เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อคิดออกจะมาเขียนสุพรรณฝันเฟื่อง
เก้า(ที่จริงแล้วคือสิบ) : หนีไปด้วยกัน
  • เราพึ่งมีโอกาสที่ดูหนังที่เราดองไว้มาหลายเดือน
    ชื่อเรื่องคือ "Moonrise Kingdom" กำกับโดย Wes Anderson
    เรื่องย่อของหนังเรื่องนี้แบบเราคือ

    พระเอกที่เป็นลูกเสือหนีจากค่าย/นางเอกที่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กมีปัญหาหนีออกจากบ้าน/สองคนนี้เคยเจอกันมาก่อนเมื่อปีที่แล้ว/ทั้งสองคนเป็นเพื่อนทางจดหมาย/พบว่าต่างคนต่างก็พบปัญหาชีวิตที่คล้าย ๆ กัน/วางแผนจะหนีออกไปด้วยกัน/ผจญภัยอะไรด้วยกัน/ท้ายที่สุดก็ได้พบกับสถานที่ที่ควรจะเป็นของทั้งสองคน/จบ 

    เป็นหนังที่เราคิดว่าแนวของมันคือ หนังรักของเด็กสองคนที่มีความคิดและความพร้อมจะเผชิญหน้ากับการหนีปัญหาไปด้วยกัน

    จุดสังเกตของเราต่อหนังเรื่องนี้คือ หนี

    การดำเนินเรื่องภายในตัวหนังส่วนใหญ่จะเป็นการหนีเสียส่วนใหญ่ และตัวละครที่หนีก็เป็นตัวหลักของเรื่องที่อายุยังไม่มาก

    แต่

    ถึงแม้เราจะบอกว่าเป็นการหนี แต่เรามองการหนีของทั้งสองแบบทึ่ง ๆ เพราะมันเป็นการหนีที่ถูกวางแผนไว้อย่างดี และเป็นการหนีที่ทำให้เราเห็นว่า การมีทักษะลูกเสือติดตัวไว้ มันช่วยเหลือเราในเวลาคับขันได้จริง ๆ  (ถ้าเกิดว่าเราคึกอยากทำแบบในหนังล่ะก็นะ) เสียดายที่เรามีทักษะพวกนี้น้อยไปหน่อย และเท่าที่เคยผ่านชีวิตลูกเสือเนตรนารีีมา สิ่งที่ได้เรียนรู้มามากที่สุดคือการร้องเพลงลูกเสือและการม้วนผ้าพันคอให้สวย ๆ 

    และ

    ถึงแม้ว่าเราจะมองการหนีของทั้งสองคนแบบทึ่ง ๆ ยังไง ความเป็นจริงคือสิ่งที่ตัวละครทั้งสองทำอยู่มันก็คือการหนีอยู่ดี ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น

    แล้ว

    ทำไมต้องหนีล่ะ ?

  • คำถามนี้เหมือนย้อนกลับมาถามเราเหมือนกัน

    นั่นสินะ ทำไมต้องหนีล่ะ

    มีหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราที่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี แล้วเราเลือกที่จะไม่เผชิญหน้าโดยตรงกับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นไปแล้ว และหลายครั้งที่เราเลือกที่จะหนีจากความจริงหรือสิ่งไม่ดีที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น ด้วยวิธีเท่าที่เราจะคิดออก หลอกตัวเองว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ทำให้ตัวเองหายไปจากสถานการณ์ตรงนั้นบ้าง (เดินหนี เป็นต้น) หรือในกรณีที่ทำงานกันเป็นกลุ่ม  ก็อาจจะพยายามดันให้คนอื่นออกไปเผชิญหน้าปัญหานั้นก่อนเรา ฟังดูแย่เนอะ 

    แต่พอถึงเวลานั้นจริง ๆ เราก็ไม่อยากเจอปัญหาก่อนอยู่แล้ว ใครที่พอช่วยบั่นทอนปัญหาได้บ้าง เราก็ต้องให้เขาเป็นเหมือนกันชนให้ แต่ท้ายที่สุด เราก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหานั้นอยู่ดี 

    การหนีมันเลยดูเหมือนไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่ แถมยังจะส่งผลเสียให้กับตัวเราเองด้วยซ้ำไป ถ้าสมมติว่าเราหนีปัญหาหนึ่งที่มันมีผลกระทบต่อคนหลายฝ่าย นอกจากจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนแล้ว ภาพลักษณ์ของเราหรือความน่าเชื่อถือในตัวเราก็จะลดลง โอกาสอะไรหลาย ๆ อย่างก็มีสิทธิ์หนีเราไปหาคนอื่นได้ทุกเมื่อ

