เพลงประกอบสำหรับเนื้อเรื่องช่วงแรกนะฮะ :
Celtic Music - Song of the Mermaids
https://www.youtube.com/watch?v=2WczzccXtq0
“ไม่น่าเชื่อเลยว่ะว่าเมอร์เมดมีอยู่จริง ข้านึกว่าเป็นเพียงนิทานหลอกเด็กเสียอีก”
“นั่นน่ะสิ ว่าแต่จับเมอร์เมดมาอย่างนี้จะไม่เป็นไรรึ?”
“เอ็งหมายความว่ายังไงวะ?”
“พวกเอ็งเป็นประมงเก่ายังไงไม่รู้ตำนานทะเล ก็คำบอกเล่าที่เล่าต่อกันมาไง
เมอร์เมดจะนำพามาซึ่งความชิบหาย พวกนางรูปลักษณ์สะสวย
แต่ตัวตนที่แท้จริงนางเป็นปีศาจร้าย คอยจ้องจะเอาพลังชีวิตมนุษย์”
นับเป็นอีกครั้งแล้วที่โจบังเอิญได้ยินเรื่องเล่าของเมอร์เมดในทางที่ไม่ค่อยดีนัก หลังจากครั้งนั้นที่บังเอิญได้ยินจากผู้เป็นลูกค้า ณ ร้านเซลินา จากเหตุการณ์การจับเมอร์เมดได้ที่ท้ายเรือถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างความฮือฮาขึ้นบนเรือลำนี้ ในเวลานี้ทั้งพนักงานและเหล่าคนงานต่างพากันสนทนาแต่เรื่องของสิ่งมีชีวิตในตำนานที่มีลักษณะร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ส่วนท่อนล่างมีลักษณะคล้ายหางปลา ทุกคนดูจะตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์จากธรรมชาติที่เพิ่งประจักษ์แก่สายตาของพวกเขา
เว้นก็แต่…
ชายหนุ่มผมสีทอง ผู้ทำหน้าที่เป็นนักดนตรีหลักประจำเรือลำนี้ ตั้งแต่เขาเห็นเหล่าชายฉกรรจ์พากันยกตู้กระจก โดยมี ‘เธอ’ ที่สลบไปเพราะพิษจากลูกดอกอาบยาสลบอยู่ภายในนั้น พวกเขายกเธอไปยังห้องเก็บของบริเวณท้ายเรือ และเมื่อนั้นเองที่เขาจึงตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะช่วยเธอให้ได้ เขาไม่มีทางยอมให้อีริคได้ตัวเธอไปแน่นอน
แต่ทว่าเวลาก็ผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า เขาก็ทำได้เพียงคิดวนไปมาถึงวิธีการที่จะช่วยเธอออกมาไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าใช้วิธีเผชิญซึ่ง ๆ หน้า แต่เมื่อไตร่ตรองดูให้รอบคอบก็พบกับความจริงที่ว่าโจคาสต้าเป็นเพียงพนักงานตัวเล็ก ๆ ที่ทำงานอยู่บนเรือลำนี้ ไม่มีอำนาจในการเจรจาต่อรองใด ทั้งยังไม่มีกำลังมากพอที่จะบุกไปสู้กับชายฉกรรจ์ 2 คนที่เฝ้าอยู่หน้าห้องเก็บของได้
หรือถึงเขาจะโชคดีทำได้ สุดท้ายทั้งตัวเขาและเธอก็อาจตกอยู่ในอันตรายทั้งคู่ เพราะถึงอย่างไรตอนนี้พวกเราก็กำลังอยู่บนเรือที่เดินทางอยู่กลางมหาสมุทร เธอเองก็เคลื่อนไหวตัวได้ยากหากไม่ได้อยู่ในน้ำ ส่วนโจคาสต้าเองก็ไร้กำลังคนช่วยเหลือ และไร้หนทางวิ่งหนี ทั้งระยะทางในขณะนี้ก็ถือได้ว่าอยู่ไกลเกินกว่าที่จะว่ายน้ำลอยคอแล้วบังเอิญพบเรือประมงได้...
ข้าจะทำอย่างไร จึงจะช่วยเจ้าคืนสู่อิสรภาพได้สำเร็จ
ข้าจะทำใจได้อย่างไร หากข้าไม่สามารถช่วยเจ้าไว้ได้
.
.
ขอแค่มีหนทางใดที่จะสามารถช่วยชีวิตนางได้ ข้าก็ยอมทั้งนั้น
ข้าไม่อาจเสียคนสำคัญเพียงไม่กี่คนในชีวิตของข้าไปได้อีกแล้ว…
Ahh ahh ah ha ha ha...
