“คนบ้านเดียวกัน แค่มองตากัน ก็เข้าใจอยู่”
คุณว่ามันจริงอย่างที่ไผ่ พงศธรร้องไว้ในเพลง “คนบ้านเดียวกัน” ไหม ฉันว่าจริงนะ เพราะคำว่า “บ้าน” ในเพลงนี้ไม่ได้มีความหมายเป็นตัวอาคาร แต่หมายถึงผืนแผ่นดิน สังคม วัฒนธรรมเดียวกัน ฉันเองถึงจะไม่ใช่คนต่างจังหวัด แต่ก็มีภาษาท่าทางที่ใช้กันเฉพาะในกลุ่มเพื่อนเวลาจะนินทาหรือหลอกด่าใครนอกกลุ่ม
แต่ทีนี้ทุกการสื่อสารก็อาจมีพลาดได้เหมือนกัน ถึงได้มีสิ่งที่เรียกว่า ความเข้าใจผิด อยู่ในโลกนี้ไง เอาแค่ในประเทศไทยเอง ดราม่าการเมืองกีฬาสี อนุรักษ์นิยมคลั่งชาติ เสรีนิยมประชาธิปไตย เผด็จการทหารล่าแม่มด แค่นี้ก็ยากที่จะให้เราหันหน้าเข้าหากันแล้ว (เว้นแต่จะไปนั่งรถสองแถว) ถามว่าเราจะเข้าใจกันได้อย่างไร อันนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องของปัจเจก ต่างคนต่างความคิดต่างมุมมอง จะให้เหมือนกันไปทุกเรื่องคงเป็นไปไม่ได้ ต้องมีบ้างบางเรื่องที่คิดและรู้สึกแตกต่างกันออกไป แต่ถึงอย่างไรความคิดเหล่านั้นก็ไม่เคยสร้างปัญหา ตราบใดที่เจ้าของความคิดแสดงออกภายใต้ข้อตกลงร่วมกันที่เรียกว่าศีลธรรมและกฎหมาย ใครที่ฝ่าฝืนก็ต้องเจอบทลงโทษอันเท่าเทียมเป็นสากล แต่ถึงกระนั้นเวลาที่ไม่ได้ดั่งใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขึ้นมา ข้อบังคับเหล่านั้นก็จะถูกเพิกเฉยโดยฝ่ายที่ได้มาซึ่งอำนาจอันมิชอบ และถูกแทนที่ด้วยตรรกะแปลกๆ ทุกทีไป การพบกันครึ่งทาง ปรับตัวเข้าหากันของสองฝ่ายหรือมากกว่านั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะต่างฝ่ายต่างก็เชื่อมั่นในความคิดตัวเอง อ้างว่าอีกฝ่ายต้องฟังและทำตามเสียงเรียกร้องแกมบังคับของฝ่ายตนบ้าง แม้จะเป็นเสียงของคนกลุ่มน้อยแต่ก็มีคุณภาพ และฉันเป็นฝ่ายถูกนะ เธอเป็นฝ่ายผิด แบ่งขั้วตรงข้ามชัดเจน คือถ้าไม่ใช่พวกเราก็ถือเป็นคนอื่นหมด แต่เราต่างก็เป็นคน มีความรู้สึกนึกคิดนะ ไม่ใช่ภาพวาด จะให้มีแค่สองมิติได้อย่างไร
คำสั่งเรียกตัวคนคิดต่างมารายงานตัว รวมถึงการลากคนที่ชูสามนิ้ว กินแซนด์วิช กินข้าวหลาม ต่อต้านรัฐประหาร ถูกผู้มีอำนาจในบ้านเมืองบางคนทำให้เป็นเรื่องชอบธรรมโดยอ้างว่าเป็นหนึ่งในหนทางคืนความสุขให้กับเจ้าของประเทศที่แท้จริง ซึ่งก็คือประชาชน ฉันฟังแล้วขำแทบตกเก้าอี้ (ล่าสุดมีพาสปอร์ตคนดีอีก จะบ้าตาย ไม่มีอะไรให้ทำก็อยู่เฉยๆ บ้างก็ได้ อยากได้หน้ามากเหรอ มีอย่างอื่นให้ทำอีกเยอะนะ) เพราะการกระทำเหล่านั้นมันคือการจำกัดอิสรภาพทางความคิด ถ้าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดแล้วเราจะมีความสุขได้หรือ ถามว่าฉันฟังคำกล่าวอ้างพวกนั้นจากทางไหน ขอตอบว่า ก็ทางรายการที่แทรกเข้ามาทุกสถานีวิทยุและโทรทัศน์ไทยในเวลา prime time นั่นแหละ แล้วถามต่อไปอีกว่าทำไมต้องเป็นช่วงเวลานี้ ขอตอบว่า ก็เพราะว่าการที่จะแสดงผลการปฏิบัติงานหรือการที่จะหาเรื่องพล่ามเป็นวรรคเป็นเวรได้ทุกวัน วันละเป็นชั่วโมงๆ โดยเฉพาะ "เย็นวันศุกร์" เพื่อปลูกฝังอุดมการณ์ความคิดไปจนถึงล้างสมอง ให้ได้ผลไวในเวลาอันสั้น ต้องใช้ช่วงเวลาที่คนส่วนมากกลับเข้าบ้านมาเปิดทีวีดูกันหมดแล้วนี่แหละจึงจะได้ผล propaganda แบบนี้ พวกคลั่งเจ้าไม่ออกมาประณามล่ะว่าทำไมใช้วิธีเดียวกับเจ้า ตีตัวเสมอเจ้านะเนี่ย (พ.ย. 2494 ร. 9 กลับพระนครพร้อมพระราชินี ต่อมาได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงแจ๊สชื่อ ยิ้มสู้ ทรงจัดรายการวิทยุก่อนเที่ยงทุกวัน ส่วน "เย็นวันศุกร์" ก็มีการถ่ายทอดสดร่วมกับกลุ่มพระสหาย) โชคดีที่ยุคนี้มีอินเตอร์เน็ต ทำให้เราไม่ต้องทนถูกปิดหูปิดตา บางคนก็เลือกที่จะเปลี่ยนช่องไปดูลาวสตาร์ ฝึกภาษาเตรียมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนไป หรือบางคนที่บังเอิญได้ยินก็คงเพราะเปิดทิ้งไว้ แต่ขอเตือนว่าอย่าดีกว่า เดี๋ยวจะโดนสะกดจิตโดยไม่รู้ตัว และต่อให้คนฟังเขาฟังคำพูดคุณ แต่เขาก็มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ได้ยินได้ บอกได้ยากว่าใครฟังไม่ฟัง และคนที่ทำเหมือนฟังได้ยินสิ่งที่คุณพูดจริงๆ หรือไม่
Just because someone is smiling, doesn’t mean their life is perfect.
