เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Cambridge CallPaphavee S.
Plan, Plan, Plan
  • จริงๆเราว่าการเตรียมตัวเข้าเรียนต่อนี่ ค่อนข้างเป็นการวางแผนการมากกว่าใช้ความสามารถอีก
    เราพอดีรู้ตัวค่อนข้างเร็วว่าคงจะต่อโทเลยก็ตอนเรียนจบตรี-รับปริญญาพอดี 
    เลยมีเวลาเตรียมตัวประมาณเกือบ 1 ปีเต็มๆ 

    ที่ตัดสินใจไปเรียนต่อสายบริหารทั้งๆที่จบสายออกแบบมานี่ จริงๆก็มีเหตุผลง่ายๆ 2 ข้อ

    1. ที่บ้านอยากให้เรียน: ด้วยลูกทั้ง 3 คนไม่รักดี เรียนสายออกแบบหมด 555555
      ผอ.ที่บ้านเลยแนะนำว่าให้ซักคนเรียนบริหาร จะได้มีความรู้เรื่องธุรกิจและการตลาด/จะเปิดบริษัทเองในอนาคต ซึ่งเราเลยอาสาขอมาเรียนให้เองงง 

    2. จริงๆก็อยากเรียนสายออกแบบต่อ แต่ก็ยังไม่คิดออกว่าจะเรียนสาขาอะไรดี
      แต่ไม่เป็นไร เรียนบริหารแทนก็ได้ เอาความรู้ธุรกิจมาผสมออกแบบมันก็ต่อยอดได้อยู่
      จบมาจะทำสาย Brand consultant ก็น่าสนใจ

    พอรู้แล้วว่าจะโฟกัสไปที่หลักสูตร Management ที่จะเรียนรวมๆหลายๆด้าน ทั้ง Marketing, Finance, Accounting, Economics และอื่นๆ ซึ่งดีที่ว่าจะเรียนแต่ละวิชาไม่ลึกมาก ออกแนวจับฉ่าย
    ก็เหมาะดีกับเรา จะได้ไม่อ้วกแตกตายก่อนเรียนจบ ตั้งใจว่าเลือกไปเรียนที่อังกฤษ เพราะหลักสูตรปโทมันปีเดียวเอง กำลังทนเรียนได้พอดีๆแบบไม่คิดถึงบ้านมากนัก

    หลังจากนั้น ก็ค้นหาคอร์สเรียนว่าของมหาลัยไหนดี ดูแรงค์กิ้ง อ่านหลักสูตร ดูค่าเทอม ที่ไหนชื่อดังๆ
    ก็ลิสต์ออกมาได้เป็น

    1. MPhil in Management ของ University of Cambridge
      จะอยู่ภายใต้ Judge Business School เป็นหลักสูตรสำหรับคนที่ไม่ได้จบสาย Business มาก่อน และมีประสบการณ์ทำงานไม่เกิน 1 ปี เรียน 9 เดือน
    2. MSc Innovation, Entrepreneurship and Management ของ Imperial College London 
      เลือกเพราะว่า Innovation กับ Entrepreneurship นี่แหล่ะ เพราะจบสายออกแบบมา น่าจะไปต่อยอดเป็นสาย Tech startup ได้พอดี งาน UI/UX นี่ของชอบ
    3. MSc Business (Marketing) ของ Warwick
      วอร์ริคก็ดังในไทยดี จริงๆมีหลายสายให้เลือก แต่คิดว่ากับตัวเองสาย marketing น่าจะตรงสุดแล้ว มั้งนะ

    ส่วน Oxford ไม่มีลิสต์ไว้ เพราะเค้ามีแต่ MBA ไม่มีหลักสูตร Management 
    จริงๆเคยมีลิสต์ LSE กับ LBS ไว้ด้วย แต่ LSE หลักสูตร Management ดันเรียน2ปี
    LBS ถึงเรียนปีเดียว แต่ค่าเทอมแพงมาก แถมทั้งคู่ require GMAT/GRE อีกต่างหาก
    ต้องขอลาก่อย เพราะน้องขอไม่สู้เลขจริงๆ...


    ตารางเตรียมตัวของเราเอง



  • ส่วนตัวแล้ว คิดว่ามหาลัยในอังกฤษบ้าเกรดพอสมควร 
    (ยกเว้นสายออกแบบไว้ซักสายนึง เพราะเค้าดูพอร์ตกัน)