เสียงบรรเลงพิณที่มาพร้อมกับเสียงร้องอันไพเราะดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มนักดนตรีลืมตาขึ้นมา และพบกับวิหารสีขาวตระการตาตามสถาปัตยกรรมกรีกโบราณที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ณ เบื้องหน้า เดาได้ว่าที่นี่คงเป็นความฝันเป็นแน่ แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนผล็อยหลับไปตอนไหน จะว่าไปนึกแล้วก็โมโหตัวเองที่เผลอหลับได้แม้ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้
“ไม่ได้การ ข้าต้องรีบตื่น ข้าต้องคิดหาวิธีเพื่อช่วยนางให้ได้” ทันใดนั้นเอง ขณะที่โจคาสต้ากำลังพยายามทำให้ตนเองตื่นขึ้นจากดินแดนแห่งความฝันนี้ จู่ ๆ เสียงอันก้องกังวานที่ไม่อาจระบุได้ถึงเพศสภาพก็ดังขึ้นจากภายในวิหาร…
“ช้าก่อน เจ้าไม่ต้องการหนทางช่วยชีวิตนางอันเป็นที่รักของเจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ท-ท่านอยู่ที่ใด?
“ข้าคือปาฎิหาริย์ที่เจ้ากำลังภาวนาหา ณ ที่แห่งนี้ ข้าคือผู้เป็นใหญ่ เจ้าไม่จำเป็นต้องมองหาตัวตนของข้า แต่จงรู้ไว้ว่าข้าทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงได้ก็พอ”
“จ-จริงหรือครับ งั้นได้โปรด…ท่านช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้าจะช่วยนางได้อย่างไร”
“ได้ แต่เพื่อให้คำปรารถนาของเจ้าเป็นจริง ข้าต้องการของสำคัญของเจ้า ”
“ต-แต่ข้าไม่มีเงินทองหรือสิ่งมีค่าติดตัวเลยสิครับ” โจพยายามมองหาสิ่งที่มีราคามากที่สุดบนตัวของเขา
“ข้าไม่ต้องการเงินทองอะไรทั้งนั้น แต่สิ่งที่ข้าจะขอคือ 'เครื่องเป่าของเจ้า' เท่านั้น”
“ค-เครื่องเป่าของข้าอย่างนั้นหรือ? ท่านหมายถึง…?” เขาหยิบฮาร์โมนิก้าชิ้นโปรดออกมา
“ใช่ เครื่องเป่าคือของสำคัญของเจ้าไม่ใช่หรือ?
แม้เครื่องดนตรีชิ้นนี้จะมีความหมายและสำคัญต่อโจคาสต้ามากเพียงใด แต่ในเวลานี้เขามีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องการจะปกป้องมากกว่า ชายหนุ่มนักดนตรีตัดสินใจตอบตกลง กล่าวคำสัญญาด้วยเสียงอันมุ่งมั่นต่อหน้าวิหารพร้อมกับก้มคำนับต่อผู้ยิ่งใหญ่
หลังจากนั้นเองภาพวิหารที่มองเห็นก็ค่อย ๆ เลือนลาง ก่อนที่ตาทั้งสองข้างจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งแสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามายังบานหน้าต่างของห้องพัก เสียงวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการเริ่มงานใน
วันที่ 7 ของการเดินเรือดังขึ้นอีกครั้ง… เรื่องที่เกิดขึ้น ณ วิหารแห่งนั้น เป็นความฝันอย่างนั้นเหรอ?
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเตรียมตัวทำงานตามหน้าที่ คอยบรรเลงดนตรีไพเราะสำหรับมื้อเช้าของวันให้กับผู้ว่าจ้าง แต่แล้วเมื่อเขายืนขึ้นจู่ ๆ ก็มีกระดาษปริศนาแผ่นนึงก็ตกลงบนพื้น เมื่อคลี่ออกดูก็พบว่าเป็น กระดาษโน๊ตเพลง ที่ไม่มีแม้ชื่อเพลงระบุอยู่ภายในนั้น มีเพียงโน๊ตเพลง และข้อความที่บอกไว้ว่า ‘จงบรรเลงต่อหน้าผู้คนในยามรัตติกาล’
เหตุผลที่ท่านยังไม่เอาฮาร์โมนิก้าของข้าไปในตอนนั้น
ก็เพราะข้าต้องใช้มันเป่าเพื่อช่วยเหลือนางสินะ
พอดีกับค่ำคืนนี้ ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายก่อนรุ่งเช้าเรือจะเดินทางจะถึงฝั่งที่เกาะซาคินทอส อีริคสั่งให้มีการจัดงานเลี้ยงขึ้นบนเรือ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ตนสามารถจับเมอร์เมดตัวเป็น ๆ ได้ ‘
เจ้าอดทนอีกนิดนะ เราจะต้องได้เจอกัน ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้
.
