เพลงประจำตอน:
I Am a New Horizon
(Link: https://www.youtube.com/watch?v=8fLKyp9BBFY )
เป็นเวลาเกือบบ่าย 3 โมง ในที่สุดโจก็เดินทางมาถึงยังท่าเรือ พร้อมด้วยกระเป๋าเป้สัมภาระหนึ่งใบ เนื่องจากเขาตกลงรับงานพิเศษที่เซลีนเสนอให้เมื่อสองสัปดาห์ก่อน งานที่เขาต้องรับหน้าที่เป็นนักดนตรีหลักบนเรือที่มีเป้าหมายเพื่อ ‘ออกล่าเมอร์เมด’ ในรายละเอียดสัญญาบอกว่าเขาจะได้รับค่าจ้างที่มากกว่าเซลีนให้ถึง 5 เท่าพร้อมด้วยสวัสดิการต่าง ๆ ครบครัน
เซลีนบอกว่าเจ้าของเรือลำนี้มาทานอาหารที่ร้านแล้วชอบใจกับการร้องเพลงของเขา เลยติดต่อผ่านทางเซลีนมา แต่เขากลับนึกไม่ออกเลยว่าเจ้าของเรือลำนี้จะเป็นลูกค้าคนใดไปได้ เพราะตามปกติแล้วเซลีนจะไม่ค่อยคุยงานเป็นการส่วนตัวกับใครเท่าไหร่นัก เธอมักจะนัดพบที่ร้าน แล้วสั่งจัดโต๊ะในโซนวีไอพีสำหรับการนั่งคุยกับลูกค้าเสียมากกว่า เพราะอย่างนั้นไม่ว่าใครมาติดต่องานกับเธอ พวกโจเองก็จะได้รับรู้เรื่องด้วยตลอด แต่ครั้งนี้แปลกไปจากทุกที ไม่ว่าโจจะพยายามนึกเท่าไหร่ เขาก็นึกไม่ออก
ไม่ยักรู้ ว่าช่วงก่อนหน้านี้มีนักธุรกิจที่ไหนมาคุยงานกับเจ๊เซลีนด้วย…
หลังจากโจผ่านการตรวจคนขึ้นเรือมาได้ เขาก็นำสัมภาระต่าง ๆ ไปเก็บยังห้องพักในส่วนด้านหน้าของเรือ และด้วยความที่อีกเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าที่งานแรกจะเริ่ม เขาจึงได้โอกาสเดินเล่นสำรวจเรือลำนี้ระหว่างรอเวลา
เรือล่าเมอร์เมดลำนี้เป็นเรือขนาดกลาง ลักษณะคล้ายกับเรือที่ใช้ล่าวาฬทั่วไป แต่อาจใหญ่กว่าเสียหน่อย สามารถแบ่งพื้นที่ในเรือได้เป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ส่วนแรกคือ พื้นที่กว้างบริเวณท้ายเรือ ใช้สำหรับเก็บเชื้อเพลิง และอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมกับการล่าเมอร์เมด ไม่ว่าจะเป็นตู้กระจกขนาดยาวกว่าสองเมตร ที่ในขณะนี้เหล่าคนงานกำลังทยอยขนขึ้นมาบนเรือ เท่าที่โจเห็นในตอนนี้ก็มีวางเรียงอยู่ 3 ตู้เห็นจะได้ นอกจากนี้ยังมีแหขนาดใหญ่ เครื่องช็อตไฟฟ้า และอุปกรณ์การประมงมากมาย ทั้งที่โจคุ้นตาและไม่คุ้นตาวางเรียงรายอยู่ตามพื้นเรือ
เห็นที การล่าเมอร์เมดคงไม่ใช่แค่เรื่องล้อเล่นของพวกเศรษฐีเสียแล้วสิ…
ต่อมาในส่วนที่สองคือ ส่วนที่อยู่บริเวณด้านหน้า ชั้นแรกของเรือ เป็นพื้นที่สำหรับเก็บสัมภาระอื่นๆ และเสบียง รวมไปถึงเป็นพื้นที่พักของคนงานส่วนมาก ที่ซึ่งไม่มีแม้สิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ เป็นเพียงพื้นที่ว่างให้เหล่าคนงานได้เอนหลังพิงพักไปกับพื้นเท่านั้น นั่นจึงทำให้โจคาสต้าอดนึกไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไร หากไม่มีสัญญาใบนั้นของเซลีน ถึงแม้เขาจะไม่โดนหิ้วปีกลงจากเรือ แต่การอยู่บนเรือลำนี้ของเขาก็คงลำบากน่าดู จะว่าไปพอพูดถึงใบสัญญาใบนั้น มันก็ดูจะมีอะไร แปลก ๆ อยู่ซักหน่อย
