สักพักหนึ่งพี่เบ๊นก็เข้ามาเพื่อที่จะเตรียมข้อมูลสำหรับบรรยาย
แล้วเราก็ได้เห็นหน้าพี่เบ๊นเต็ม ๆ สองลูกกะตาสักที
แอร้ย
หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ และพี่เบ๊นก็ไปเตรียมตัว
ตอนที่พี่เบ๊นเข้าห้องบรรยายไป เราที่เป็นสต๊าฟอยู่ช่วยเพื่อนรับลงทะเบียนคนที่มางาน
เลยพลาดช่วงแรก ๆ ที่พี่เบ๊นพูด
พออยู่ช่วยเพื่อนจนเสร็จ เราก็เข้าไปนั่งฟังพี่เบ๊น
ตอนที่เรากำลังเข้าไปในห้องบรรยายบนจอโปรเจคเตอร์กำลังฉายคลิปที่พี่เบ๊นเป็นคนทำ
หลังจากคลิปจบ ก็มีการถามคำถามที่ได้เตรียมมาไว้
คำตอบของพี่เบ๊นหลายคำถาม มีลีลาและลวดลายที่พอจะทำให้...
คุก ๆ ๆ ๆ ๆ (ไอ)
และหลาย ๆ คำตอบ ก็เป็นคำแนะนำที่ดี ที่ช่วยให้เรามีกำลังใจในการเรียน รวมถึงการใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข (มั้ง)
แล้วหลังจากนั้นก็เป็นช่วง Q&A
เราเองก็อยากถามสดบ้าง แต่ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าจะถามเรื่องอะไรเพราะคำถามในห้องบรรยายมีการคุมโทนคำถามที่ไปในทางมีสาระ
เพื่อนเราที่ชอบพี่เบ๊นเหมือนกันก็อยากถามเรื่อง "ลอบสเตอร์" ที่เขียนไว้ใน New York 1st Time
เราในตอนแรกก็เชียร์ให้เพื่อนถามแต่เนิ่น ๆ แต่เห็นการคุมโทนคำถามแบบนั้นแล้ว เพื่อนเราเลยเก็บไปถามตอนขอลายเซ็นพี่เบ๊นอีกทีดีกว่า และเราก็เห็นด้วย
มีคนถามพี่เบ๊นในทำนองที่ว่า ถ้าสมมติมีอะไรแบบนี้ พี่เบ๊นจะเขียนพล๊อต หรือสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างไร
พี่เบ๊นบอกว่า ไปทุกมอ เจอคำถามแบบนี้ทุกมอ พี่ทำงานเป็นครีเอทีฟ ต้องคิดงานมาทั้งอาทิตย์แล้ว
ขี้เกียจ
(ขำ)
แต่พี่เบ๊นก็ไม่ได้ทำร้ายจิตใจคนถามขนาดนั้น สักพักหนึ่ง ก็พูดพอเป็น Guide Line สำหรับไปต่อยอดเอาเอง
หลังจากหมดช่วง Q&A เป็นช่วงขอลายเซ็นละ
ในตอนแรกเรากะจะไปขอเป็นคนท้าย ๆ เพราะด้วยความคิดที่ว่าเป็นสต๊าฟงาน ไว้ขอทีหลังก็ได้
แล้วเราก็เดินถ่ายรูปเล่นในห้องบรรยายสักพัก (และแวบไปเอาหนังสือเล่มที่ลืมจากหอพักก่อนที่จะกลับมาเดินเล่นในห้องบรรยายต่อ) พร้อมกับดูพี่เบ๊นแจกลายเซ็นไป
สักพักมอง ๆ แถวไป เริ่มรู้สึกใจไม่ดี กลัวความคนจะเยอะขึ้น (เพราะงานนี้เป็นงานเปิด ใครจะมาเมื่อไหร่ก็ได้) แล้วพี่เบ๊นจะเหนื่อย กลัวพี่เบ๊นหนีกลับไปพักผ่อนก่อน และเราก็ไม่สามารถไปรั้งอะไรพี่แกได้
เราจึงตัดกังวลด้วยการไปต่อแถวซะเลย
