เราเคยฝึกเพาะต้นไม้จากเมล็ด กินอะไร ก็เพาะต้นนั้น มีลิ้นจี่ เงาะ มะไฟ มะม่วงเขียวเสวย มะม่วงน้ำดอกไม้ ฝรั่งหนองข้างคอก ชุดแรกที่เพาะคือ มะม่วงน้ำดอกไม้ และ เขียวเสวย แต่ก่อนเราไม่รู้วิธีเพาะ จึงฝังดินทั้งเมล็ด รอเท่าไหร่ก็ไม่งอก เลยไปลองหาข้อมูล และถามผู้รู้แล้วลองใหม่ ครั้งนี้งอกทุกเมล็ด
มะม่วงน้ำดอกไม้ เพาะก่อนเขียวเสวยตั้งนาน งอกมามีลำต้นเล็กๆ ผอม และใบเล็กนิดเดียวจนเหมือนหนามมากกว่าใบ ใส่ปุ๋ยรดน้ำเท่าไหร่ใบก็ไม่ใหญ่ และสักพักใบเล็กๆ นั้นก็แห้งเหี่ยวไป ในขณะที่เขียวเสวย เพาะทีหลังแต่ลำต้นและใบใหญ่กว่ามาก ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะเขียวเสวยโตเร็ว น้ำดอกไม้โตช้า เพราะผู้รู้ก็บอกเช่นนั้น แต่ผ่านไปเดือนกว่าก็ยังโตเท่าเดิม จึงคิดว่าไม่ใช่แล้ว เมล็ดน้ำดอกไม้ที่เราได้มาอาจไม่สมบูรณ์ ต้นจึงไม่โต หรือ อาจเป็นพืชตัดแต่งพันธุกรรมก็ไม่อาจรู้ได้ (เพื่อไม่ให้เมล็ดงอกเป็นต้นได้ โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ เพื่อบังคับให้ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์) เพราะน้ำดอกไม้เราซื้อมาช่วงที่มีโควิดแล้วมะม่วงล้นตลาดส่งออกไม่ได้พอดี ในขณะที่เขียวเสวย เพื่อนเก็บมาให้จากต้นที่ปลูกเองในบ้าน สุดท้ายน้ำดอกไม้ก็กลายเป็นปุ๋ยต่อไป
ชุดที่ 2 ที่เพาะคือ ลิ้นจี่ เงาะ มะไฟ เราไปซื้อถาดเพาะพลาสติกมา ใส่ดินรองก้นหลุม ใส่เมล็ด แล้วกลบ รดน้ำทุกวัน ผ่านไป 3-4 วัน ลิ้นจี่งอกก่อนเพื่อน ใส่ไว้หลายเมล็ด แต่งอกไม่พร้อมกัน ด้วยความที่เคยแต่ซื้อกิน ไม่เคยเห็นต้น ตอนที่เห็นต้นลิ้นจี่ค่อยๆ โต รู้สึกว่าเป็นต้นไม้ที่มีรูปทรงสวยงาม น่าปลูกเป็นไม้ประดับเหมือนกัน (ตอนหัดปลูกตันไม้ใหม่ๆ ไม่เคยคิดจะปลูกไม้ผลเลยเพราะคิดเอาเองว่าตันคงไม่สวย สนใจแต่ไม้ใบ ไม้ดอก)
ผ่านไป 1 สัปดาห์ เมล็ดลิ้นจี่ที่เพาะไว้งอกเป็นต้นกล้าทุกเมล็ด ต้นแรกที่งอกน่าจะเป็นต้นที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะเราสังเกตเห็นว่ามีลำต้นตรง ใบใหญ่และมีสีเขียวทั่วทั้งใบ ในขณะที่ต้นอื่นๆ ที่งอกทีหลัง บางต้นลำต้นงอไม่ยืดตรง บางต้นมีใบที่เล็กกว่า บางต้นใบทั้งเล็กและด่างผ่านไป 2 สัปดาห์ เราย้ายต้นกล้าลิ้นจี่จากกะบะเพาะลงกระถางเล็ก และไม่เห็นเมล็ดไหนงอกอีก จึงเตรียมจะขุดดินและเมล็ดไปเป็นปุ๋ยต้นอื่นต่อไป
ขณะที่กำลังขุดก็มองเห็น เส้นสีเขียวเล็กๆ บางๆ เรี่ยติดดิน ก้มลงไปดูใกล้ๆ จึงเห็นว่าเป็นต้นอ่อนของมะไฟ กำลังงอก แต่มีเฉพาะส่วนลำตันเล็กๆ ที่โผล่พ้นดินขึ้นมานิดเดียว ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น พอรู้แน่ชัดว่าเป็นต้นอ่อนมะไฟ เราก็เลยหยุดขุด และรดน้ำต่อไปเรื่อยๆ อีกหลายวันกว่าต้นอ่อนนั้นจะยืดลำต้นขึ้นมาเหยียดตรง และอีกหลายวันกว่าเมล็ดอื่นๆ จะค่อยๆ งอกตามออกมา
ส่วนเงาะ เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ก็ไม่งอก เราจึงขุดไปเป็นปุ๋ยให้ต้นอื่น แต่ขณะขุดมีหลุมหนึ่ง เมล็ดแยกออกและมีลักษณะคล้ายต้นอ่อนโผล่ออกมาแต่ยังไม่พ้นผิวดิน จึงลองย้ายเมล็ดนั้นลงกระถางเล็ก เติมดิน ใส่ปุ๋ยมูลไส้เดือน รดน้ำใส่ปุ๋ยไปเรื่อยๆ เห็นมีแต่ลำตันขึ้นมาเหมือนกับมะม่วงน้ำดอกไม้ที่งอกไม่สำเร็จ ก็คิดว่าคงเหมือนกัน แต่ก็ยังรดน้ำใส่ปุ๋ยไปเรื่อยๆ นานแค่ไหนจำไม่ได้ แต่สุดท้ายจากที่มีแต่ลำต้นก็แตกใบ และโตขึ้นเรื่อยๆ แม้จะค่อนข้างช้า แต่ก็โตขึ้นและใบก็ใหญ่ขึ้นด้วย