ย้อนกลับไปเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะขึ้นเรือ เหล่าคนงานและพนักงานทุกคนบนเรือจำเป็นต้องผ่านจุดลงทะเบียนที่มีไว้สำหรับการตรวจสอบรายชื่อผู้รับจ้างเสียก่อน และเมื่อถึงคิวของหนุ่มนักดนตรีผมสีทอง
“ชื่ออะไรทำตำแหน่งอะไร ไอ้หนุ่ม” ชายวัยกลางคนที่ประจำจุดลงทะเบียนก่อนขึ้นเรือเอ่ยขึ้น
“ธาลัสซา โจคาสต้าครับ” เขาเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
หน้าของสมุดบัญชีรายชื่อถูกเปิดหน้าแล้วหน้าเล่า จนเปิดมาถึงหน้าสุดท้าย แต่กลับไม่มีชื่อของเขาปรากฎอยู่ในหน้าใดเลย แต่อย่างไรก็ตามยังโชคดีที่เขามีใบสัญญาของเซลีน นั่นจึงเป็นหลักฐานเพียงหนึ่งเดียวที่โจใช้ต่อรองขอขึ้นพบเจ้าของเรือได้สำเร็จ โจถูกเจ้าหน้าที่ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่พาไปพบกับผู้เป็นเจ้าของเรือลำนี้ ซึ่งในตอนนั้นเองที่โจได้รู้เสียทีว่าใครที่เป็นเจ้าของความคิดที่อยากจะล่าเมอร์เมดบ้า ๆ นี่…
เจ้าของเรือลำนี้คือ 'อีริค' ชายวัย 40 ปลาย ๆ ที่ปกติทำธุรกิจอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ถือได้ว่าเขาคือผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในเกาะซาคินทอสเลยก็ว่าได้ ใคร ๆ ในเกาะก็รู้จักเขากันทั้งนั้น
แต่ทว่าค่อนข้างรู้จักกันในชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีนักหรอกนะ…
ร่ำรวยล้นฟ้า มีอำนาจกว้างขวาง เอาแต่ใจและไร้ความเมตตา นี่คือภาพลักษณ์ที่บรรยายผู้ชายคนนี้ได้เป็นอย่างดี นักธุรกิจเลือดเย็นที่ ‘อยากได้อะไรก็ต้องได้’ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะยอมลงทุนกับธุรกิจการล่าเมอร์ดเมดนี้ด้วย แต่ก็อย่างที่มาร์ว่า พวกเศรษฐีคงคิดว่าคุ้มที่จะเสี่ยง
นี่แหละนะที่เคยได้ยินเขาว่า ‘มนุษย์’ เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่อันตราย โหดร้ายและเยือกเย็นที่สุด…
“อะไรกัน ข้าไม่เคยไปที่ร้านนั่นเลยสักครั้งเดียว นี่เจ้าแอบอ้าง เพราะหวังลอบขึ้นเรือข้ารึยังไง” ชายใส่สูทกล่าว หลังจากได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากผู้เป็นลูกน้อง
“ป่าวครับ ข้าไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี ข้ามาที่นี่เพราะรับการว่าจ้างมาจากคุณเซลีน เจ้าของร้านเซลินาที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะ” ชายหนุ่มตอบอย่างอ่อนน้อม