    คือใน requirement ของแต่ละคอร์สส่วนใหญ่ก็จะบอกเกรดไว้เลย ว่าต้องขั้นต่ำเท่าไหร่
    เราโชคดีเรื่องเกรด ปีท้ายๆได้ดี เลยฉุดขึ้นมาได้เยอะ
    แถมได้เหรียญช็อคโกแล็ตมาเป็นที่ระทึกเฉย 55555
    (แต่จริงๆเกรดรวมเราก็ไม่ได้สูงมากนะ ถ้าเทียบกับคณะอื่น อย่างสายบัญชีงี้)
    ส่วนตัวแล้วเราคิดว่าถ้า minimum requirement ถึง
    คือเกรดถึง ประสบการณ์ทำงานถึง และลักษณะคอร์สตรงกับความต้องการเรา
    ก็สมัครยื่นได้เลย มีโอกาสติดมากกว่าไม่ได้ยื่นแน่นอน

    อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ และเราว่ามีผลมาก คือจดหมายรับรองจากอาจารย์
    โชคดีอีกอย่างก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาที่เรารบกวนให้เขียนจดหมายให้ก็จบจากสายอังกฤษ
    ท่านหนึ่งก็จบ PhD และเป็นหัวหน้าภาควิชา อีกท่านก็จบ RCA กับเคยทำคอร์สเวิร์คร่วมกับ Imperial
    เลยให้คำแนะนำได้ แม้ว่าอาจารย์จะเชียร์ให้ต่อสายออกแบบต่อก็ตาม (“ไป RCA แทนม้ะ”)
    แต่พอถามว่าลิสต์มหาลัยที่เลือกไว้เป็นไงบ้างคะ จารย์บอกเออออเห็นด้วย
    บอกดีครับ เมืองสวยดีครับ ผมว่าสวยกว่าออกซ์ฟอร์ดนะ อยากไปเป็นนักเรียนฮอกวอร์ตอ่ะดิ


    Cambridge v Oxford 
    มหาลัยคู่ขวัญ เรียกรวมสั้นๆว่า Oxbridge ถ้าให้เทียบก็คงอารมณ์จุฬา-ธรรมศาสตร์ล่ะนะ


    ส่วนตัวแล้ว รู้สึกว่า Cambridge จะดูวิทย์ๆกว่า 
    ศิษย์เก่าดังๆก็เซอร์ไอแซคนิวตันงี้ ชาร์ลส์ดาร์วินงี้ อลันทูริ่งงี้ สตีเฟ่นฮอว์กิ้งงี้
    ส่วน Oxford ก็จะมาสายศิลป์ ออกแนวการเมืองๆหน่อย 
    ศิษย์เก่าก็ เจอาร์อาร์โทลเคียน อดัมสมิธ(เศรษฐศาสตร์คนนั้นแหล่ะ) อดีตนายกเดวิดคาเมรอน


  • เอกสารประกอบการสมัคร

    ด้วยความที่ส่วนใหญ่ดันเลือกแต่มหาลัยดังๆที่มักจะเล่นตัว ไม่ยอมมีเอเจนท์ในการรับสมัครนักเรียน
    การสมัครทุกอย่างเราเลยสมัครเองหมด ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้ยากอะไร เดี๋ยวนี้เค้าทำระบบออนไลน์หมดแล้ว
    ระดับความซับซ้อนก็อารมณ์เว็บกรอกข้อมูลตอนสมัครวีซ่า หรือจองตั๋วเครื่องบิน

    เอกสารที่ใช้ ส่วนใหญ่ก็ตามมาตรฐาน

    1. Transcript
    2. Personal Statement (บางทีก็เรียก Statement of Purpose)
      บางมหาลัย(เช่น Cambridge กะ Imperial) อาจจะไม่ได้ให้ส่งไป 
      แต่ให้ตอบคำถามเป็นข้อๆแทน แต่แต่ละคำถามก็อารมณ์เหมือนเขียน PS แหล่ะ ครือๆกัน
    3. Recommendation letters (จากอาจารย์/เจ้านาย ปกติก็ขอกัน2คน)
    4. IELTS/TOEFL เกณฑ์คะแนนนี่ก็แล้วแต่มหาลัยจะขอ
      โดยมาตรฐานก็จะเอาที่ IELTS 6.5 แต่ถ้ามหาลัยดังๆก็จะเอาสูงไปอีก
      อย่างImperial ก็จะเอาที่7 ส่วนCambridge ก็จะเอาที่7.5 
    5. บางที่อาจจะขอ CV ประกอบด้วย (เพราะImperial ขอ)

    ส่วนสำหรับใครที่อยากจะขอทุนด้วย ก็อาจจะต้องเขียนเรียงความเพิ่มว่า ทำไมเราถึงต้องการขอทุน 
    (เดี๋ยวเราจะเขียนเรื่องการขอทุนแยกไปอีกบท)





