วันหนี่ง เราพาแม่ไปหาหมอตามนัดที่โรงพยาบาลชลบุรี ในระหว่างรอเรียกชื่ออยู่หน้าห้องหมอ เราสังเกตเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 5-6 ขวบ เดินไปหยิบแผ่นพับ (เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ) มาจากชั้นวาง 1 ใบ และเดินกลับไปนั่งที่เดิม เราเห็นเหมือนเด็กชวนผู้ใหญ่ที่มาด้วยกันดูแผ่นพับ แต่ไม่ได้รับความสนใจ เด็กก็เลยได้แต่เปิดไปเปิดมาเพียงลำพังอยู่พักหนี่งแล้วก็ปิด
เราเห็นเด็กอยากอ่านหนังสือ อยากให้เขารู้สึกว่าการอ่านหนังสือเป็นเรื่องที่ดี อยากสนับสนุนเขา จึงตัดสินใจเขยิบเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามเด็กว่า "อ่านให้ฟังไหม?" เด็กยิ้มและพยักหน้า เราก็จะเริ่มต้นอ่าน แต่คิดในใจว่าจะอ่านอย่างไรให้เด็กสนุก? เพราะมันคือแผ่นพับ "การบริหารเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน" (เราเดาว่าที่เด็กเลือกหยิบใบนี้ เพราะเป็นใบเดียวที่มีรูป ใบอื่นๆ มีแต่ตัวหนังสือ) ที่มีรูปภาพประกอบเป็นรูปข้อเท้า และ คำอธิบายใต้ภาพเป็นวิธีการบริหารเท้าแต่ละข้าง มีอยู่ประมาณ 3-4 ท่า ในใจคิดว่า ไม่น่าหาเรื่องเลยเรา ทำไงดี แต่บอกไปแล้วว่าจะอ่านก็คงต้องอ่าน
เราเริ่มต้นอ่านให้เด็กฟัง คำอธิบายใต้รูปบอกให้ทำท่าอะไรกี่ครั้ง เราก็ทำตามนั้นแล้วบอกให้เด็กทำตามไปพร้อมๆ กัน ด้วยความเป็นเด็ก เขาก็สนุกไปกับการได้ฟังและทำตาม เขายิ้มอายๆ แต่ดูรู้ว่าชอบใจ อ่านจบไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อแม่เข้าห้องพบหมอ เราออกมาก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นแล้ว กลับถึงบ้าน เราเล่าเรื่องนี้ให้ลูกสาวฟัง ลูกนักอ่านวัยมัธยมปลาย ให้คำแนะนำเราว่า "แม่ก็พกนิทานเล่มเล็กๆ ไว้ในกระเป๋าเลย" เราว่าเป็นความคิดที่ดี แต่ก็ลืมและไม่ได้ทำ
อีก 2 เดือนต่อมา เราพาแม่ไปหาหมอตามนัด ระหว่างรอเรียกชื่อพบหมอ เราก้มหน้าอ่านหนังสือของเราตามปกติ สักพักรู้สึกว่ามีคนยืนดู จึงเงยหน้าขึ้นมา ปรากฎว่าเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้น!! คนที่เราอ่านแผ่นพับให้เขาฟัง เราประหลาดใจไม่คิดว่าจะได้เจอเขาอีก ผู้ใหญ่ที่มาด้วยกันบอกเราว่า เด็กถามเขาว่าวันนี้จะได้เจอเราไหม เราคิดทันทีว่า เขาคงอยากให้เราอ่านหนังสือให้ฟังอีก ในมือเด็กถือแผ่นพับไว้ด้วย!!
ในขณะที่เด็กเฝ้ารอให้ถึงวันนี้ วันที่จะได้มาโรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อจะได้มาเจอกับเราและให้เราอ่านให้เขาฟังอีก แต่เราลืมเขาไปแล้ว... เด็กทำให้เรารู้สึกเหมือนเราได้เป็นแรงบันดาลใจให้เขา และ เขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับเราเช่นกัน ในเวลานั้นรู้สึกมากๆ ว่าเราต้องทำอะไรบางอย่าง จะอ่านแผ่นพับอีกไม่ได้แล้ว เราลองไปดูที่ชั้นหนังสือของโรงพยาบาล ก็มีแต่หนังสือธรรมะ และ หนังสือเด็กที่มีเพียงเล่มเดียวก็ไม่น่าอ่านและไม่เหมาะกับเด็กเล็ก
ตอนนั้นเราคิดว่าจะทำยังไงดี เสียงในใจบอกเราว่า "ไปซื้อหนังสือ" เราก็เถียงกับเสียงนั้นว่าจะดีเหรอ เวอร์ไปเปล่า จะกลับมาทันแม่หาหมอไหม ลังเลว่าจะไปหรือไม่ไปอยู่พักหนึ่ง แต่เพราะเห็นเด็กเฝ้ารอเรามาตลอด 2 เดือนเพื่อจะฟัง อยากให้เขาได้ฟังนิทานดีๆ เราก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ คำนวณเวลาเดินทางไปกลับ เวลาที่จะใช้ซื้อหนังสือ คิดว่าน่าจะกลับมาทันก่อนแม่พบหมอ จึงตัดสินใจบอกแม่ว่าจะไปซื้อหนังสือแล้วจะรีบกลับมา
