ภาษาถือเป็นเครื่องมือหลักของคนในสังคมเพื่อใช้ในการสื่อสาร ภาษาเป็นยานพาหนะของความคิดที่มนุษย์ใช้ในการแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความเห็น รวมถึงความต้องการต่าง ๆ ความสนใจในภาษาของมนุษย์ได้สะท้อนให้เห็นจากการเกิดขึ้นของสาขาวิชาอย่างภาษาศาสตร์ที่ศึกษาแง่มุมทางภาษาในด้านต่าง ๆ และสาขาวิชาอื่น ๆ เช่น จิตวิทยา มานุษยวิทยา รวมถึงสังคมวิทยาเองก็มีแขนงที่มุ่งเน้นทำความเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของภาษากับสังคมอยู่เช่นกัน
บทความในครั้งนี้ ผมอยากชวนผู้อ่านมาลองทำความเข้าใจบทบาทของภาษาในสังคมมนุษย์โดยการมองผ่านประเด็นอย่าง "ชั้นทางสังคม (social class)" กันดูบ้าง ผมจะนำผู้อ่านไปเจออีกด้านหนึ่งของภาษา ด้านที่แสดงให้เห็นว่าภาษาเองก็มีอำนาจมากพอ ๆ กับเงินหรือชื่อเสียงที่เรามักใช้จัดคนรอบ ๆ ตัวเราออกเป็นกลุ่ม ๆ
บทความในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกผมจะนำผู้อ่านไปทำความเข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับการจัดช่วงชั้นทางสังคม รวมถึงวิวัฒนาการและประเด็นในเชิงแนวคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับช่วงชั้น ส่วนที่สองผมจะพูดถึงมิติต่าง ๆ ของภาษาที่สัมพันธ์กับช่วงชั้นทางสังคมและนำเสนอมุมมองของภาษาในฐานะภาพสะท้อนชนชั้น
สังคมไร้ช่วงชั้นไม่มีอยู่จริงบนโลก?
การแบ่งช่วงชั้นทางสังคม (social stratification) เป็นกระบวนการที่สังคมจำแนกสมาชิกภายในสังคมด้วยเกณฑ์ต่าง ๆ เกณฑ์เหล่านั้นทำให้สมาชิกในสังคมที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ในขณะที่สมาชิกที่มีลักษณะต่างออกไปจะถูกจัดให้อยู่คนละกลุ่ม
ผมอยากชวนให้ผู้อ่านคิดตามสิ่งที่ผมได้กล่าวไป แบบนี้ว่า กระบวนการแบ่งช่วงชั้นทางส้ังคมที่ว่านี้สร้างความเป็นปึกแผ่น (social solidarity) ให้เกิดขึ้นในสังคมพร้อม ๆ กับความแปลกแยก (social differentiation) กล่าวคือ สมาชิกในสังคมที่อาศัยอยู่ในกลุ่มเดียวกันจะมีความรู้สึกร่วมกัน ในเวลาเดียวกันสมาชิกกลุ่มนี้ก็รู้สึกว่าตนเองแตกต่างกับคนในกลุ่มอื่น ๆ นักสังคมวิทยาเชื่อว่านี่เป็นลักษณะที่ปกติและเกิดขึ้นกับสังคมทุกสังคมบนโลก ภาพสังคมที่ไร้การจัดช่วงชั้นเป็นภาพสังคมที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก ยังคงเป็นภาพที่อยู่ในอุดมคติ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเกิดสังคมไร้ช่วงชั้นเป็นไปได้ยากอาจมีสาเหตุตั้งแต่ในระดับปริชาน (cognitive) ของมนุษย์ซึ่งมีลักษณะชอบแยกแยะสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเองออกเป็นจำพวก (category) มนุษย์ใช้ความสามารถนี้ในการแยก เสียง /r/ ออกจากเสียง /l/ แยกเห็ดที่กินได้ออกจากเห็ดมีพิษ แยกสีแดงออกจากสีส้ม รวมถึงแยกมนุษย์ด้วยกันเองออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ด้วย
โดยทั่วไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเป็นความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง (hierarchical relation) คือ มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเหนือกว่าอีกกลุ่มหนึ่งเสมอ นักสังคมวิทยาเช่น
