คำว่า ‘ผมไม่เป็นไร’ ไม่ได้ช่วยโน้มน้าวให้คนฟังหยุดเป็นห่วงได้ แต่จะว่าไป ความไม่เชื่อว่าเบอร์แทรมจะไม่เป็นไรของรัสเซลล์ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าตัวเอง เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผู้มาพักอาศัยคนใหม่อาสาจะขับรถพาเขาเข้าไปที่ร้านหนังสือมือสองในเมือง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักไปประมาณสิบห้านาที
เบอร์แทรมเหลือบมองคนหลังพวงมาลัยรถอีโคคาร์ของเขา ชายหนุ่มกลับไปเป็นเพื่อนบ้านที่เงียบขรึม ไม่ช่างพูด แต่บรรยากาศระหว่างพวกเขาไม่ได้เย็นชาหรือชวนอึดอัดแบบคนแปลกหน้าที่ต้องมาร่วมทางกันแต่อย่างใด
“ทำไมคุณถึงเลือกที่จะมาพักฟื้นที่เมืองนี้” เขาตัดสินใจเป็นคนเปิดประเด็นสนทนาขึ้นก่อน อย่างที่ทำมาตลอดตั้งแต่เมื่อวานนี้ “มันแตกต่างจากลอนดอนที่คุณใช้ชีวิตอยู่เยอะมากนะ”
“เอาจริง ๆ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาเมืองนี้แต่แรกหรอก ผมไม่มีไอเดียอะไรเกี่ยวกับการพักฟื้นด้วยซ้ำไป” นายตำรวจสืบสวนบอก หันมามองคนที่เบาะข้าง ๆ นิดหนึ่งก่อนหันกลับไปมองทาง “ตอนนั้น ในสมองผมมีแต่ความโมโห คนที่จัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ก็คือเจ้านายของผม เธอไล่ผมออกมานอกเมือง พยายามอยู่ให้ห่างจากคู่หูและมนุษย์คนอื่น ๆ ให้มากที่สุด”
“ทำไมเธอถึงต้องการให้คุณอยู่ห่างจากคู่หูล่ะ”
“เพราะผมคงจะไปเฝ้าเธอจนตัวเองไม่ได้หลับได้นอน ทั้งที่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ ก็จะยังดื้อไปติดตามอาการของเธอ เพราะผมโทษตัวเองว่า ถ้าไปถึงเร็วกว่านี้สักหน่อย เธอคงจะไม่บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ อย่างที่ผมเล่าให้คุณฟังเมื่อวาน”
รัสเซลล์ระบายลมหายใจยาว
“อาการบาดเจ็บของเธออาจฟื้นฟูได้ด้วยการกายภาพบำบัด แต่เธอจะไม่สามารถเดินหรือวิ่งได้อย่างปกติไปตลอดทั้งชีวิต เธอเป็นคนชอบการเคลื่อนไหว ชอบทำกิจกรรม มีความคล่องตัวสูง สิ่งที่เกิดขึ้นคงทำให้เธออึดอัดและส่งผลกระทบต่อการทำงานของเธอมากเลยละ แต่...”
“แต่เธอก็บอกคุณว่า เธอไม่เป็นไร”
“ใช่...” รัสเซลล์ถอนใจอีกครั้ง “เหมือนคุณที่บอกผมว่าตัวเองไม่เป็นไรทั้งที่หน้าคุณซีดเหมือนหลุดออกมาจากช่องแข็งของตู้เย็นอย่างงั้นละ”
“คำว่า ‘ไม่เป็นไร’ ของคนที่เห็นอยู่ชัด ๆ ว่า ‘เป็น’ คงทำให้คุณไม่สบายใจ”
“อืม” คนทำหน้าที่ขับรถรับคำในลำคอ “ไม่ใช่แค่ไม่สบายใจ แต่รู้สึกแย่เลยละ... ก่อนแม่ผมเสีย ท่านบอกผมว่า ท่านไม่เป็นไร แต่ไม่นาน ท่านก็จากไป แล้วผมก็ติดอยู่กับคำถามที่คอยถามตัวเองว่า ถ้าไม่เป็นไรจริง ๆ ทำไมแม่ถึงจากผมไป แทนที่จะหายดีแล้วกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”
ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเขาสองคน ไม่มีใครทำลายความเงียบนั้นด้วยคำพูด มีเพียงความเคลื่อนไหวของเบอร์แทรมที่วางมือลงบนมือที่วางอยู่บนกระปุกเกียร์ของคนที่ยอมเปิดใจพูด
“บางที ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าโลกนี้มีเวทมนตร์จริง ๆ ก็ดี จะได้แก้ไขเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ ให้ดีขึ้นได้ เอาคนที่จากไปกลับมา และทำให้สิ่งที่เคยถูกทำลายกลับมาดีได้เหมือนเดิม”