เราตัดสินใจนั่งรถสองแถวไปห้างโลตัสที่ใกล้ที่สุด เพราะมีร้านหนังสืออยู่หน้าทางเข้า แต่ไปถึงก่อน 10 โมง ร้านยังไม่เปิด และด้วยเวลาอันจำกัดจึงรีบเข้าไปซื้อในโลตัสโซนเครื่องเขียน แต่ก็ใช้เวลานานกว่าที่คิด เพราะไม่คุ้นเคยและไม่มีเรื่องที่อยากได้ ต้องค่อยๆ เปิดอ่านทีละเรื่อง และเลือกเรื่องที่คิดว่าพอใช้ได้ไปก่อน เลือกได้หลายเรื่องพอสมควร และคิดว่า ไหนๆ ก็จะซื้ออยู่แล้ว ซื้อไปเรื่องละหลายๆ เล่ม ให้เด็กเอากลับบ้านไปอ่านต่อ และที่เหลือทิ้งไว้ที่ชั้นหนังสือที่โรงพยาบาล ให้เด็กคนอื่นๆ ที่จำเป็นต้องมาพร้อมพ่อแม่มีอ่านระหว่างรอ ดีกว่าให้เล่นโทรศัพท์ พอออกจากโลตัสเราเห็นร้านหนังสือเปิดแล้ว เลยแวะเข้าไปซื้อเรื่องที่ต้องการเพิ่มอีกหลายเรื่อง เสร็จแล้วก็รีบออกมานั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับไปโรงพยาบาล ในใจพองโต
ถึงหน้าห้องหมอ เราจัดการคัดแยกหนังสือเล่มที่จะให้เด็กนำกลับบ้าน กับหนังสือที่จะไว้ที่โรงพยาบาล เด็กมายืนดูอยู่ข้างๆ พร้อมกับถามเราว่าเอาหนังสือมาจากที่ไหน เราตอบเขาไปตามตรงว่าไปซื้อมา หลังจากแบ่งหนังสือให้เด็กเรียบร้อยแล้ว เด็กนำหนังสือไปฝากไว้กับผู้ใหญ่ที่มาด้วยกัน ทั้งสองคนยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณเรา (ทั้งที่ผู้ใหญคนนั้นอายุมากกว่าเราด้วย) ระหว่างที่นั่งรอต่อไป เราเห็นเด็กขอให้ผู้ใหญ่หยิบหนังสือออกมาและทำท่าเหมือนจะให้ผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง แต่เราเห็นผู้ใหญ่ (ซี่งเป็นชาวบ้านธรรมดา) ตอบว่าไม่เอา เดี๋ยวกลับไปอ่านที่บ้าน เราจึงเดินไปหยิบหนังสือ ที่เราเพิ่งเอาไปวางไว้ที่ชั้นมาอ่านให้เด็กฟัง อ่านไปได้ประมาณ 2 เล่ม ก็ถีงคิวแม่หาหมอ แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้าย และก็ไม่ได้เจอกันอีก
เราไม่รู้หรอกนะว่า ถึงที่บ้านแล้วจะมีใครอ่านหนังสือให้เด็กฟังไหม แต่อีกไม่นานเขาก็จะโตขึ้นและสามารถอ่านเองได้ และเราก็หวังว่าเขาจะได้อ่านหนังสือนิทานที่เราให้ และแอบหวังในใจ อย่างเข้าข้างตัวเองว่า ^^ เราและหนังสือนิทานชุดนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยน เป็นแรงบันดาลใจให้เขารักการอ่านก็ได้ หวังไว้อย่างนั้น
หลังจากนั้นทุกครั้งที่เราพาแม่ไปหาหมอ เราจะคอยตรวจดูที่ชั้นหนังสือว่า เล่มที่ซื้อมายังอยู่ไหม ขณะเดียวกันก็เห็นว่าชั้นหนังสือโรงพยาบาลมีหนังสือที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น คงจะมีคนอื่นๆ นำหนังสือมาวางเพิ่มเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือธรรมะ และ ซีดีที่พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ไม่มีหนังสือนิทานสำหรับเด็ก ถ้าหนังสือนิทานหายไป เราจะดีใจเพราะอาจจะมีคนนำกลับบ้านไปอ่าน และเราก็จะหาหนังสือใหม่มาเติมในครั้งถัดไป แต่บางเล่มเป็นหนังสือที่เราและลูกอ่านจบแล้วและไม่อ่านแล้ว บางครั้งก็เป็นหนังสือธรรมะ ที่เราเห็นว่าควรค่าแก่การอ่านแต่ไม่ค่อยมีใครพิมพ์แจก
การให้ธรรมเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง การให้หนังสือนิทานเด็ก จะเป็นการให้ธรรมไหม แล้วแต่การตีความของแต่ละบุคคล แต่สำหรับเรา การอ่านหนังสือให้เด็กผู้หญิงคนนั้นฟังในวันนั้น เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ เป็นการท้าทายตนเอง และ ทำให้เราได้รับธรรม จากการเป็นผู้ให้ด้วยเช่นกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in