13 Reasons Why คือ Netflix's Original Series เรื่องล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเราใช้เวลา 5 วันในการดูมันจนจบตอนแรกตั้งใจว่าจะดูวันละ1 หน้า (ซีรี่ย์มันแบ่งตอนเป็นหน้าเทป 1 ตอน คือ 1 หน้าเทป) ตามที่ซีรี่ย์แบ่งมาให้แต่อดใจไม่ไหวจริง ๆ เลยเปลี่ยนมาเป็นวันละ 2 - 3 ตอนเพราะอดใจไม่ไหวและมันทรมาณตามในซีรี่ย์จริง ๆถ้าจะค้างไว้นานเกินจะกดดันเพิ่มเปล่า
ซีรี่ย์ถูกดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของ Jay Asher ซึ่งเป็นเรื่องราวของ Clay Jensen เด็กหนุ่มไฮสคูลที่ได้รับเทปปริศนาจากเพื่อนร่วมโรงเรียน Hannah Bager ที่อัดไว้จำนวน 7 ม้วน 13 หน้า ก่อนตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยทั้ง 13 หน้านั้นจะอธิบายสาเหตุ ความเจ็บปวดจากการกระทำที่หลายคนกระทำไว้ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจแต่ทั้งหมดส่งผลให้ Hannah เลือกจะปลิดชีวิตตัวเองทิ้งไปและแน่นอน Clay เป็น 1 ใน 13 สาเหตุที่กล่าวมา
ตัวเนื้อเรื่องที่บอก 13 เหตุผล ที่มันเป็นการ Bullying กันในโรงเรียนพวกเราต้องผ่านประสบการณ์แบบนี้กันมาบ้างไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำ ผู้ถูกกระทำ หรืออย่างน้อยเราก็ต้องรับรู้เรื่องแบบนี้มาบ้างตอนแรกเราคิดว่ามันจะไม่หนักหน่วงอะไรมากก่อนได้ดู แต่กลับคิดผิดซีรี่ย์ไม่ได้ประนีประนอมคนดูเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่เทปแรกเริ่มเล่นขึ้นและกราฟความพีคนั้นพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนจบทั้ง 13 หน้า หลังจากดูจบแล้วมันก็ตามมาด้วยความร้าวรานในใจพอสมควร
ซีรี่ย์เล่าเรื่องโดยใช้วิธีการตัดสลับระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบันที่ Clay ฟังเทปอยู่และพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวว่าทำไม Hannah ถึงเลือกวิธีการเช่นนี้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ Hannah เล่าในเทปให้ฟัง (ตรงนี้ใช้โทนสีช่วยแยกอีกชั้นหนึ่งในการเล่า) ซึ่งแม้จะมีช่วงเวลาดี ๆ แทรกเข้ามาในชีวิต Hannah บ้างแต่การที่เราต้องรู้ตอนจบอยู่แล้วว่ายังไงก็แล้วแต่ Hannah ต้องตายมันก็สร้างความกระอักกระอ่วนพอสมควรเหมือนดูชีวิตคนที่ส่งสัญญาณความช่วยเหลือมาตลอดแต่กลับทำอะไรไม่ได้ แถมซีรี่ย์ก็ตบเราด้วยตอนจบว่าขนาดเราส่งสัญญาณเตือนแล้วเตือนอีกของตัวละครอีกคนในเรื่อง คุณยังไม่รู้เลย
นอกจากพูดถึงเรื่องฆ่าตัวตายแล้วซีรี่ย์ยังพูดถึงเรื่องการกลั่นแกล้ง Bulling ที่ถือเป็นประเด็นที่ร้อนแรงอยู่ตลอด 2 - 3 ปีที่ผ่านโดยเฉพาะ Social Bullying หรือ Cyber Bullying ที่แน่นอนว่าเด็กที่โดนนั้นนอกจากจะเจ็บปวดแล้วผู้ปกครองเองก็คงไม่เข้าใจอย่างเต็ม 100% แน่นอนว่าความเจ็บปวดตรงนั้นเป็นอย่างไรเพราะเขาไม่ได้โตมาในสังคมแบบนั้นและความเจ็บปวดที่โดนก็คนละแบบโดยสิ้นเชิง
อีกหนึ่งความเรียลที่เกิดขึ้นในซีรี่ย์ คือ การเก็บประเด็นเล็กน้อยที่สามารถหยิบไปเล่าต่อได้อีกมากมายทั้งเรื่อง ความรุนแรงที่เกิดจากคนที่ถูกกลั่นแกล้ง เด็กเนิร์ดกับPop Culture การข่มขืน ความโดดเดียว ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับครู พ่อแม่กับครู โรงเรียนกับผู้ปกครอง และอีกมากมาย ให้เก็บรายละเอียดกันใน 13 ตอนของซีรี่ย์
อย่างที่รู้ว่าตัวเองของเรื่องได้กระทำการฆ่าตัวตายหรือภาษาสวย ๆ ว่า "อัตวินิบาตกรรม" อยู่ดีแต่หลายต่อหลายครั้งที่ตัวเอกของเราอีกตัวอย่าง Clay รู้สึกผิดและโทษทุกคนที่อยู่ในเทปรวมถึงตัวเองก้วยก็จะมีคนอีกมากมายออกมาพูดทำนองว่า "แต่ Hannah เลือกเองนะ" "แต่นั้นมันทางเลือกของ Hannah นะ" แล้วการฆ่าตัวตายเป็นทางเลือกจริงหรือ?
