่ดีเลยนะ ถึงไม่รู้ว่าในอนาคตมันจะมอดไปจากนี้แค่ไหนแต่ถ้าเราในตอนนั้นมองย้อนกลับมาถึงตัวเองในตอนปีหนึ่ง และมีเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ในความทรงจำ 

    เราเชื่อว่ามันจะสร้างรอยยิ้มและทำให้เราก้าวต่อไปได้
  • 7.
    เรื่องรัก 

    เปิดเรื่องด้วยการตามผู้ชายมาเรียนคณะนี้
    จบลงด้วยการแอบรักใครสักคนในมหาลัยนี้

    หญิงสาวผู้อ่อนไหวต่อความรักประหนึ่งดอกไม้ปะทะกับสายลมเช่นเรานั้น...
    (พักเลี่ยนตัวเอง)
    การได้มาอยู่ในรั้วมหาลัยที่กว้างใหญ่ไพศาลและไม่มี คน ๆ นั้น  อยู่เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจด้วยแล้ว การที่เราจะชอบใครสักคนมันเป็นเรื่องที่ง่ายดายเหลือเกิน

    แต่ไม่ใช่กับการตกหลุมรัก

    ถามว่ามีใครสักคนที่ทำให้เรารู้สึกได้เท่ากับ คน ๆ นั้น  แล้วหรือยัง 
    ขอตอบว่า ในชีวิตปีหนึ่งนี้ยังไม่มีใครคนนั้นเลย 

    แต่ตอนนี้มีคนที่ใกล้เคียงอยู่นะ เรารู้สึกกับเขาค่อนข้างหนักอยู่ (โดนเพื่อนมองบนใส่รอบที่สอง) และเป็นไปในทางเป็นห่วงมากกว่ารู้สึกรักใคร่ เพราะเขาดูน่าเป็นห่วงมากกว่าจะรู้สึกอะไรหวาน ๆ กับเขา

    และที่เขาคนนี้แตกต่างจาก คน ๆ นั้น อาจเป็นเพราะ เราเป็นคนที่ไม่มีสถานะอะไรต่อกันเลย การที่จะพัฒนาความสัมพันธ์และความรู้สึกกับคนนี้ที่เรายังไม่ได้ทำและไม่กล้าที่จะทำคือ 

    ทำความรู้จักกับเขา (แบบจริงจัง)

    โอกาสที่เราจะได้รู้จักกับเขามากกว่านี้มันน้อยมาก เพราะระยะห่างระหว่างเรากับเขามันกว้างกว่าที่เราเคยเจอ เป็นระยะห่างแบบใหม่ที่ในชีวิตมอปลายให้เราไม่ได้ 
    และสะพานที่จะเดินไปหาเขาก็มีแค่เพียงท่อนไม้ไผ่ยาว ๆ ท่อนหนึ่งที่พร้อมจะหายไปทันที ถ้ามีใครไปขยับมัน ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้ก็คือตะโกนข้ามไปฝั่งของเขา ซึ่งเขาไม่ได้ยินหรอก ถึงแม้จะมีบางครั้งที่เขาทำท่าเหมือนจะได้ยินบ้าง แต่เขาก็คงไม่เข้าใจสิ่งที่เรารู้สึก

    เราก็ได้แต่หวังละนะว่าเขาอาจจะทำให้ไม้ไผ่มันแข็งแรงขึ้นจากการตะโกนของเรา
    ไม่อย่างนั้นก็คงเปลี่ยนคนใหม่ และไปหาสะพานที่แข็งแรงกว่านี้ก็ได้ (หัวเราะ)
  • เอาจริง ๆ เรามีอีกหลายเรื่องที่อยากเขียนถึง 

    เพราะปีหนึ่งของเราไม่ได้มีเรื่องราวแค่นี้หรอก แต่ด้วยความที่เราเป็นคนลืมอะไรง่าย 
    (แต่กับเรื่องที่อยากลืมทำไมมันไม่ลืมว้า TT) 
    เราเลยเขียนถึงปีหนึ่งของเราเท่าที่จำได้ในตอนนี้และคิดว่าคงจะแวะมาเติมเรื่อย ๆ

    ยินดีที่ได้รู้จักนะปีหนึ่งของเรา
    และ
    ลาก่อนปีหนึ่งของเรา

    ถึงเวลาที่เราต้องไปเตรียมตัวกับความทรงจำใหม่ ๆ แล้ว
    หวังว่าปีสอง คงเป็นปีที่ดีสำหรับเรานะ

    :^)
    17/05/30

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in