“หนูรู้สึกว่าหนูไร้ค่า”
สไปรท์ ตัวละครจาก hormones the series กล่าวไว้ใน season 1 ไม่คิดว่าฉันจะได้กล่าวคำ ๆ นี้กับคนในครอบครัวเหมือนกัน ก็แหม 1 ปีแล้วนะ ที่ฉันว่างงาน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะไร้ค่าถึงขั้นไม่มีใครเอาทั้งที่จบมาก็สูง (แถมกลายเป็นว่าบางทีไม่กล้ารับเพราะคิดว่าคนจบสูงจะไม่สู้งานเสียอย่างนั้น) และหางานไปทั่วทั้งที่ตรงสายและไม่ตรง ลองคิดถึงลูกตาสีตาสาที่ไม่ใช่เด็กช้างเผือก ไม่ได้เรียนเก่งโดดเด่นอะไร เส้นสายก็ไม่มี เท่าที่พ่อแม่ฉันคิดได้ก็มีแค่ให้กลับไปทำนาทำไร่เลี้ยงควายเลี้ยงวัวอยู่กับญาติพี่น้องในชนบทเท่านั้น ทำราวกับว่ามันเป็นงานง่าย ๆ ไม่ต้องใช้สมองอย่างนั้นแหละ ดูสิ ขนาดญาติพี่น้องฐานะระดับเดียวกัน (เผลอ ๆ พ่อแม่ฉันที่เสนอหน้ามาอยู่ในเมืองยังจะยากจนกว่าญาติพี่น้องในชนบทด้วยซ้ำ) ยังดูถูกอาชีพกันเองเลย ส่วนตัวฉันไม่รังเกียจนะ แต่ที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ก็เพราะมันต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะด้าน ถ้างานเหล่านั้นใคร ๆ ก็ทำได้จริง แล้วจะมีสาขาวิชาด้านการเกษตรโดยเฉพาะเพื่ออะไร ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของสัตว์แต่ละชนิดได้และผสมปุ๋ยสำหรับพืชแต่ละประเภทเป็น
บทความชื่อ “Korean sports fail to shake off culture of cheating” ในหนังสือพิมพ์ Korea Times เมื่อปี 2014 กล่าวว่า ครูอาจารย์จะกำชับเด็กให้โกงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ว่า "ยังไม่โกง เท่ากับยังไม่พยายามมากพอ" (การโกงมันมีอยู่ทุกที่ ต่อให้มีงานทำก็ถูกเพื่อนร่วมงานโกงได้อยู่ดี เช่น การอู้ โยนงาน หรือทำอะไรเอาหน้าไง) เพราะอย่างนี้เราจึงเห็นนักกีฬาเกาหลีใต้เล่นไม่ซื่อกันเป็นนิสัยมาแต่ไหนแต่ไร ต้องการได้ทุกสิ่งดังใจโดยไม่สนวิธีการที่ทำให้ได้มา ฉันเองก็เริ่มคิดแล้วนะ ว่าถ้าเราโกงโดยใช้เส้นสายมาช่วยบ้างก็คงจะดี ฉันนึกย้อนไปถึงการสมัครงาน ๆ หนึ่งที่กำหนดว่าต้องใช้ใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาลรัฐเท่านั้น วันนั้น ฉันเข้าไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง สภาพภายนอกแลดูสะอาดสวยหรู ภายในก็เปิดแอร์เย็นฉ่ำ พนักงานสาวสวยแต่งกายคล้ายแอร์โฮสเตสโผล่มาจากทางไหนก็ไม่รู้ ต้อนรับเราอย่างไม่รังเกียจรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ว่าคุณจะลากสังขารพิการเลือดโชกหรือแต่งกายสกปรกส่งกลิ่นเน่าแค่ไหนก็ตาม เธอก็จะตอบคุณได้ทุกข้อกังขา