.
ว่าแต่เมื่อข้าเป่าเพลงนี้จะเกิดอะไรขึ้นกันนะ...
ตึ้ง! ตึ้ง!
“ที่นี่ห้องของนักดนตรีใช่ไหม เจ้ามัวทำอะไร!ไปเตรียมตัวได้แล้ว!” คาดว่านั่นคงเป็นเสียงลูกน้องของ
อีรีคเขาคงตรวจสอบ ณ ห้องอาหารแล้วไม่พบผู้เป็นนักดนตรีจึงมาตามถึงที่ห้อง เนื่องจากใกล้ได้เวลามื้ออาหารเช้าแล้ว
“ครับ ขอโทษครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ”
โจคาสต้าทำหน้าที่ของตนอย่างไม่มีบกพร่องทั้งในเวลาอาหารมื้อเช้าและมื้อกลางวัน จนบัดนี้ล่วงเลยมาถึงเวลา เกือบ 1 ทุ่มงานเลี้ยงเฉลิมฉลองการจับเมอร์เมดได้ก็เริ่มต้นขึ้น โดยพนักงานและเหล่าคนงานส่วนมากจะกินเลี้ยงกันอยู่ที่บริเวณพื้นที่กว้างด้านท้ายเรือ
ส่วนอีริคนั้นประจำอยู่ที่ห้องพักของตน พร้อมกับคนสนิท และลูกน้องเพียงไม่กี่คนที่ปกติคอยดูแลอารักขา รวมถึงโจคาสต้าเองที่มีหน้าที่เป็นนักดนตรีประจำเรือลำนี้ก็ได้รับเลือกให้เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้บรรเลงเพลงอยู่ในห้องสังสรรค์เดียวกับอีริคอีกด้วย
งานดังกล่าวดำเนินไปเรื่อยๆ ด้วยความสนุกสนาน ในบรรดาลูกเรือที่กำลังมีความสุขกับค่ำคืนก่อนจะถึงฝั่งนั้น มีเพียงคนเดียวที่กำลังมองหาจังหวะดี ๆ ในการทำบางสิ่งบางอย่าง ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากเป่าเพลงนี้ออกไป ไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยเหลือนางได้จริงหรือไม่ บางทีสุดท้ายเขาอาจจะต้องใช้วิธีบุกไปช่วยนางซึ่ง ๆ หน้าหากว่าเป่าเพลงแล้วไม่เกิดผล
แต่อย่างไรเสีย เขาก็ตัดสินใจที่จะช่วยเหลือนางให้ได้ในคืนนี้
ไม่ใช่เพียงเชื่อในปาฎิหาริย์ แต่สำคัญคือ ชายหนุ่มผู้นี้มีความเชื่อมั่นในตนเอง
นาฬิกาตีบอกเวลา 5 ทุ่มครึ่ง ซึ่งเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการสังสรรค์ของอีริค
“คุณอีริคครับ ช่างเป็นเกียรติเหลือเกินที่ตัวผมได้มาเป็นนักดนตรีบนเรือของท่าน ดังนั้นก่อนจะจบการสังสรรค์ในคืนนี้ ข้าจึงมีบทเพลงที่อยากขอมอบให้ท่านและทุก ๆ คนบนเรือลำนี้ครับ”
“ฮ่า ๆ ยอดเยี่ยม ช่างเป็นนักดนตรีมากความสามารถที่รู้จักนอบน้อม และเอาอกเอาใจ จงบรรเลงเถิด”
เมื่อสิ้นคำของอีริคโจคาสต้าก็ได้ทำการต่อเครื่องกระจายเสียง เพื่อให้การบรรเลงเพลงของเขาดังไปทั่วลำเรือ จากนั้นจึงหยิบฮาร์โมนิก้าคู่กายขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง พร้อมกับเริ่มบรรเลงเพลงปริศนา...