ยืน ๆ นั่ง ๆ กลิ้ง ๆ ถ่ายรูปเล่น ๆ ได้ไม่นานก็ถึงคิวเราแล้ว
"สวัสดีครับ ชื่ออะไรครับ"
เรามองพี่เบ๊นด้วยความตื่นเต้นระคนชื่นชม
(ใส่เอฟเฟคระยิบระยับแบบอนิเมะญี่ปุ่น)
แล้วพี่เบ๊นก็หยิบ NY 1st Time มา ด้วยความที่เป็นเล่มที่ตีพิมพ์ครั้งแรก พอพี่เบ๊นเห็นก็เลยรู้สึกประทับใจ (ล่ะมั้ง)
"โห เล่มตีพิมพ์ครั้งแรกเลยนี่ เดี๋ยวนี้หายากนะ"
"แฮะ ๆ "
สักพักพี่อ่านข้อความที่เราเขียนไว้ในหนังสือ
อันนี้
"ก็นับว่าเป็น Fan Service ก็ได้นะ" พี่เบ๊นบอกเราหลังจากอ่านจบ
ค่าาาาา /บิดตัวหนักกว่าเดิม
เราเริ่มมีสติมากขึ้น เลยชวนพี่เบ๊นคุย เราบอกพี่เบ๊นไปว่าเราอยากเป็นนักเขียน เราชอบเขียนมากเลยเขียนบล็อกด้วยนะ เราเขียนอยู่ใน minimore นี่แหละ จุดเริ่มต้นที่ทำให้เราเขียนจริงจังก็เพราะตอนนั้นดูหนัง
เรื่องหนึ่งมาแล้วอยากคุยกับใครสักคนเพื่อระบายความ 'อิน' ของตัวเอง แต่ด้วยความที่เราไปดูหนังย้อนหลัง เลยหาคนใกล้ตัวที่พอจะคุยเรื่องนี้ได้ยาก และคิดว่าคงไม่มีอารมณ์ร่วมกับหนังเท่าเรา เลยจัดการระบายมันลงในบล็อกซะเลย
พี่เบ๊นก็ขอชื่อบล็อกเราไปแล้วบอกว่าไว้พี่จะไปอ่านนะ เราขอพี่เบ๊นช่วยมาคอมเม้นท์ให้ด้วย อยากรู้ว่าตัวเองเขียนแล้วเป็นยังไง
จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นคอมเม้นท์พี่เบ๊นเลยนะ แง้
แอบหวังอยู่เหมือนกัน แต่เราเข้าใจว่าพี่เบ๊นงานเยอะ
แต่ก็อยากให้พี่เบ๊นมาอ่านอยู่ดี :^)
พี่เบ๊นบอกว่าการที่เราเขียนบล็อกนับว่าเป็นเรื่องดีนะ แสดงว่าเราก็มีเลือดนักเขียนอยู่พอตัว และ "เขียนต่อไปเถอะถ้าเราชอบ ทุกวันนี้เรายังเขียนไดอารี่อยู่เลย"
มีไฟขึ้นมาเยอะ
(แต่หลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ก็มาฝ่อเพราะเจอไฟนอล ไฟกองใหญ่กว่าที่พร้อมจะคราชีวิตนักศึกษาได้ทุกเมื่อ อ๊อก)
คุยไปพี่เบ๊นก็เซ็นหนังสือไป เราดีใจที่ได้ซื้อหนังสือของพี่เบ๊นครบทุกเล่มที่พี่เบ๊นเขียน (ยกเว้น NY 1st Time ที่พิมพ์ปกใหม่)
ชีวิตติ่งรู้สึกคอมพลีทมาก ไม่เคยจ่ายเยอะให้กับนักเขียนคนใดคนหนึ่งมากขนาดนี้
หวังว่าพี่เบ๊นก็คงจะดีใจที่มีเราเป็นติ่งนะ (ไม่หรอกม้างง)
ขอบคุณที่ติดตามกันมา และให้เอาตีนพาดนะ เป็นคนแรกและคนเดียวจริงๆ 5555
ปล. ไม่ได้เล่นควิซแคซแล้วแฮะ อดชนะเลย
ปลล. เคยเข้ามาคอมเม้นแล้วแฮะ ที่เขียนเรื่องหนัง แต่ทำไมไม่อยู่ สงสัยล็อกอินไม่ผ่าน
แล้วก็มาเม้นอีกรอบก็ได้นะคะพี่เบ๊น ถ้าพี่ว่าง :D