“ร้านเซลินาอะไร ข้าไม่รู้จักด้วยซ้ำ พวกเจ้าสองคนพาไอ้หนุ่มนี่ออกไปได้แล้ว” สิ้นเสียงผู้เป็นนาย ชายฉรรจ์ทั้งสองก็เตรียมท่าจะมาหิ้วปีกโจทันที แต่ดีที่ในตอนนั้นเองโจเหลือบไปเห็นใบสัญญาที่อยู่ในมือ
“เดี๋ยวก่อนครับคุณอีริค อย่างไรก็ตามรบกวนท่านอ่านใบสัญญาฉบับนี้ก่อนได้ไหมครับ พอดีคุณเซลีนเขาฝากมาด้วยครับ” เด็กหนุ่มยื่นใบสัญญาฉบับนั้นแก่นายใหญ่ของเรือ และหลังจากอีริครับใบสัญญาไปอ่านได้สักครู่ ในตอนนั้นเองที่โจสังเกตได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดแปลกไป…
ชายวัยกลางคนในชุดสูทยืนแน่นิ่งเสมือนแท่งหินที่ไร้วิญญาณ สายตาดุก้าวร้าวแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่ว่างเปล่า คล้ายคนโดนสะกดด้วยมนตร์คาถา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเรียบเฉย
“ทุกอย่างจะเป็นไปตามสัญญา”
ข้าถึงได้บอกว่ามันไม่ปกติ…แปลกชะมัด
แต่อย่างไรซะ ในขณะนี้เขาก็ได้ขึ้นเรือมาแล้ว บุญหัวของไอ้โจจริง ๆ ที่พกใบสัญญาของเจ๊เซลีนมาด้วย ไม่งั้นมีหวังป่านนี้ต้องเดินหงอยกลับไปหาเจ๊เซลีนที่ร้านแหง ๆ
และมาถึงในส่วนสุดท้าย นั่นก็คือ ส่วนด้านหน้าของเรือเช่นเดิม แต่เป็นบริเวณชั้นสอง ประกอบไปด้วยห้องต่าง ๆ โดยมีห้องแรกคือสะพานเดินเรือ หรือห้องที่ใช้สำหรับการควบคุมทิศทางการเดินเรือนั่นเอง ห้องที่สองคือ ห้องรับรองสำหรับอีริค มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีพื้นที่กว้างขวางเหมาะสำหรับการสังสรรค์ รวมถึงมีห้องเล็กสำหรับการพักผ่อน นอกจากนี้บริเวณชั้นดังกล่าวยังมีห้องเล็กหลายสิบห้อง มีไว้สำหรับเป็นที่พักของเหล่าพนักงานที่มีตำแหน่งสำคัญบนเรือ และโจเองก็ได้พักอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกันตามข้อตกลงที่เซลีนเคยได้บอกไว้ ถึงแม้ว่าภายในห้องจะไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากมาย แต่การมีพื้นที่ให้เก็บสัมภาระ และมีเบาะนอนเป็นของตัวเอง นั่นก็ถือว่าดีมากแล้วบนเรือลำนี้
มื้ออาหารสุดหรูของผู้ที่เป็นเจ้าของเรือดำเนินไปอย่างสวยงามด้วยเสียงดนตรีของเด็กหนุ่มผมสีทอง
อีริคพึงพอใจกับการแสดงของโจคาสต้าเป็นอย่างมาก ทั้งยังเอ่ยชมเกี่ยวกับความสามารถทางดนตรีของเขาอีกด้วย และแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงเกือบห้าทุ่ม ขณะนี้หน้าที่ประจำวันของโจก็หมดลงแล้ว เขาจึงตัดสินใจออกมานั่งเล่นที่แถวท้ายเรือ เป่าฮาร์โมนิก้าบรรเลงเพลงเล่นเหมือนครั้งตอนยังเป็นเด็ก
การใช้ชีวิตบนเรือท่ามกลางผืนน้ำทะเลอันกว้างใหญ่
เขาห่างหายไปจากบรรยากาศแบบนี้นานหลายปีแล้ว
ดีใจเหลือเกินที่ได้กลับมาอีกครั้ง