(เพลงที่โจบรรเลง และเป็นเพลงที่จะใช้คลอไปกับเนื้อเรื่องต่อจากนี้
คือเพลงด้านล่างนี้นะคะ แนะนำให้ทุกคนเข้าไปฟังกัน~ )
Dreams of Heaven - Danny Jung
https://www.youtube.com/watch?v=WA-98JoNUMY&t=183s
โจคาสต้าเริ่มบรรจงเป่าเพลงปริศนาที่มีจังหวะเนิบช้าฟังสบาย แต่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความอบอุ่น และความห่วงใยผ่านเสียงดนตรี เพลงดังกล่าวถูกบรรเลงอย่างไพเราะ ณ ห้องสังสรรค์ของผู้เป็นนายจ้าง และถูกส่งตามสายกระจายเสียงไปทั่วลำเรือ ผู้คนที่ได้ฟังต่างพากันเคลิบเคลิ้ม
หลายคนเริ่มยกมือขึ้นป้องปากหาว บ้างก็เริ่มฟุบหลับลงไปบนโต๊ะอาหาร และในตอนนั้นเองที่เพลงสิ้นสุดลง โจคาสต้าจึงพอจะเข้าใจแล้วว่าเพลงปริศนานี้ท่านผู้ยิ่งใหญ่ให้เขามาเพื่ออะไร คำตอบคือ มันเป็นเพลงที่เมื่อบรรเลงแล้ว คนที่ได้ฟังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ซึ่งทุก ๆ คนไม่เว้นกระทั่งอีริคเองก็ได้รับอิทธิพลจากเพลงนี้เช่นกัน
ขณะที่เรือทั้งลำเข้าสู่ความเงียบสงบ โจคาสต้าจึงรีบใช้โอกาสนี้ตรงไปยังห้องเก็บของบริเวณท้ายเรือเพื่อช่วยเหลือหญิงสาวชาวเมอร์เมด หวังว่าจะไม่มีใครตื่นกลางคัน หวังว่ามนต์คาถา หรืออะไรก็ไม่รู้นี่จะคงไว้ได้นานพอเท่าที่เขาจะช่วยเธอออกมาได้สำเร็จ
โชคดีที่เสียงเพลงของเขาดังมาถึงยังชายฉกรรจ์สองคนผู้ทำหน้าที่เป็นผู้คุมคอยเฝ้าอยู่หน้าห้องนี้ด้วยและแล้วในที่สุด เมื่อบานประตูถูกเปิดออก เขาก็ได้พบกับ ‘เธอ’
ภาพที่ปรากฎตรงหน้าช่างดูคล้ายกับความทรงจำในเยาว์วัยที่คุ้นเคย
เพียงแต่ต่างกันที่ตอนนี้เธอกำลังติดอยู่ในตู้กระจกใสขนาดใหญ่แทนที่จะเคลื่อนไหวไปอย่างอิสระในท้องทะเล สาวน้อยในตู้กระจกเผยรอยยิ้มทันทีเมื่อเห็นโจคาสต้าเข้ามาในห้อง
เธอรู้อยู่แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรผู้ชายคนนี้จะต้องมาช่วยเธอได้แน่นอน
ครั้งนี้ไม่ใช่สัญชาติญาณจากเผ่าพันธุ์ แต่เป็นเพียงความเชื่อใจก็เท่านั้น
เมื่อมนุษย์หนุ่มเดินมาถึงตู้กระจกก็พบว่ามีกุญแจที่ล็อคไว้ ซึ่งดีที่ผู้คุมสองคนนั้นกำลังนอนหลับ เขาจึงสามารถค้นหา และหยิบไปได้อย่างง่ายดาย หากไม่มีเพลงมหัศจรรย์นี้ และก่อนหน้านี้เขาเลือกใช้แผนบุกซึ่ง ๆ หน้าล่ะก็ มีหวังคงไม่รอดเป็นแน่
แต่ทว่าตู้กระจกนั้นนอกจากทำมาจากกระจกแล้ว ยังมีการประกอบเข้ากับไม้จึงทำให้มีน้ำหนักมาก
ถึงแม้จะไขกุญแจที่ล็อคไว้ได้แล้ว แต่โจคาสต้าก็ต้องใช้แรงจำนวนมาก เพื่อพยายามยกเปิดมันขึ้นด้วยตัวคนเดียว เขารวบรวมแรงทั้งหมดที่มีพยายามดันมันขึ้น หลังจากที่ใช้เวลาอยู่พอสมควร ในที่สุดเขาก็เปิดออกได้สำเร็จ ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างโผเข้ากอดอีกคน ด้วยความดีใจ โล่งใจ และความโหยหา
“ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย”
“เจ้าก็ไม่เปลี่ยนไปเช่นกัน ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องมา” อีกฝ่ายตอบด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นอันตรายหรอก แต่ตอนนี้ข้าว่า…
ชายหนุ่มพยักหน้า พร้อมกับค่อย ๆ อุ้มตัวเธอออกมาจากตู้กระจก
“ม-ไม่ต้องอุ้มข้าหรอกวางข้าที่พื้นนี่แหละ ข้ายืนได้ หากอยู่บนบกหางของข้าจะเปลี่ยนเป็นขาได้ระยะเวลาหนึ่ง”
“เอ่อ คือ จ-
“อื้อ ขอบคุณนะ ว่าแต่เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า? หน้าเจ้าขึ้นสีแดงไปหมด ดูเจ้าอาการไม่ค่อยดีเลย” เธอรับเสื้อคลุมไปห่มตัวเอง ก่อนที่จะก้มมาถามคนที่ขณะนี้กำลังวางสายตาอยู่บนพื้นห้อง
“ป-
เมื่อเดินไปถึงส่วนกลางของเรือที่ดูแล้วเธอน่าจะลงไปในน้ำได้อย่างปลอดภัย
เธอก็ค่อย ๆ ขอให้เขายกตัวเธอขึ้นนั่งบนขอบเรือ เพื่อเตรียมกลับสู่ที่ที่เธอจากมา...