ฉันสัมผัสได้ทันทีว่าบรรยากาศแบบนี้ต้องเป็นโรงพยาบาลเอกชนแน่ ๆ แต่ก็ยังจะถามย้ำเพื่อความมั่นใจก่อนจะต้องลาจากเธอไป แน่นอนว่าโรงพยาบาลเอกชนค่าใช้จ่ายต้องสูงกว่าของรัฐแน่ แต่ฉันว่ามันมีผลต่อสุขภาพกายและจิตของเรานะ เพราะโรงพยาบาลของรัฐที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนี้มากนักนั้น เป็นโรงพยาบาลที่พ่อแม่ฉันเห็นว่ามันโทรมทั้งภายในและภายนอกมาตั้งแต่สมัยที่ฉันยังไม่เกิด ซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นเดิม กลิ่นโรงพยาบาลและฝูงชนมากมายที่ไม่มีทางเลือก ต้องมาใช้บริการกับโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น ปะปนกับคนจนที่ไม่มีปัญญาไปใช้บริการของเอกชนไม่ว่าจะป่วยหนักแค่ไหน ก็ต้องรอบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่รู้จักผลัดกันไปพักเที่ยง แต่ดันพักพร้อมกันทีเดียวหมด ฝ่ายต้อนรับก็หน้าอย่างกับปลากระโห้ พูดจาไม่อ่อนหวานเพราะพบผู้คนมากหน้าเกินไป ถ้าความเป็นรัฐไม่สมาทานทุนนิยม ทำไมไม่เปิดเป็นสำนักทรงเจ้าจ่ายยาผีบอกไปเลยล่ะ มาเปิดเป็นโรงพยาบาลทำไม ดูเพิ่มเติมที่นี่
แล้วรู้ไหมว่าค่าใบรับรองแพทย์ที่เรารอคอยการตรวจอยู่นาน แต่ถึงเวลาหมอก็ฟังเสียงเราหายใจสองทีแล้วเซ็นให้นี่มันเท่าไหร่ มันก็ไม่แพงหรอก ค่าพบหมอเพื่อที่จะเอาลายเซ็นไก่เขี่ยประทับลงไปในใบรับรองนี่ยังแพงกว่าอีก แต่โรงพยาบาลที่ฉันไม่เอ่ยนามนี่ก็มีช่องโหว่อย่างหนึ่งนะ คือพอตรวจเสร็จก็ให้เอาใบเสร็จไปจ่ายค่าบริการในอีกจุดที่ห่างไกล อันนี้ถ้าไม่ต้องรับยาเราก็สามารถเบี้ยวไม่จ่ายก็ได้เพราะหมอออกใบรับรองแพทย์มาแล้วไง ไม่ต้องเอาอะไรอีก แต่ถ้าใครที่ไม่เคยมาใช้บริการแล้วซื่อสัตย์พอก็อาจจะเจอค่าบริการที่นอกเหนือใบเสร็จ นั่นคือค่าบัตรประจำตัวผู้ป่วยของโรงพยาบาล ที่ถ้าเป็นฉันจะไม่มีวันกลับมารักษาเพราะคงได้รอจนเลือดหมดตัวแน่ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสังเกต ทำไมบริการของรัฐต้องช้ากว่าเอกชนนะ ค่าบริการมันต่ำเลยต้องให้บริการแบบต่ำ ๆ เหรอ ทำลายสุขภาพจิตกันชัด ๆ
สมมุติว่าฉันใช้เส้นสายจนมีงานทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ เรื่องเครื่องแบบจะกลายเป็นปัญหาไหม ไอ้ประเภทที่กำหนดว่าต้องใส่กางเกงสแล็คและรองเท้าหนังเท่านั้นมาทำงานจนเดินตกส้นกันขาพัง สุดท้ายพนักงานก็ต้องเตรียมอีแตะมาเปลี่ยนในที่ทำงานอยู่ดี อยากถามคนคิดกฎจังว่าเห็นกฎมาก่อนความสะดวกรวดเร็วในการทำงานรึเปล่า หรือแกอยากเห็นฉันใส่รองเท้าหนังไปเหยียบหน้าแม่แก