ของขวัญปีใหม่ชาวจีน ยกเลิก'นโยบายลูกคนเดียว'

บนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้จีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุด แค่ชาวจีนประเทศเดียวก็คิดเป็นประชากรร้อยละ 18 ของโลกแล้ว (อะไรจะเยอะขนาดนั้น) จำนวนประชากรในประเทศจีนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซะจนเมื่อ 30 กว่าปีก่อนรัฐบาลต้องออกกฏหมายกำหนดให้แต่ละครอบครัวมีลูกได้เพียงคนเดียว (ห้ามกันดื้อ ๆ อย่างนี้แหละ) แต่ปีหน้ารัฐบาลจะอนุญาติให้ชาวจีนมีลูกได้มากกว่า 1 คนแล้วล่ะ!



newyorker.com

ก่อนอื่นมินิมอร์ขอพาย้อนกลับไปถึงช่วงสงครามกลางเมืองในจีนเมื่อปี1949 ที่ทำให้ประชากรจีนมีจำนวนลดลงอย่างน่าตกใจ ทั้งลี้ภัยการเมืองบ้าง เสียชีวิตจากภาวะสงครามบ้าง ทำให้จีนต้องออกนโยบายเพิ่มจำนวนประชากรของตัวเอง จนประชากรเพิ่มขึ้น ๆ อย่างรวดเร็ว (จำนวนประชากรหรือระดับน้ำทะเลขึ้นลงไวมาก!) เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากเกินไปก็เป็นปัญหาต่อการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ (น้อยไปก็ไม่ได้ มากไปก็ไม่ดี โอ๊ย ปวดหัว)

นับตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา ครอบครัวชาวจีนจึงถูกจำกัดให้มีลูกได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะรัฐบาลอยากจะลดจำนวนประชากรลง ภาครัฐอ้างว่านโยบายลูกคนเดียวนี้ลดชาวจีนไปได้มากถึง 400 ล้านคน (โห นี่ขนาดลดแล้วนะเนี่ย)

สำหรับคู่รักที่อาศัยอยู่ในเมืองสามารถมีลูกได้เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ถ้าอาศัยอยู่ไกลออกไปในเขตชนบทรัฐผ่อนปรนให้มีลูกได้ 2 คน แต่ก็ไม่ใช่อยู่ ๆ จะผ่อนปรนนะ เพราะรัฐมีข้อแม้ว่าจะมีลูก 2 คนได้ ก็ต่อเมื่อมีลูกคนแรกเป็นผู้หญิงหรือลูกคนแรกพิการเท่านั้น ส่วนใครที่ฝ่าฝืนก็มีบทลงโทษทั้งการปรับเงิน หรือไล่ออกจากราชการ (โหดจัง) 


businessinsider.com

นโยบายลูกคนเดียว สร้างผลกระทบให้ประเทศจีนพอสมควร อย่างที่ชาวมินิมอร์รู้กันว่าชาวจีนอยากมีลูกผู้ชายไว้สืบสกุล ดังนั้นถ้าครอบครัวไหนมีลูกเป็นผู้หญิง ก็มักจะทำแท้ง หรือฆ่าลูกสาวตัวเองจะได้มีโอกาสมีลูกชาย  ยิ่งทำให้ประชากรเกิดความไม่สมดุล เพราะใคร ๆ ก็อยากมีลูกชาย จำนวนประชากรเพศชายจึงมากกว่าเพศหญิงหลายเท่า!


huffingtonpost.com

รัฐบาลจีนจึงแก้กฏหมายใหม่เพื่อเพิ่มประชากรวัยทำงาน เพราะตอนนี้ผู้สูงอายุมีมากกว่าหนุ่มสาววัยทำงานจนน่าตกใจ การยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวนี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคมปีหน้า นับเป็นของขวัญปีใหม่ชิ้นสำคัญที่มอบให้คู่รักชาวจีนที่อยากมีลูกทั้งหลาย โดยเชื่อว่าภายใน 34 ปีข้างหน้า การยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวจะทำให้จีนมีประชากรเพิ่มขึ้นอีก 30 ล้านคนเลยทีเดียว!

ที่มา