ตัดเรื่องความผิดชอบชั่วดี บาปกรรม ศาสนาออกไปก่อนเลย เราจะไม่พูดถึงมันในเรื่องนั้นเพราะถ้าเอามาเกี่ยวเราก็ตอบได้เลยว่า ผิดดิโว้ย มันบาปนะโว้ยนาย แต่เราจะมาพูดเรื่องที่ว่าเราเป็นเจ้าของร่างกายของเราจริงหรือ ร่างกาย คือ ทรัพย์สินของเราแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่
ก่อนอื่นถ้าเราเชื่อว่าเรามี Free will หรือ เจตจำนงค์อิสระ แบบที่ตา Locke พร่ำบอกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 แล้ว เนี่ยเราก็สามารถตัดสินใจ เลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้โดยไม่มีอะไรมากำหนด ซึ่งมันก็เป็นฐานแนวคิดพวก Individualism นี่แหละ และถ้าผลักเอาแนวคิดนี้ไปให้สุดทางแล้วก็สามารถจะปู้ยี่ปู้ยำ จะถนุถนอม จะพาร่างกายไปทำอะไรก็ได้เพราะมันของเราไง นั่นรวมถึงฆ่าตัวตายด้วยเช่นกัน
แต่บังเอิญว่าในขณะเดียวกันมนุษย์อย่างเราดันเกิดมาเป็นสัตว์สังคมไง แล้วมีกติกาอะไรบางอย่างกำกับไว้ ทั้งที่เราตกลงหรือถูกบังคับให้ตกลงก็แล้วแต่ มนุษย์อย่างเรา ๆ นอกจากเกิดมาพร้อมหนี้สินแล้ว ยังเกิดมาพร้อมกับหนี้ทาสังคมด้วยเช่นกัน แบบเกิดมาก็เป็นหนี้บุญคุญบุพการีแล้วอันนี้อิงแบบไทย ๆ เลย ซึ่งไอ้พวกนี้ก็จะสั่งสมกันไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิตนั่นแหละ ซึ่งจะเรียกว่าหนี้ทางสังคมก็ได้ (DETTE SOCIALE) ซึ่งมันแปลว่า เราต้องตอบแทนให้แก่สังคมในสิ่งที่เราเคยได้รับประโยชน์แต่แน่นอนสังคมไทนไม่ค่อยถามหรอกเราอยากได้เปล่าอีประโยชน์ที่ให้ ๆ มาเนี่ย
ซึ่งถ้าเรามองจากมุมนี้หมายถึงว่าสังคมจะเข้ามาแชร์ความเป็นเจ้าของชีวิตกับเราแล้ว นั่นเกิดมาก็เป็นมหาชนเลย ซึ่งถ้าในแง่นี้แล้วเราจะปู้ยี้ปู้ยำระยำแมวอะไรกับตัวเราเองเนี่ยไม่ได้แล้ว เราต้องขออนุญาตบอร์ดผู้ถือหุ้นร่างกายเราก่อน ไม่งั้นถือว่ามีความผิด
และถ้าสมมุติว่าเรา ญาติหรือเพื่อนเราบรรลุนิติภาวะแล้วล่ะ ตามกฎหมายเราก็โตพอจะตัดสินใจเองได้หมดแล้ว เรายังมีิสิทธิจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า เราจะห้ามโดยบอกเห้ยนายเดี๋ยวก่อนเราถือหุ้นนายนะเว้ยจะฆ่าไม่ได้ หรือ แล้วแต่เลยตัวมึงนะทำไปเลยสิทธิของคุณที่เหลือเป็นเรื่องของเราแล้วที่ต้องยอมรับหรือทำใจ นั่นแหละครับเราจะเลือกแบบไหนกัน
แต่ที่แน่ ๆ การมานั่งประนามคนอื่นให้กลายเป็นคนที่ต่ำกว่าเราว่า "โง่" "สิ้นคิด" นั้นคงไม่ดีแน่ ๆ เอ๊ะแล้วถ้าเขาไตร่ตรองมาดีแล้วล่ะ ว่ามันเป็นทางเลือกของเขาจริง ๆ เราจะทำอะไรได้เพราะนั้นก็สิทธิของเขาเช่นกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in