แม้แต่ต้นไม้ที่ดูซับซ้อนน้อยกว่ามนุษย์ก็ "คิด" และ "พัฒนา" ตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอดเช่นเดียวกัน เพราะเราสังเกตเห็นว่า ต้นแรกที่สมบูรณ์ที่สุด มีจำนวนใบน้อยกว่าเพื่อน แต่ใบใหญ่ สมบูรณ์ทุกใบ ใบที่มีคงเพียงพอต่อการสังเคราะห์แสงและผลิตอาหารสำหรับให้อยู่รอดได้แล้ว ในขณะที่ต้นที่งอกช้ากว่ามักจะมีใบเล็กกว่า และบางเมล็ดงอกช้ามากๆ ใบเล็ก และด่างด้วย แต่จะมีจำนวนใบมากกว่าต้นที่สมบูรณ์มากๆ คงเพราะใบที่เล็กและด่างทำให้สังเคราะห์แสงได้ไม่ดี จึงจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนใบเพื่อให้สามารถสังเคราะห์แสงและผลิตอาหารได้เพียงพอ
จากการเพาะเมล็ดคร้้งนี้ ทำให้รู้ว่า แม้แต่ต้นไม้ชนิดเดียวกันก็ใช้เวลาในการงอกไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของเมล็ด ยิ่งเป็นต้นไม้ต่างพันธุ์ต่างชนิดกัน เวลาที่ใช้ในการงอกยิ่งไม่เท่ากัน หากเราไม่อดทนรอให้เพียงพอ เราอาจไม่ได้เห็นต้นกล้าของไม้ต่างพันธุ์ การที่เราเห็นลิ้นจี่งอกหมดแล้ว และตัดสินว่ามะไฟ หรือ เงาะคงไม่งอกแล้ว ไม่รออีกต่อไปขุดไปทิ้ง เราก็คงไม่มีทางได้เห็นต้นอ่อนของมะไฟและเงาะตลอดชีวิตเรา
เมื่อมองย้อนกลับมาดูการเจริญเติบโตของคน เราคิดว่าก็ไม่ต่างจากต้นไม้ คนแต่ละคน มีต้นทุนในชีวิตมาไม่เท่ากัน คนที่เกิดมาพร้อมกับต้นทุนทีเพียบพร้อม อาจไม่ต้องใช้ความพยายามมากในการมีชีวิตรอดและพัฒนาตนเอง เหมือนต้นกล้าที่งอกจากเมล็ดสมบูรณ์ มีลำต้นและใบที่สมบูรณ์ มีใบเพียงไม่กี่ใบก็สามารถสังเคราะห์แสงให้เพียงพอแก่การมีขีวิตรอดแล้ว ในขณะที่คนเกิดมามีต้นทุนชีวิตที่ไม่พร้อมในด้านใดด้านหนึ่ง ก็ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น ต้องพัฒนาตนเอง ดิ้นรน ขวนขวาย เพื่อให้มีขีวิตรอดในแต่ละวัน เหมือนกับต้นที่งอกช้า จากเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ ใบเล็กและด่าง ต้องขยันผลิใบ เพื่อเพิ่มจำนวนใบในการสังเคราะห์แสง เพื่อให้ได้ปริมาณอาหารเพียงพอ
ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และเข้าใจเรื่อง "แต่ละเรื่อง" ในชีวิต "ไม่เท่ากัน" บางคนอาจเรียนรู้เข้าใจได้เร็วทุกเรื่อง เพราะมีต้นทุนชีวิตที่พร้อมในทุกด้าน ในขณะที่บางคนอาจเร็วในเรื่องหนึ่ง แต่ช้าในเรื่องอื่นๆ หรือ บางคนอาจจะไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย เพราะต้นทุนที่ขาดมาตลอดชีวิต แม้ว่าภายนอกเราจะดูเป็นคนเหมือนกันทุกประการ แต่ภายในเราไม่รู้หรอกว่าเมล็ดพันธุ์ของแต่ละคนนั้นสมบูรณ์หรือไม่ เขาเป็น ลิ้นจี่ มะไฟ หรือ เงาะก็ไม่รู้ และโดนตัดแต่งพันธุกรรมมาไหม ก็ไม่รู้เช่นกัน การพยายามทำความเข้าใจว่า คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน จะช่วยทำให้เราอดทนรอที่จะเห็นคนอื่นๆ เรียนรู้และเข้าใจเรื่องต่างๆ ได้ และจะช่วยให้สามารถยอมรับได้ด้วย หากเขาไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ เพราะเรารู้แล้วว่าสิ่งที่ส่งผลต่อคนๆ หนึ่งไม่ได้มีเพียงสิ่งที่เรามองเห็นแค่ภายนอกเท่านั้น
สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in