“ไม่มีเวทมนตร์อะไรที่สามารถทำอย่างนั้นได้หรอก ผมเสียใจด้วย” เจ้าของร้านหนังสือเอ่ยเบา ๆ “ไม่มีเวทมนตร์หรืออำนาจใด ๆ ก็ตามที่ทำให้สิ่งที่สูญเสียไปแล้วให้กลับมาได้ และนั่นคือสิ่งที่เราต้องยอมรับมัน”
“ผมนึกว่าคุณจะปลอบเด็กชายรัสเซลล์ตัวน้อย ๆ คนนี้ซะอีก” นายตำรวจหนุ่มหัวเราะ “แต่ผมชอบที่คุณพูดตรง ๆ ผมชอบที่คุณพูดแล้วให้ความรู้สึกว่า คุณรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์จริง ๆ และเวทมนตร์ในความเป็นจริงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน”
คำพูดนั้นทำให้เบอร์แทรมเผลอยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็เป็นอย่างที่รัสเซลล์พูด เขารู้จักมันดีพอที่จะกล้าพูดประโยคเหล่านั้นออกมา และรู้จักมันดีเกินกว่าที่จะเรียกมันว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่บันดาลความฝันให้เป็นจริงเหมือนในเทพนิยาย
เวทมนตร์ของเขาคือการทำความรู้จักกับพลังที่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็นให้ถ่องแท้และใช้มันเพื่อป้องกันและปัดเป่าพลังงานที่มุ่งร้ายและเป็นด้านลบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้อื่น และเมื่อสิ่งเลวร้ายถูกกำจัดหรือลดทอนกำลังลง สิ่งที่ดีย่อมเกิดขึ้นกับคนที่เป็นเป้าหมายของการทำร้ายเหล่านั้น ไม่มีสิ่งใดที่ฝืนกฎของธรรมชาติ หลักการใช้พลังในฐานะพ่อมดของเขาเรียบง่ายเพียงเท่านี้เอง แต่ทว่าสิ่งที่เขาทำขัดกับสิ่งที่คนอื่นที่มีสายเลือดเดียวกันเชื่อถือและปฏิบัติ และนั่นคือเหตุผลที่เขาพยายามหลบเลี่ยงและหลีกหนีจากเสียงเรียกร้องให้เขากลับไปสู่โลกฟากตรงข้ามกับโลกที่เขาปรารถนาจะใช้ชีวิตอยู่
“คุณคงเห็นว่า เวทมนตร์เป็นสิ่งเหลวไหล” รัสเซลล์ว่า
เบอร์แทรมส่ายหน้า “ไม่หรอก”
“คุณไม่ได้พยายามปลอบใจผมอยู่ใช่ไหม” คนพูดเลิกคิ้วน้อย ๆ แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ผมดูเหมือนกำลังทำแบบนั้นอยู่เหรอ” เจ้าของร้านหนังสือหัวเราะ “ผ่านแยกนี้ไปแล้วเลี้ยวซ้ายนะครับ ร้านของผมอยู่ทางซ้ายมือ ติดกับร้านกาแฟ คุณจอดรถไว้ริมถนนได้เลย”
ที่ทำงานของเบอร์แทรม เคลลีย์เป็นร้านหนังสือมือสองและร้านรับเย็บเล่มหนังสือ ทีแรก รัสเซลล์คิดว่าร้านของเพื่อนบ้านจะเป็นแค่ร้านเล็ก ๆ สักหนึ่งคูหา มีพื้นที่สำหรับจำหน่ายหนังสืออย่างมากไม่เกินกองชั้น แต่เขาคาดผิดไปมาก เพราะร้านหนังสือของเบอร์แทรมอยู่ในอาคารทรงโรมาแนสก์หลังใหญ่ที่กลมกลืนไปกับอาคารรอบข้าง สถานที่จำหน่ายหนังสือมีทั้งหมดสามชั้น มีห้องสำหรับซ่อมแซมหนังสือและทำเวิร์กช็อปเกี่ยวกับการซ่อมแซมหนังสืออยู่ที่ชั้นสามอีกห้องหนึ่ง ส่วนสำนักงาน ที่พักผ่อนของพนักงาน และคลังหนังสืออยู่ในส่วนของห้องใต้ดิน
ความจริงแล้ว เบอร์แทรมไม่จำเป็นต้องมาที่ร้านในวันนี้ก็ได้ เพราะเป็นหยุดพักผ่อนของเขาตามตารางงาน แต่จำเป็นต้องมาในวันนี้ เพราะมีลูกค้านัดรับหนังสือสะสมพิเศษที่สั่งซื้อและสั่งซ่อมเอาไว้ ราคาของหนังสือเล่มนั้นทำให้รัสเซลล์ไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง แต่มันเป็นความจริง และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ร้านหนังสือเก่าของเบอร์แทรมอยู่ได้
