“เธอหนีสิ่งที่ตัวเองเป็นไม่ได้หรอก เบอร์แทรม เคลลีย์”
เสียงที่คอยกระซิบเตือนแว่วมาจากห้วงหนึ่งของจิตใต้สำนึก
“ไม่มีใครเคยหนีได้ แม้กระทั่งคนที่เก่งที่สุด แข็งแกร่งที่สุด เขาก็ยังหนีไม่พ้น เพราะมันอยู่ในสายเลือดของเรา”
เสียงกระซิบนั้นนุ่มนวลคล้ายปลอบใจ แต่แท้จริงแล้วกลับเกลี้ยกล่อมไปจนถึงบังคับให้ต้องรับความจริง
“ทางเลือกเดียวที่เธอมี คือ การยอมรับมัน ใช้มัน ควบคุมมัน เป็นนายมัน อย่าพลาดพลั้งเหมือนคนของเราบางคน”
เสียงนั่นสะท้อนก้องไปมาในห้วงความคิด โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ตามข่มขู่ว่าอย่าได้เดินตามรอยคนที่ทำผิด
“ที่ผมช่วยเขา เพราะผมคิดว่าตัวเองสมควรทำ แค่นั้นเอง”
ทันทีที่นึกแย้งออกไป ความมืดมิดที่โอบอุ้มเขาเอาไว้ก็แปรสภาพ เบอร์แทรมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกฉุดลงไปใต้ผิวน้ำอย่างกะทันหัน ดำดิ่งลงไปในบรรยากาศที่หนาแน่นและบีบรัดรอบตัวเขาไว้จนแทบหายใจไม่ออก
เขารู้สึกว่าตัวเองร่วงหล่นถึงพื้นเยียบเย็น ก่อนกระถดตัวเองเข้าหามุมหนึ่งและขดตัวอยู่ที่นั่น ไม่ตอบโต้ ไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่วนเวียนอยู่รอบตัวของเขาและตอกย้ำเรื่องสิ่งที่เขาควรทำและควรเชื่อ
เปล่าเลย เขาไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยรัสเซลล์ โธมัสเพราะเขาตระหนักถึงอำนาจของคนที่มีสายเลือดของพ่อมดอยู่ในตัวเอง เขาแค่อยากช่วยชายหนุ่มคนนั้นเพราะเขาเห็นอีกฝ่ายตกที่นั่งลำบากด้วยความสามารถที่เขาพอมีอยู่ เขาไม่เคยคิดหนีจากสิ่งที่ถูกส่งต่อมาทางสายเลือด แต่เขาอยากมีชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากมี อยากทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ใช้ความรู้และพลังที่มีอยู่ในแบบของตัวเอง ซึ่งแตกต่างออกไปจากสิ่งที่หลายคนที่มีสายเลือดเดียวกันเป็น เชื่อ และทำ
ปล่อยผมไปเถอะ... คำวิงวอนนี้ช่างไร้ความหมาย เมื่อแรงต่อต้านยืนหยัดจะลุกขึ้นยังไม่มี
เบอร์แทรม เคลลีย์ได้แต่โอบกอดตัวเองแน่นราวกับว่าหากปล่อยมือแล้ว เขาจะสูญเสียตัวตนของตัวเองไปตลอดกาล
-------------------------------
ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เบอร์แทรมหลับลึกได้ขนาดนั้น แต่เป็นการหลับลึกที่ดูไม่สบายเอาเสียเลย
รัสเซลล์ช้อนตัวของคนที่นอนอยู่กับพื้นและยังไม่ยอมตื่นแม้เขาจะพยายามเรียกชื่อและเขย่าปลุกขึ้นวางบนโซฟา หาหมอนอิงมาหนุนศีรษะให้ เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจจับแขนเสื้อของอีกฝ่ายเลิกขึ้นทั้งสองข้างเพื่อหาร่องรอยของการใช้ยาเสพติดหรือร่องรอยอย่างอื่นที่บ่งบอกถึงแนวโน้มในการทำร้ายตัวเอง แต่ก็ไม่พบแม้แต่นิดเดียว สองมือของเบอร์แทรมอาจมีรอยแผลบ้าง แต่นั่นก็เป็นธรรมดาของคนทำงานฝีมือ การไม่พบร่องรอยของสิ่งที่น่าเป็นห่วงทำให้เขาโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
อาการกระสับกระส่ายของคนที่ยังหลับตาแน่นทำให้เขายื่นมือออกไปอังที่หน้าผากและซอกคอของอีกฝ่าย แต่พบว่าอุณหาภูมิของร่างกายไม่ได้ร้อนขึ้นเหมือนคนเป็นไข้ แม้จะมีเหงื่อผุดซึมตามใบหน้า แต่ทั้งแขนและมือกลับเย็นจัดเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงของฝันร้าย
นายตำรวจหนุ่มลุกขึ้นจากพื้นพรมที่ตนเองนั่งคุกเข่ามองเจ้าของบ้านที่ยังคงไม่ได้สติตื่น เดินไปยังห้องนอนของอีกฝ่ายที่เขาเคยใช้เป็นที่นอนพักเมื่อบ่ายวันก่อน และหยิบเอาผ้าห่มควิลท์ที่เขาพับวางเอาไว้ที่ปลายเตียงออกมาห่มให้ชายหนุ่มบนโซฟา แล้วหย่อนตัวลงบนโซฟาอีกตัวหนึ่งและนั่งมองอีกฝ่ายเงียบ ๆ
ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น เขานึกสงสัย แต่ในใจก็หวังเพียงว่าจะไม่มีเรื่องร้ายใด ๆ เกิดขึ้น และอยากให้กรณีที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย เป็นเพียงแค่อาการป่วยจากการเดินตากน้ำค้างยามดึกกลับบ้านเท่านั้น
หลังจากห่มผ้าให้พักหนึ่ง รัสเซลล์ค่อยสังเกตว่าเบอร์แทรมดูสงบลงและกลับเข้าสู่ภาวะเหมือนแค่นอนหลับ
เขาดึงกระดาษเช็ดหน้าจากกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกมาซับเหนือตามใบหน้าให้อีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
สีหน้าขณะหลับของเจ้าของร้านหนังสือเก่าสงบนิ่ง ลมหายใจค่อยผ่อนลงเป็นการหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ สิ่งที่เคยดูน่าเป็นห่วง ไม่เหลืออะไรให้ต้องเป็นห่วงอีกต่อไปแล้ว
รัสเซลล์มองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าของตนเอง...
ภาพของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับตาอยู่เป็นภาพของความสงบนิ่ง แต่เป็นความสงบนิ่งที่เต็มไปด้วยชีวิต เป็นความสงบสุขที่ทำให้เขาดีใจที่ตัดสินใจจะไม่รบกวนอีกฝ่ายด้วยการปลุกมาตั้งแต่แรก
เขาเคยนั่งมองใครคนหนึ่งนอนหลับ และคนคนนั้นก็หายไปจากชีวิตของเขานานเสียจนเกือบลืมไปแล้ว
เบอร์แทรมไม่มีอะไรที่เหมือนกับคนที่เคยอยู่ในชีวิตของเขาในช่วงระยะเวลาหนึ่งคนนั้น แต่การนั่งมองเบอร์แทรมทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาดังกล่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
มีเสียงเหมือนถอนใจเบา ๆ มาจากคนที่นอนอยู่บนโซฟา มือที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาขยับน้อย ๆ ริมฝีปากที่เผยออยู่ตามปกติของคนนอนหลับขยับช้า ๆ เหมือนพึมพำอะไรบางอย่าง
เขาแตะใบหน้าของอีกฝ่าย ใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมบนหน้าผากของอีกฝ่ายออกให้ และลูบเรือนผมของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งแผ่วเบา ขณะที่วางมืออีกข้างหนึ่งบนมือของคนที่นอนอยู่แล้วบีบเบา ๆ
-------------------------------
นานเท่าใดไม่รู้ที่เบอร์แทรมต้องเผชิญกับเสียงที่คอยเรียกร้องให้เขากลับไปในที่ที่ตัวเองควรอยู่ แต่ ณ ขณะหนึ่ง เสียงและแรงกดดันนั้นก็สลายหายไป ความอึดอัดและเย็นยะเยือกที่เคยโอบล้อมรอบกายถูกแทนที่ด้วยกระแสของความอบอุ่น ความสับสนวุ่นวายของจิตใจพลันถูกแทนที่ด้วยความสงบ
เขาอยากลืมตาขึ้นมองว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อคืนนี้ทำให้เขาเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะขยับแม้เพียงเปลือกตา สิ่งที่ฉวยโอกาสจู่โจมยามที่เขาอ่อนแอทำให้เขายังไม่พร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น
ร่างกายที่หนักอึ้งเบาลงและรู้สึกเหมือนถูกยกขึ้นจากพื้นที่นอนอยู่
มีสัมผัสอ่อนโยนสัมผัสหนึ่งแตะลงบนใบหน้าและเรือนผม
มีเสียงเรียกชื่อของเขาแว่วเข้าหู น้ำเสียงที่เรียกเต็มไปด้วยความห่วงใย
“เบอร์แทรม”
ริมฝีปากของเขาขยับเชื่องช้า มือที่วางอยู่ข้างตัวเอื้อมหามือที่แนบอยู่บนหน้าผาก
“รัสเซลล์...”
To be continued >>> Day 7 : Star / Night Sky
คุณเคลลีย์สู้ๆ นะคะ เหนื่อยหน่อยแต่ยังโชคดีที่มีอีกคนนึงอยู่ไม่ไกล หยิบผ้าห่มวิเศษให้ทันเวลา ?