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวในขณะนี้ชวนให้เขาคิดถึงครั้งยังเป็นเด็ก แต่ไม่สิ ไม่ใช่ทุกอย่าง เพราะถ้าจะให้เหมือนต้องมีลุงคริสโตเฟอร์ ลุงดีแลน และเธอคนนั้น…นึกย้อนไปก็แอบตกใจกับสิ่งที่เขาเจอ ไม่แปลกเลยที่ใคร ๆ อาจไม่เชื่อในเรื่องการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตบางเผ่าพันธุ์ เพราะถ้าตัวเขาไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง ทุกวันนี้เขาก็คงมองมันเป็นเรื่องไร้สาระเช่นกัน ดังนั้นความทรงจำในวัยเด็กของเขาจึงถือเป็นเครื่องพิสูจน์และสิ่งสอนใจได้เป็นอย่างดีว่าบนโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่มนุษย์ยังไม่มีการค้นพบและพิสูจน์ได้เป็นข้อเท็จจริง
อย่างที่ตัวเขาได้พบเจอด้วยตัวเอง…ว่าเมอร์เมดมีอยู่จริงบนโลก
สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายส่วนบนเช่นมนุษย์ ทว่าต่างกันตรงที่ร่างกายส่วนล่างทั้งหมดมีลักษณะคล้ายหางปลา
มีใบหูที่แหลมและยาว รวมถึงบนใบหน้าบริเวณช่วงโหนกแก้มไปจนถึงขมับมีพื้นผิวคล้ายกับเกล็ดปลา
แต่ความจริงแล้วก็เป็นการเจอกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เพราะตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็ไม่ได้เจอเธอเลย…
…ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะคิดถึงข้าบ้างไหม
แต่ที่ข้ารู้คือข้าคิดถึงเจ้าสุดหัวใจ…
หากนี่เป็นการแข่งขันว่าผู้ใดคิดถึงอีกฝ่ายก่อนจะเป็นผู้แพ้
ข้าคงแพ้ตั้งแต่วินาทีนั้นที่เจ้าหายตัวลงไปพร้อมกับความมืดใต้ผืนสมุทร…
ถ้าโชคชะตาเห็นถึงความมั่นคงในตัวข้าบ้างก็คงจะดี
เราสองคนจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง…ขอเพียงซักครั้ง แค่ซักครั้งก็ยังดี
การเดินทางบนเรือลำนี้ล่วงมาจนเข้าสู่วันที่ 6 แล้วที่โจรับหน้าที่เป็นนักดนตรีหลักประจำเรือลำนี้ สำหรับเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบของเขามันแทบไม่มีอะไรต้องห่วงเลย เด็กหนุ่มคนนี้ปฎิบัติหน้าที่ของเขาได้เป็นอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง ทุกมื้ออาหารเป็นไปอย่างรื่นรมย์ด้วยฝีมือการบรรเลง และขับร้องเพลงจากเขา
แต่ที่ดูจะน่าเป็นห่วง ก็คงเป็นเรื่อง ‘ล่าเมอร์เมด’ ที่ในขณะนี้คนในเรือ โดยเฉพาะอีริค จะยิ่งเพิ่มความจริงจังและขะมักขะเม้นกันมากขึ้นกว่าวันแรก ๆ เนื่องจากเวลาผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้ว แต่กลับไม่พบร่องรอยหรือสัญญาณใด ๆ ที่บ่งบอกถึงเมอร์เมดเลย เขาออกคำสั่งให้คนงานทุกคนคอยเฝ้าประจำการ เตรียมอุปกรณ์การประมงทุกชิ้นให้พร้อมสำหรับการล่า บรรยากาศบนเรือเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