Gumplowicz และ
Oppenheimer เชื่อว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ธรรมชาติของการจัดช่วงชั้นเป็นเช่นนี้เพราะ
การจัดช่วงชั้นของมนุษย์มักเกิดขึ้นในบริบทของการเข้ายึดครองพื้นที่ (conquering) มาตั้งแต่ในอดีต หากกลุ่มผู้รุกรานสามารถยึดครองพื้นที่ได้สำเร็จ กลุ่มเหล่านั้นก็จะตั้งตนเป็นใหญ่โดยอ้างชัยชนะจากการต่อสู้เป็นเหตุผล กลุ่มผู้แพ้จึงตกอยู่ในสถานภาพทางกำลังที่ด้อยกว่าไปโดยปริยาย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นช่วงชั้นทางสังคมที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างทางกำลัง ในแน่งี้เองครับที่
กำลัง (power) ซึ่งผมขอให้คำจำกัดความไว้ว่า "ความสามารถในการควบคุมสิ่งรอบข้าง" กลายเป็นเกณฑ์แรกที่ใช้ในการจัดช่วงชั้นทางสังคม
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่นักสังคมวิทยาทุกคนชื่นชอบคำอธิบายเช่นนี้ นักสังคมวิทยาอย่าง
Sorokin ตั้งคำถามกับคำอธิบายข้างต้นอยู่เหมือนกันครับ Sorokin มองอีกมุมหนึ่งว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการปะทะระหว่างผู้รุกรานกับชนพื้นเมืองอำนวยให้เกิดการแบ่งช่วงชั้นก็จริง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียว เนื่องจากสังคมอีกหลายสังคมบนโลกก็มีการแบ่งช่วงชั้นโดยปราศจากสงครามหรือการปะทะกันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ Sorokin เสนอว่า
อันที่จริงแล้วการแบ่งช่วงนั้นอาจมีบ่อเกิดมาจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่แตกต่างกันของมนุษย์แต่ละคนอยู่อยู่แล้ว ลักษณะทางกายภาพ เช่น สีผิว สรีระ สถานที่เกิด หรือเชื้อชาติ เป็นสิ่งที่สามารถใช้จัดช่วงชั้นทางสังคมได้เช่นเดียวกัน ผมชวนผู้อ่านคิดตามแบบนี้ครับว่า
กลไกเบื้องหลังที่ทำให้ลักษณะทางกายภาพกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งในการจำแนกช่วงชั้นมีสาเหตุมาจากลักษณะทางกายภาพเหล่านี้ได้รับการให้คุณค่าทางสังคมครับ คุณค่านี้มาจากข้อตกลงร่วมกันของคนในสังคมแต่ละสังคมซึ่งแตกต่างกันได้ คนไทยอาจมองผู้ชายที่ดีหรือน่าพอใจด้วยลักษณะสรีระแบบหนึ่ง ในขณะที่คนญี่ปุ่นก็อาจจะมีลักษณะที่ดีของผู้ชายที่พึงประสงค์อีกแบบหนึ่ง แต่
ไม่ว่าลักษณะคนทั่วไปเห็นว่าดีหรือเป็นที่ชื่นชอบจะมีรายละเอียดอย่างไร คนที่เข้าข่ายลักษณะดังกล่าวจะได้รับ "ศักดิ์ศรี (prestige)" มากกว่าคนอื่น คำว่าศักดิ์ศรีในที่นี้ผมขอนิยามว่า "มาตรลักษณะที่สมาชิกในสังคมเห็นว่าพึงประสงค์"
เมื่อคนจำพวกหนึ่งมีศักดิ์ศรีมากกว่าคนอื่น คนจำพวกนั้นมีแนวโน้มที่จะได้รับความสะดวกสบายอะไรบางอย่างหรือได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าใช้บริการมากกว่าคนปกติ ถ้าเรามองมุมนี้เราจะเห็นว่าคนพวกนั้นก็มีอำนาจไม่ต่างจากพวกที่ใช้กำลังเข้ายึดครองพื้นที่ ข้อแตกต่างเดียวเห็นจะเป็นเรื่องที่มาของอำนาจที่เกิดจากการเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมนั่นเองครับ พอถึงตรงนี้ผมเลยอยากจะชวนผู้อ่านคิดตามแบบนี้ครับว่า
นอกจากอำนาจเชิงกายภาพที่ใช้กำลังในการได้มาแล้ว การจัดช่วงชั้นทางสังคมยังเกิดขึ้นได้จากอำนาจทางสังคมผ่านกลไกเรื่องศักดิ์ศรีอีกทางหนึ่งด้วยครับ