ในช่วงเวลาครึ่งวันในร้านหนังสือมือสอง เขาเหมือนจะจมหายไปกับหนังสือจำนวนมหาศาลที่เจ้าของอนุญาตให้ผู้มาเยือนสามารถหยิบอ่านและเลือกสรรได้ตามใจชอบ กลิ่นอายของหนังสือเก่าที่อบอวลอยู่ในร้านทำให้เขารู้สึกสงบใจได้อย่างประหลาดและอดคิดถึงกลิ่นหอมของควันไม้เชอรี่และใบเสจที่เบอร์แทรมจุดในบ้านพักของเขาเมื่อคืนก่อนไม่ได้
เขามองมือของชายหนุ่มเจ้าของร้านหนังสือที่พลิกเปิดหนังสือเก่าฉบับพิเศษที่มีลูกค้าสั่งไว้ให้เขาอยู่อย่างระมัดระวัง มือคู่นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วและแผ่วเบาเหมือนมือของนักมายากล นุ่มนวลกับกระดาษและภาพวาดแต่ละแผ่นที่ประกอบกันขึ้นเป็นหนังสือ แต่แข็งแกร่งและแม่นยำเมื่อต้องลงมือทำงานเย็บเล่มและเข้าปกที่ต้องใช้ทั้งกำลังและความเชี่ยวชาญพิเศษ ราวกับเป็นพ่อมดที่เสกสรรให้หนังสือที่อยู่ในสภาพย่ำแย่กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้
โลกในร้านหนังสือของเบอร์แทรมเป็นเสมือนโลกแห่งเวทมนตร์สำหรับรัสเซลล์อย่างแท้จริง
รัสเซลล์ไม่เคยคิดมาก่อนว่า เขาจะใช้เวลาทั้งหมดที่มีอยู่ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงค่ำอยู่กับร้านขายและซ่อมแซมหนังสือได้อย่างในวันนี้ เขาลืมความกังวลที่เคยมี ลืมความคิดว่าไม่อยากจะพูดจาหรือพบปะกับใคร ลืมไปว่าเวลาในแต่ละวันเคยผ่านไปอย่างเชื่องช้าเพียงใดเมื่อไม่มีงานให้ทำอย่างที่เคยเป็นมา
“เรากลับกันเถอะ” เบอร์แทรมบอกว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ปิดร้าน เพราะเป็นหน้าที่ของพนักงานตามตารางเวรประจำวัน “ผมขับเอง เผื่อจะได้แวะกินมื้อเย็นด้วยกันที่ร้านในเมือง”
รัสเซลล์ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด
เขาเดินตามเบอร์แทรมออกไปนอกร้าน และยืนรออีกฝ่ายที่กลับเข้าไปคุยกับพนักงานที่ขอให้กลับไปช่วยจัดการอะไรบางอย่างอยู่ริมทางเท้า
นายตำรวจหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ในเมืองมีแสงไฟสว่างทำให้มองเห็นแสงดาวและดวงจันทร์ได้ไม่ชัดเจนอย่างในเวลาที่ยืนมองจากที่พักซึ่งอยู่นอกเมือง เขาเริ่มคิดถึงผืนฟ้ามืดสนิทที่มีดาวพร่างพรายมากกว่าท้องฟ้าที่มีแสงไฟฉายส่องอย่างในเมืองหลวง
ช่วงเวลาที่สงบสุขที่หัวหน้าของเขาปรารถนาจะให้เขาได้พบอาจเป็นช่วงเวลาเช่นนี้ก็ได้
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาสงบสุขที่เขาเพิ่งได้ทำความรู้จักก็อยู่กับเขาไม่นานนัก เมื่อเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์กรีดร้องขึ้นจากในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต และชื่อของผู้บังคับบัญชาที่ปรากฏขึ้นบนจอก็ทำให้หัวใจของเขากระตุก
“รัสเซลล์ นี่มาเรียพูด แอดดิงตันหนีไปได้ระหว่างเดินทางจากเรือนจำไปโรงพยาบาล เราตามล่าเขาอยู่ ระวังตัวด้วย”
To be continued >>> Day 8 : Warm Mugs
(แต่อารมณ์ตอนนี้ก็คืออยากเข้าไปนอนซุกตัวอยู่ในร้านหนังสือของเบอร์แทรมมาก ๆ เลยล่ะค่ะ ? รับพนักงานเพิ่มไหมคะ---)
ร้านของเบอร์แทรมยินดีต้อนรับทุกคนค่ะ ถึงไม่ได้เป็นพนักงานก็ไปแช่อยู่นานๆ ก็ได้นะคะ :)
/คุณตำรวจระวังตัวด้วยค่ะ!