และในคืนนั้นเองก็เป็นเหมือนเช่นเคย เมื่อหลังจากเวลางานโจคาสต้ามักปลีกตัวออกมาหามุมเงียบ ๆ เพื่อเป่าฮาร์นิก้าอยู่เพียงลำพัง คืนนี้เป็นวันจันทร์เพ็ญ ผืนฟ้าสีมืดที่มีดวงจันทรเต็มดวง สุกสกาวด้วยแสงสีเหลืองนวล พร้อมกับดาวระยิบระยับนับพันดวงที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วฟากฟ้า ความเงียบสงบของมหาสมุทรยามค่ำคืนทำให้โจคาสต้าผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีทองค่อย ๆ กระพริบช้าลง จนในที่สุดดวงตาทั้งสองข้างก็ปิดลง…
(เนื้อหาต่อจากนี้อยากจะให้ฟังเพลงนี้ประกอบไปด้วยค่ะ
เพลงมันอาจจะจบเร็วแนะนำให้คลิกซ้ายที่วิดีโอในยูทูป
แล้วเลือกวนซ้ำหรือ Loop นะคะ
Endless Drifter: https://www.youtube.com/watch?v=DUCg28BAarE )
Ah ah ah ahh ahh ah ahh…
เสียงขับร้องอันไพเราะดังขึ้นในห้วงความคิดของโจคาสต้า ก่อนจะฉายเป็นภาพเด็กชายผมสีทองคนนึงขณะนั่งอยู่บนเรือประมง เด็กคนนั้นกำลังคุยกับใครบางคนที่อยู่ในน้ำ เธอคือเด็กสาวที่โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำตั้งแต่บริเวณไหปลาร้าขึ้นไปเท่านั้น ภาพที่ว่ามานี้…โจเองคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“แล้วเจ้าไม่กลัวหรอ? ข้าไม่ใช่มนุษย์อย่างเจ้า”
“ไม่เห็นน่ากลัวเลย เจ้าน่ารัก…มาสิ เดี๋ยวข้าเป่าให้ฟัง”
ใช่…มันคือภาพในคืนนั้นที่เขาเจอกับเมอร์เมดเด็กสาวเป็นครั้งแรก ภาพฉายไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ทั้งสองได้เริ่มพูดคุยกันไปจนถึงตอนที่เธอมอบสร้อยเงินนั่นให้แก่เขา และตอนนั้นเองที่ภาพที่ชายหนุ่มเห็นเริ่มเลือนลางไปจนเหลือไว้เพียงความมืดมิด ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียกหนึ่งที่พูดประโยคเดิมซ้ำไปมา…
“โจ เจ้าได้ยินข้าไหม โจ เจ้าได้ยินข้าไหม โจ”
ในห้วงความคิดนั้นโจไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
และจากนั้นเพียงครู่เดียวก็มีเสียงเดิมที่เอ่ยต่อมา
“ถ้าเจ้าได้ยิน โปรดช่วยข้า ข้ากำลังอยู่ในอันตราย ช่วยข้าด้วย…ได้โปรด”
ทันใดนั้นเองที่ชายหนุ่มนักดนตรีตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา เขาตกใจอย่างมากกับสิ่งที่ฝันหรือเกิดอะไรขึ้นไม่รู้เมื่อสักครู่ ก่อนจะตั้งสติและเริ่มรับรู้ถึงบรรยากาศชุลมุนรอบข้างในขณะนี้ เสียงต่าง ๆ ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยของผู้คนบนเรือ เสียงการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ หรือเสียงที่อึกทึกจากการเปิดประตูจากห้องทุกห้องดังขึ้นปะปนระงมบนเรือ
“มันอยู่ที่ไหนวะ”