    แต่เราว่าการหนีมันก็ยังมีข้อดีอยู่นะ อย่างน้อย ๆ หนีจากปัญหาไปในบางครั้ง เราก็จะได้มีเวลาคิดทบทวนถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และอาจจะได้วิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่าการมาคิดในเวลาสั้น ๆ มีเวลาเตรียมตัว รวบรวมความคิด วางแผนที่จะแก้ปัญหาได้ดีขึ้น และเมื่อเราพร้อมที่จะกลับไปแก้ไขปัญหา เราก็จะแก้ไขได้ถูกจุด

    แต่ถ้าเกิดผิดจากแผนที่เราวางไว้ ไม่แน่ว่าเราก็อาจจะหนีซ้ำอีกครั้งก็ได้ (ขำ)

    หรือการหนีทำให้เรารู้สึกมีพื้นที่ของตัวเองมากขึ้น มีความรู้สึกที่สบายใจ แต่ก็แน่ล่ะ ถ้าจะสบายใจก็คงเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานเท่าไหร่นักหรอก ความกังวลจากการหนีต้องเกิดขึ้นและรบกวนเราอยู่ภายในใจไม่มากก็น้อย

    สรุปการหนีมันมีข้อดีจริง ๆ บ้างมั้ยนะ 
    เท่าที่อ่านจากที่ตัวเองพิมพ์มา รู้สึกถึงความดีแบบไม่สุดของการหนีทั้งนั้นเลยแฮะ 

    แต่เป็นไปได้ เราก็ไม่อยากหนีปัญหานะ เท่าที่เห็นผลกระทบของการหนีปัญหาแล้ว ก็ไม่ช่วยให้ปัญหาที่มีอยู่มันดีขึ้นหรือเกิดการคลี่คลายจากเดิมเท่าไหร่หรอก 

    ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ คือเลิกหนีและเผชิญหน้ากับมัน


  • ต่อจากนี้อาจถือว่าเป็นการสปอยล์แบบคร่าว ๆ สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูก็ได้นะ แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่ค่อยสปอยล์เท่าไหร่หรอก เราก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้ว (ผลลัพธ์จากการดองไว้เป็นเวลาหนึ่ง)

    ตัดภาพมาที่ Moonrise Kingdom

    ในตอนท้าย ๆ ของเรื่อง การหนีของตัวละครหลักทั้งสองก็เดินทางมาถึงทางตัน พวกเขาถูกพบตัวหลังจากที่ได้พบกับสถานที่ในฝันของพวกเขาเพียงไม่นาน เป็นการปิดฉากการหนี...โดยยังไม่สมบูรณ์

    สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากความวุ่นวายในการที่ทั้งสองคนถูกพบตัวแล้ว คือการเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยคราวนี้ หนังทำให้เราเห็นถึงการแก้ปัญหาของตัวละครหลายตัวที่ก่อนหน้านี้ปัญหาของพวกเขาถูกกล่าวถึง แต่ยังไม่มีแรงดึงดูดพอให้เราสนใจปัญหาของพวกเขาเหล่านั้น เมื่อถึงเวลานี้ การแก้ปัญหาของพวกเขาเป็นสิ่งที่เราต้องคอยเอาใจช่วย เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่งผลต่อตัวละครหลักทั้งสองที่เราจับตาดูมาตั้งแต่ต้น

    ท้ายที่สุด การเผชิญหน้ากับปัญหา และแก้ไขมันอย่างสุดความสามารถ ก็ทำให้เรื่องราวจบลงไปด้วยดี 

    แต่เนื้อเรื่องในหนังเองนั้น ก็ยังไม่ลืมที่จะเก็บประเด็นหลัก (สำหรับเรา) ซึ่งก็คือ การหนี ยังคงมีเรื่องนี้ปรากฏขึ้นมาในช่วงท้าย ๆ ของหนัง ไม่โดดเด่นอะไรมาก แต่ก็พอให้เราจับมาเป็นประเด็นได้ คือ การลบชื่อสถานที่ที่ควรจะเป็นของทั้งสองคนออกจากแผนที่ เป็นเหมือนมุกตลกทิ้งท้ายว่า 

    ไม่ว่ายังไง หนังเรื่องนี้ก็ยังคงปิดฉากการหนีไม่ได้อยู่ดี

    ปลาลิง
    เขียนจบในวันคริสต์มาสพอดี ปิดท้ายกันสักหน่อยดีกว่า

    ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ
    แมรี่ เมอรี่ คริสต์มาสค่ะ 
    :)




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in