    เราแยกเอกสารไว้โฟลเดอร์ละมหาลัยเลย สะดวกดี 

  • มหกรรมการรอผล

    โชคดีอีกอย่างที่เกิดมาอยู่ในยุคที่อินเทอร์เน็ตกว้างขวางแล้ว ทุกมหาลัยมีระบบ Apply Online
    แถมสามารถ Track status ได้ด้วยว่า application เราไปถึงไหนแล้ว มีกรรมการอ่านไปรึยัง
    นี่ขนาดมีระบบนี้ยังมิวายจะเข้าไปเช็คทุกวี่วัน ว่าเมื่อไหร่สเตตัสจะเปลี่ยนๆ
    ไม่อยากจะนึกถึงยุครอจดหมายมาส่งบ้าน คงรอจนเหงกไปเลย

    ตอนกรอกก็ง่าย Application system ส่วนใหญ่จะเซฟไว้ได้ ไม่จำเป็นต้องกรอกให้เสร็จรวดเดียว
    (ยกเว้นของ Warwick ไว้ที่นึง ขอบ่นหน่อย เซฟได้ก็จริง
    แต่ user experience ห่วยมาก interface ก็ไม่สวย จ้างหนูไปออกแบบให้ใหม่มั้ยคะ 555)
    พอหลังจากกด Submit ไปแล้ว ก็เหลือเวลารออย่างเดียว
    ซึ่งก็แล้วแต่แต่ละคณะ แต่ละมหาลัย เลยว่า จะใช้เวลานานแค่ไหน

    บางมหาลัยก็ตอบกลับค่อนข้างเร็วเลยทีเดียว
    อย่าง Imperial เราส่งใบสมัครไปธันวา นัดสัมภาษณ์ออนไลน์เดือนมกรา
    และรู้ผลเดือนกุมภาว่า… ไม่ผ่าน
    ช่วงนั้นก็เสียใจไปเหมือนกัน เพราะคิดว่า Imperial น่าจะเข้าง่ายกว่า Cambridge (เออเองแบบ ignorant มาก 5555) เรายังแอบเคืองๆเจ้าหน้าที่ของมหาลัยด้วย
    เพราะหลังทราบผลเราก็เมลกลับไปทันทีว่าขอ feedback ได้มั้ย
    เค้าก็ตอบกลับมา(แบบไม่ใยดี อันนี้เราก็เออออเอง จากโทนคำพูดที่เค้าเขียนมา) อารมณ์ว่า
    “ถึงใบสมัครคุณจะถึงเกณฑ์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะได้ offer นะ คือเรามีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติดีกว่าน่ะ”
    ยิ่งอ่านแล้วยิ่งสแลงใจ จิตใจห่อเหี่ยว โว้ย ไม่ง้อก็ได้ y.y

    จากนั้น Warwick ก็ตอบรับมา ซึ่งก็นับว่าค่อนข้างเร็ว
    คือใช้เวลาทั้งหมดรวมๆประมาณเกือบ 2 เดือน ซึ่ง Warwick ให้ Unconditional offer มาให้เราเลย
    แต่บังคับให้จ่ายมัดจำ £500 หรือประมาณ 25000 บาท
    ซึ่งตอนนั้นเรายังค้างคารอผลจาก Cambridge อยู่ แต่ก็พะวงว่าจะไม่มีที่เรียน เลยยอมจ่ายไป
    (แอบเสียดาย เอาเงินก้อนนั้นมาจ่ายอย่างอื่นได้เยอะแยะ เช่นช้อปปิ้ง หรือซื้อไอแพดโปร โอ้ยพูดแล้วยิ่งเสียดาย)

    และแล้ว สุดท้าย ท้ายสุด Cambridge ก็มา
    ที่จริงเราสมัครไปที่แรกเลย ส่งไปตอนปลายเดือนตุลา
    แต่กว่าจะรู้ผลก็นู่น ปลายเดือนเมษา! 6เดือนแห่งการรอคอย 555555
    คือวันที่รู้นี่ก็คือดึกดื่นเที่ยงคืน เข้าไปนั่งเช็คสเตตัสบนเว็บ(หลังจากที่ทำมาเป็นกิจวัตรแล้ว)แบบเนือยๆ
    พอเห็นว่าสเตตัสเปลี่ยนเท่านั้น วิ่งกรี๊ดทั่วบ้าน ปลุกพ่อปลุกแม่ปลุกแมวมาแจ้งข่าวดี 5555 :D



    ถ้าใครสมัครเคมบริดจ์แล้วกำลังรอผลอยู่ถ้ามันขึ้นสเตตัสนี้ล่ะก็ เตรียมปิดซอยเลี้ยงได้เลย



    Bottom line: ส่วนตัวคิดว่าถ้าอยากเข้ามหาลัยดีๆ ต้องมีเวลาเตรียมเอกสารมากพอสมควร
    เอาจริง อย่างกะวางแผนเตรียมรบ เอกสารค่อนข้างจุกจิก เพราะทุกอย่างควร personalised ให้เข้ากับมหาลัยที่จะสมัคร คิดว่าบางคนก็จะถอดใจตรงอีเตรียมเอกสารนี่แหล่ะ…

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in