“ที่ท้ายเรือ พวกนั้นจับมันได้ที่ท้ายเรือ”
“เฮ้ย แม่งมีจริงหรอวะ”
โจคาสต้าได้ยินชายคนงานสามคนพูดคุยกันระหว่างที่กำลังจะเดินผ่านหน้าเขาไป ตอนนั้นเองเขาจึงเรียกคนงานคนหนึ่งไว้ก่อนจะเอ่ยคำถามออกไป เพื่อคลายความสงสัยของตน “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“เห็นว่าพวกประจำการดึกจับ ‘เมอร์เมด’ ได้อยู่ท้ายเรือแหนะ
เขาแตกตื่นกันทั้งลำเรือ เจ้าเองก็ไปด้วยกันสิ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้างในทันที พร้อมกับพยักหน้าและเดินกึ่งวิ่งตามคนงานทั้งสามคนนั้นไป สายตาของเขามองซ้ายมองขวาไปทั่วบริเวณเมื่อถึงส่วนท้ายเรือ ทั้งเขายังสังเกตได้ว่าสร้อยที่ห้อยอยู่บนคอของเขามันกำลัง เรืองแสงขึ้นเป็นสีฟ้า อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งนั่นเองยิ่งทำให้ชายหนุ่มร่างสูงยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นเป็นทวีคูณ
หวังว่าสิ่งที่ฝันไปเมื่อสักครู่คงไม่ใช่ลางบอกเหตุ
มันต้องไม่ใช่อย่างที่เขาคิด
โชคชะตาคงไม่ใจร้ายกับข้าขนาดนั้นใช่ไหม…
เมื่อมาถึงยังบริเวณที่เขาว่ากันว่าจับเมอร์เมดได้ พื้นที่บริเวณท้ายเรือเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก จึงทำให้โจคาสต้าไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้มากนัก เขาพยายามยืดตัวมอง และเบียดร่างของตน เพื่อหวังเข้าไปให้ใกล้ขึ้น เขาเห็นคร่าว ๆ เพียงว่ามีเมอร์เมดตนหนึ่งกำลังดิ้นและพยายามหนีออกจากตู้กระจกยาว เมอร์เมดตนนั้นส่งเสียงร้องขู่และแยกเขี้ยวใส่เหล่าคนงานที่พยายามจะเข้ามาใกล้
แต่แล้วหญิงสาวตนนั้นก็ค่อย ๆ นิ่งลงจนสลบไป เนื่องจากพิษของลูกดอกยาสลบที่ยิงเข้าที่แขนข้างซ้ายของนาง อีรีคสั่งให้เหล่าคนงานปิดล็อกตู้อย่างแน่นหนา และเมื่อตู้กระจกถูกยกขึ้นโดยชายฉกรรจ์สี่คน ทันใดนั้นเองที่โจคาสต้าเห็นถึงหญิงสาว สิ่งมีชีวิตในตำนานตนนั้นได้อย่างชัดเจน
ผมยาวสลวยสีน้ำตาล กับหางท่อนล่างสีฟ้าน้ำทะเล
หน้าตาสะสวยที่ครั้งยังเยาว์วัยเคยเห็นอย่างไร บัดนี้ก็เป็นเช่นนั้น
และสุดท้าย สร้อยเงินเส้นนั้นที่เหมือนกันกับของโจกำลังห้อยอยู่ที่คอของนาง
ไม่ผิดแน่นอน นางคือ ‘เธอคนนั้น’ เมอร์เมดผู้ที่โจคาสต้าเฝ้าตามหามาโดยตลอด
ในที่สุดโชคชะตาก็พาเราทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้ง
แต่ทว่า…
นี่มันจะไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยหรืออย่างไร...?
แล้วก็คำว่า สะพานเดินเรือ หรือ Navigation Bridge
คำนี้เป็นคำที่ใช้เรียกห้องที่ใช้สำหรับบังคับทิศทางการเดินเรือจริงๆ ค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in