แนวคิดอีกแนวคิดหนึ่งเกี่ยวกับการจัดช่วงชั้นทางสังคมที่ผมอยากจะฝากไว้คือแนวคิดของนักปรัชญาประวัติศาสตร์ที่มีชื่อว่า
Spengler ครัับ Spengler ให้แง่มุมการเกิดช่วงชั้นทางสังคมไว้น่าสนใจทีเดียว โดยกล่าวว่า อันที่จริงแล้ว
ต้นกำเนิดของการจัดช่วงชั้นทางสังคมมาจาก "ความขาดแคลน (scarcity)" ครับ ในที่นี้ผมขอให้ความหมายคำว่า "ความขาดแคลน" ของ Spengler ไว้ว่า "ภาวะที่การผลิตไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคนส่วนมากในสังคมได้" นะครับ ถ้าเรามองตามที่ Spengler กล่าว เราจะเห็นว่า
เมื่อสังคมมีทรััพยากรไม่เพียงพอต่อความต้องการของทุกคน จะมีคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่ยังเข้าถึงทรัพยากรได้ ซึ่งผมอยากชวนผู้อ่านคิดตามแบบนี้ครัับว่า
ความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรในภาวะความขาดแคลน อันที่จริงเกิดจากการใช้กำลัังทางกายภาพไม่ก็อำนาจทางสังคมในการเข้าครอบครองครับ ไม่ว่าจะเข้าถึงทรัพยากรด้วยวิธีการแบบใด คนที่เข้าถึงทรัพยากรได้จะมีอำนาจขึ้นมาทันที
อำนาจที่มาจากการครอบครองทรััพยากรที่มากกว่าคนอื่นนี้เองที่ทำให้เกิดช่วงชั้นทางสังคม ในแง่นี้ผมอยากชวนผู้อ่านลองมองอีกครั้งครับว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น การสะสมทุน หรือการเข้าถึงทรัพยากรสามารถเป็นปัจจัยที่ใช้ในการจัดช่วงชั้นทางสังคมได้เหมือนกับสองเกณฑ์แรกที่ผมได้กล่าวไป
จนถึงตรงนี้ผมเชื่อว่าผู้อ่านคงเห็นภาพแล้วว่าในการแบ่งช่วงชั้นทางสังคม เกณฑ์ต่าง ๆ อาทิ กำลัง ศักดิ์ศรี หรือการเข้าถึงทรัพยากร ล้วนเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งช่วงชั้นทั้งสิ้น นักสังคมวิทยาจึงเกิดแนวคิดว่า แท้จริงแล้ว
การจัดช่วงชั้นทางสังคมเกิดจากการทำงานร่วมกันของเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้ในการแบ่งคนออกเป็นกลุ่ม ๆ เราจึงควรมองการจัดคนโดยการเอาเกณฑ์เหล่านี้มาซ้อนทับกัน หากมองด้วยวิธีการเช่นนี้ เราก็น่าจะเห็นปฏิบัติการทางสังคมที่แบ่งคนออกเป็นกลุ่ม ๆ นี้ได้ดีขึ้น กรอบที่มองว่ากลไกทางสังคมหลาย ๆ ตัวทำงานผสานกันในการจัดแบ่งช่วงชั้นของคนในสังคมเช่นนี้เรียกว่ากรอบคิดแบบ
intersectionality ครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากนักคิดในฝั่งสตรีนิยม ผมคงไม่ได้นำมาลงรายละเอียดในบทความนี้มากนักแต่ผมแปะคลิปที่อธิบายกรอบแนวคิดนี้ไว้ดีมาก ๆ ให้สองคลิปแทนละกันครับ
เมื่อสังคมมีการจััดช่วงชั้นทางสังคมเกิดขึ้น สังคมนั้นย่อมถูกแบ่งออกป็น "ชนชั้นทางสังคม" ต่าง ๆ
Ogburn และ
Nimkoff นิยามคำว่าชนชั้นทางสังคมว่า "กลุ่มของปัจเจกบุคคลกลุ่มใหญ่ ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับให้แตกต่างกันด้วยสถานะทางสังคม" ผมอยากชวนผู้อ่านมองแบบนี้ครับว่า เจ้า
สถานะทางสังคมที่ว่านี้คือการผสานกันของเกณฑ์ในการใช้จัดช่วงชั้นนั่นเอง ซึ่งได้แก่ สถานะทางเศรษฐกิจ สถานะทางสังคม รวมถึง เพศ อายุ และเชื้อชาติด้วยครับ
เมื่อสมาชิกในสังคมถูกจัดอยู่ในชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งสมาชิกเหล่านั้นก็จะมีจุดยืนทางสังคมที่ต่างจากสมาชิกชั้นอื่น ๆ และแน่นอนว่า