สมัยก่อนเราสร้างภาพเมืองไทยเมืองยิ้มไว้เพื่อเชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามา “ยิ้ม” ด้วยกัน ซึ่งก็ได้ผลดี เพราะมีต่างชาติเข้ามา “ยิ้ม” กับชาวไทยมากมายหลายท่าทาง ไม่ว่าจะ 69 หรือ missionary นี่ฉันไม่ได้จิกกัดนะ ฉันชื่นชมจริงๆ เศรษฐกิจดีและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกแบบนี้ ฉันสนับสนุนให้ “ยิ้ม” กันได้เลย ไม่ต้องยั้ง แต่มาวันนี้ จุดประสงค์ในการยิ้มของเราเปลี่ยนไป เราถูกบังคับให้มีความสุข เราจึงต้องยิ้ม ไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามว่า ยิ้มทำไม ยิ้มแล้วได้อะไร รู้แต่ว่าถ้าเราไม่ยิ้มเราอาจจะโดนยิงทิ้งได้ นอกเสียจากเราจะมีโอกาสได้ออกไปข้างนอกประเทศแล้วมองกลับมาในมุมที่แตกต่างถึงจะรู้ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าคนนั้นมันเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ยกตัวอย่าง เพลง Smile ของ Charlie Chaplin เป็นยิ้มเพื่อให้กำลังใจตัวเอง แม้ชีวิตจะไม่เหลืออะไรเลยอละหมดเรี่ยวแรงมองหาหนทางก้าวต่อ ขณะที่เพลง Smile ของ Lily Allen เป็นยิ้มที่เกิดจากการแก้แค้น เผาใจตัวเอง ไม่ได้สร้างสุขที่แท้จริง
การอ้างว่าคืนความสุขด้วยการแจกตั๋วหนัง จัดคอนเสิร์ต หรือเปิดให้เข้าสวนสัตว์ฟรี ดูจะเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเวลาและทรัพยากรโดยใช่เหตุ ก็เพราะความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ไม่เชื่อไปสัมภาษณ์คนดูดี 100 คนดูก็ได้ ว่าแต่ละคนสุขอยู่ที่ใด หากต้องการคืนความสุขให้กันจริงๆ น่าจะเริ่มจากการให้เสรีภาพทางความคิด Journalism is not a crime ปล่อยให้สื่อได้นำเสนอและวิพากษ์ปรากฏการณ์ทางสังคมไปอย่างที่มันควรจะเป็นดีกว่า ให้สิทธิและที่ทางในการแสดงออก ไม่ใช่มาบอกให้หุบปากด้วยเหตุผลแค่เพียงว่า ต่อต้านทำไมในเมื่อทำลงไปแล้ว หรือไม่อย่างนั้น ทุกครั้งที่เข้ามาพูดแทรกรายการต่างๆ ก็ควรจะเปลี่ยนเพลง title รายการเป็นเพลงรวมดาวสาวสยามไปเลย ฟังแล้วจะได้ยิ้มตามเนื้อเพลง เอาทหารมาเต้นประกอบด้วยนะ ไหนๆก็ลอกแบบจากเกาหลีเหนือมาจัดกิจกรรมแบบนี้กันแล้ว ยิ้มสิ ยิ้มสิ ผู้ชมรายการ ยิ้มให้เบิกบาน สราญระรื่นสุขสม
อ่านเพิ่มเติมเพื่อความเพลิดเพลินได้ที่บทความเรื่อง "ความสุข" ในหนังสือ "นิธิ เอียวศรีวงศ์ อ่านการเมืองไทย ลำดับที่ 1 การเมืองเรื่องผีทักษิณ" และ "เบื้องหลังรอยยิ้มสยาม" ในหนังสือ "นิธิ เอียวศรีวงศ์ อ่านการเมืองไทย ลำดับที่ 3 การเมืองของเสื้อแดง" สำนักพิมพ์ openbooks (เขียนเมื่อ July 2014 คิดดูแล้วกันว่าบ้านเราดักดานคลานเต่าแค่ไหน จากวันนั้นถึงวันนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยน ยกเว้นพรีเซนเตอร์ dutchmill คนใหม่คือ ไผ่ พงศธร)
ที่มาชื่อเรื่อง
ตุลา 2021 หนังหว่องกาไว 4K มาเกือบครบเซ็ตในเน็ตฟลิกซ์ (ส่วน happy together อยู่ใน Disney+)
ที่มารูปภาพ
https://hilight.kapook.com/view/111949
https://www.voicetv.co.th/read/Z5OzzZFkx
https://www.facebook.com/watch/?v=906315793119716
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in