พอเขียนถึงตรงนี้ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะว่าตัวเองเป็นพวกนิยมความรุนแรงหรือ EQ ต่ำรึเปล่า เอาเป็นว่า ถ้าจะโหดขนาดนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นแค่เรื่องสมมุตินั่นแหละดีแล้ว เพราะอย่างที่บอกไป ฉันไม่เคยใช้เส้นสาย ไม่ใช่ว่าซื่อสัตย์สุจริตอะไรหรอก แต่มันไม่มีไง ถ้ามีคงไม่มาบ่นเรื่องว่างงานอยู่อย่างนี้หรอก แต่บ่นเพื่อระบายออกบ้างมันก็ดีนะ ดีกว่าทำร้ายตัวเอง ถ้าให้ดีหัดควบคุมอารมณ์ดีกว่า แต่ห้ามเก็บกดนะ ให้รู้จักเลือกหากาลเทศะที่จะระบาย แล้วก็อย่าให้ใครหรืออะไรต้องเสียหายจากการระบายอารมณ์ก็พอ
เงินเดือนก็ไม่ได้เดือนละล้าน คนที่เก่งและดีเด่นกว่าเราก็เยอะ ถ้าพยายามถึงที่สุดแล้วยังดีไม่พอก็ไม่ต้องไปตัดพ้อโชคชะตา เพราะมันเสียเวลาและคงจะไม่มีอะไรดีขึ้น แล้วถ้าไม่มีเงินสักบาทก็ไม่ต้องใฝ่หาพัฒนาตัวเองที่ไหนหรอกนะ เอาชีวิตให้รอดไปวัน ๆ แค่นั้นก่อน เพราะต่อให้พัฒนาแล้วก็ใช่ว่าเขาจะเอาอยู่ดี บางทีตัวตนความเป็นคนของเราบางคนมันก็เปลี่ยนยากกว่าที่คิด ต่อให้มีศัลยกรรมหรือการพัฒนาบุคลิกภาพก็ตาม สุดท้าย ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ต่อให้คุณมีเส้นสายก็เถอะ
ฉันคงต้องหาอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานทำแล้วล่ะ อยู่เฉย ๆ หาคู่รวย ๆ ย้ายประเทศแม่ง อยู่ยากฉิบ เอ๊ะ! หรือจริง ๆ มันไม่ได้อยู่ยาก แต่เราต่างหากที่แตกต่างเกินไป
จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากมีเส้นสายหรอกนะ เพราะเวลาญาติโยมฝากเข้าทำงานเนี่ย มันทุกข์มาก อึดอัดเวลามีคนจ้องจับผิด ยิ่งถ้าต้องทำงานในห้องเดียวกับญาติพี่น้อง ใครที่เคยคงรู้ว่าทุกข์อย่างไร ดูอย่างเพื่อนตุ๊ดของฉันคนหนึ่งที่กัดฟันแอ๊บแมนมานานสิ ถึงขั้นต้องลาออกมาว่างงาน เพราะกลัวพ่อแม่รู้ว่าเป็นตุ๊ด และไม่ใช่ทุกบ้านที่จะดูลูกตัวเองออกแต่ไม่บอกออกมานะ บ้างบ้านเขาดูลูกตัวเองไม่ออกจริงๆ ก็มีถมไป เผลอหลุดสาวแตกนิดเดียวความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวคงเปลี่ยนไปตลอดกาลเชียว ดูเพิ่มเติมที่นี่
ขอบคุณ Michelangelo และ ภูริตา บุญล้อม สำหรับภาพประกอบซึ่งไม่เกี่ยวกับเนื้อหาโดยตรง แต่ฉันจะใช้ มีไรป่ะ ส่วนเครดิตต้นทางก็อยู่ในรูป ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.beartai.com/lifestyle/505730 และ https://praew.com/people/celeb-story/411042.html
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in