“ขอบคุณเจ้ามาก ๆ นะ ถ้าไม่มีเจ้าข้าไม่รู้เลยว่าชีวิตของข้าจะเป็นอย่างไรต่อไป” ทั้งคู่สบสายตาซึ่งกัน
“ข้าพร้อมช่วยเจ้าเสมอ ก็บอกแล้วข้าจะไม่ให้เจ้าต้องเป็นอันตราย และข้าดีใจมากที่เราได้พบกันอีกครั้ง เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าเฝ้ารอวันนี้มาเนิ่นนานมากจริงๆ” เขากุมมือของเธอไว้
“จะไม่รู้ได้อย่างไร...
ในเมื่อข้าก็รอคอยวันนี้มาเหมือนอย่างเจ้า” สีแดงระเรื่อปรากฎขึ้นที่แก้มทั้งสองข้างของเธอ
“จริงเหรอ!
ถ้าเช่นนั้นแล้ว ต่อจากนี้จะเป็นไปได้ไหม...ถ้าเราจะได้มีโอกาสได้พบกันอีก”
พรางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้อาการขวยเขิน
เธอยกมือขึ้นวางบนอกของอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยต่อ
“ข้าเองก็อยากพบเจ้าอีกเช่นกัน เพราะอย่างนั้นหวังว่าเราจะได้เจอกันอีก”
“ข้าสัญญา ข้าจะไปเจอเจ้าอย่างแน่นอน”
“กว่าจะถึงวันนั้นที่สร้อยของเราส่องแสงอีกครั้ง เจ้าต้องดูแลตนให้ดี แล้วข้าจะรอนะ” ทั้งคู่ยิ้มให้แก่กันก่อนที่เธอจะค่อย ๆ ลงสู่เบื้องล่างแห่งท้องทะเล และหายตัวไปใต้มหาสมุทรดังเช่นเมื่อครั้ง 12 ปีก่อน
แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนกับเมื่อ12 ปีก่อนแน่นอน
ตรงที่โจคาสต้าเองเชื่อเหลือเกินว่าวันที่พวกเขาจะได้เจอกันในครั้งต่อไป
คงไม่ต้องรอคอยอย่างเนิ่นนาน เหมือนเช่นที่เคยเป็นมาอีกต่อไปแล้ว :)
มนุษย์หนุ่มคิด แล้วจึงตัดสินใจหยิบ 'ฮาร์โมนิก้า' ของสำคัญของตนมากุมไว้ในมือ
ก่อนจะยิ้มให้กับมัน และมองขึ้นไปบนฟากฟ้าที่คืนนี้เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ
"ท่านพ่อท่านแม่ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่พวกท่านซื้อให้แก่ข้า
บัดนี้ได้กลายเป็นข้อแลกเปลี่ยน เพื่อช่วยชีวิตของผู้เป็นที่รักของข้า
หวังว่าพวกท่านจะไม่โกรธเคือง ถ้าต่อจากนี้ข้าจะไม่ได้ครอบครองมันอีกต่อไปแล้ว
ขอบคุณครับ สำหรับสมบัติชิ้นสำคัญที่จะมีความหมายที่สุดในชีวิตของข้าตลอดไป"
น้ำใสเอ่อล้นที่ขอบตาของเขา หากแต่เป็นน้ำตาแห่งความสุข และความคิดถึงต่อผู้เป็นบิดามารดา
ก่อนจะโยนเครื่องดนตรีชิ้นโปรดลงสู่ท้องทะเล ตามที่ได้ให้สัญญาไว้กับผู้ยิ่งใหญ่ปริศนาในความฝัน
แล้วเจอกันคับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in