ชั้นทางสังคมเหล่านี้ก็มีรูปแบบความสัมพันธ์แบบแนวดิ่งเหมือนกัน กล่าวคือ จะมีชั้นที่มีสถานะสูงกว่าอีักชั้นหนึ่งครับ
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับชนชั้นทางสังคมคือ สถานะที่เหมือนกันนี้เองครับ สถานะที่เหมือนกันของคนในชั้นเดียวกันมีอำนาจมากกว่าที่คิด ผมชวนให้ผู้อ่านคิดแบบนี้ครับว่า เมื่อเราอยู่ชั้นเดียวกัน เราก็มักจะมีความรู้สึกดีกับคนที่มาจากชั้นเดียวกับเรา ผมขอยกสถานการณ์จำลอง เช่น เราไปเรียนภาษาที่ประเทศในแถบยุโรปที่มีโอกาสได้เจอคนจากแถบเอเชียน้อยมาก ๆ แต่วันหนึี่งนักเรียนใหม่ที่เข้ามาเรียนในเทอมนี้เป็นคนเอเชียเหมือนเรา เราจะรู้สึกอย่างไรครับ? ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะตอบว่ารู้สึก "ดี" คำถามผมคือ ทำไมเรารู้สึกเช่นนี้? ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้รู้จักเขาเลย คำตอบหนึ่งคือ เรามีอคติจากชนชั้นครับ สถานะทางชาติพันธ์ที่เหมือนกันกับเราทำให้เรามีแนวโน้มที่จะเข้าไปคุยหรือเปิดใจคุยกับนักเรียนใหม่คนนี้มากกว่าคนอื่น ๆ พอเห็นภาพไหมครับ? สถานะเดียวกันนี้เองที่ทำให้เกิดจิตสำนึกร่วมทางชนชั้น (class conciousness) พอเรามีจิตสำนึกในสถานะที่เหมือนกัน เราก็มีแนวโน้มที่จะแบ่งปันสิ่งต่าง ๆ ให้กันมากกว่าคนจากต่างชนชั้นครับ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เรามักแบ่งปันให้คนในชนชั้นเดียวกันมากกว่าคนจากชนชั้นอื่น ๆ คือ "การสื่อสาร (communication)" อาจฟังดูแปลก ๆ แต่ลองนึกถึงประสบการณ์การเข้าเรียนชั้น ม.4 หรือปี 1 สมัยมหาลัยดูสิครับ ผมเชื่อว่าในช่วงนั้น หากเรามีเพื่อนจากห้องเดียวกันหรือโรงเรียนเดียวกันมาด้วย เราน่าจะคุยกับเพื่อนเหล่านั้นมากกว่าเพื่อนใหม่ที่ไหนไม่รู้คนอื่น ๆ หากไม่มี เราน่าจะมีแนวโน้มที่จะคุยกับเพื่อนเพศเดียวกันหรือมาจากถิ่นเดียวกันมากกว่า ทั้งนี้ผมไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นแบบนั้นไปตลอดนะครับ เพียงแต่ช่วงแรกที่เราไม่รู้จักใครเลยเรามีแนวโน้มที่จะเลือกเข้าหาคนที่มีสถานะแบบเดียวกับเรามากกว่าคนอื่น
หากนำภาพที่ผมเพิ่งยกไปมาขยายให้กว้างขึ้น เราจะพบว่าปฏิบัติการของการสื่อสารในสังคมเองก็ไม่ต่างจากเหตุการณ์จำลองสักเท่าไหร่ พอเป็นเช่นนี้การสื่อสารจึงเกิดกับคนในชั้นเดียวกันมากกว่าต่างชั้นกัน หากการติดต่อดำเนินในลักษณะเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ภาษาที่ใช้ในแต่ละชนชั้นก็จะมีอัตราแลกเปลี่ยนกันต่ำ อีกทั้งมีสิทธิ์ที่ภาษาเองก็จะมีความต่างกัน ในแง่นี้ผู้อ่านเริ่มเห็นว่าภาษาเข้ามามีบทบาทต่อการสะท้อนชนชั้นมากขึ้นไหมครับ?
ประเด็นเรื่องการสื่อสารกับชนชั้นที่ผมกล่าวไปข้างต้นนี้ละครับเป็นแรงบรรดาลใจของส่วนถัดไปที่ผมจะนำผู้อ่านไปทำความเข้าใจภาษาในมุมมองที่ใช้เป็นเครื่องมือสะท้อนการแบ่งช่วงชั้นในมิติต่าง ๆ มุมมองที่ทำให้ภาษากลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่คนในสังคมใช้แบ่งช่วงชั้นทางสังคมระหว่างตัวเองกับคนอื่นได้เหมือนกับปัจจัยอื่น ๆ ก่อนหน้านี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in