ในความมืด เขามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เป็นความมืดที่มืดยิ่งกว่าความมืดใด ๆ ที่เขารู้จัก วิญญาณพวกนั้นหายไปแล้ว พวกมันปล่อยเขาให้เป็นอิสระในที่สุด แต่สิ่งที่ยังคงหลอกหลอนอยู่ในความคิดและความทรงจำคือ เสียงของคนคนนั้นที่คอยตอกย้ำว่า เขาไม่ใช่ตัวจริง และความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเองถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ
ผู้ชายคนนั้นทำลายทุกสิ่งที่เขาใช้ความพยายามมาเป็นแรมปีเพื่อทำให้สำเร็จในชั่วเวลาเพียงดีดนิ้วครั้งเดียว และเสียงดีดนิ้วนั้นเป็นเสียงดีดนิ้วที่ทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าจะเป็นคนร่างสันทัด ท่าทางไร้พิษภัย แต่พลังอำนาจที่แผ่ออกมาจนเขาสัมผัสได้ทำให้เขาแทบจะทรุดลงกับพื้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามั่นใจว่าตัวเองทำไม่พลาด แต่ท้ายที่สุดแล้ว คนที่มีสายเลือดของเจ้าของศาสตร์ที่เขาพยายามศึกษาก็ทำให้เขารู้ว่า สิ่งที่เขาทำช่างไร้ความหมาย ความทุ่มเทของเขาไม่เหลืออะไรเลย แม้กระทั่งวิญญาณในความควบคุมของเขายังหันหลังให้และหันกลับมาทำร้ายเขาอย่างไม่ลังเล
ไม่ยุติธรรมเลย แค่มีสายเลือดของตระกูลนั้นก็สามารถใช้พลังอำนาจได้อย่างไม่ต้องพยายาม
เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า ตำรวจที่จับกุมเขาจะมาอยู่กับคนที่มีอำนาจของผู้เรียกวิญญาณอย่างคนตระกูลเคลลีย์ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ตำรวจคนนั้นที่อยู่ในสภาพอย่างนั้นไม่มีวันเอาชนะเขาได้ และวิญญาณของมันจะต้องตกเป็นทาสของเขาไปตลอดชิวิตหรืออย่างน้อยก็จนกว่าที่เขาจะเบื่อหน่าย
น่าเสียดาย ที่ตัดสินใจพลาดไปหน่อย ถ้าลงมือเล่นงานแม่ตำรวจผู้หญิงคนที่อยู่ในโรงพยาบาลเสียก่อนก็คงดี แต่เสียดายไปก็เท่านั้น เพราะเรื่องมันก็ล่วงเลยมาถึงขนาดนี้แล้ว และเขาก็กลับมาอยู่ในความควบคุมของตำรวจอีกครั้ง
จะว่าไปก็แปลก ที่วิญญาณพวกนั้นไม่ได้ทำร้ายหรือแก้แค้นเขาอย่างที่เขาคิด
พวกมันแค่ทวงถามเหตุผลที่เขาฆ่า วนเวียนรอบตัว กรีดร้องโหยหวน ดึงแขนขาของเขาจนเจ็บระบบ แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เขานึกว่าพวกมันจะเอาชีวิตของเขาด้วยซ้ำไป ทว่าพวกมันก็ไม่ทำ ส่วนวิญญาณที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น แม้จะพยายามขัดขวางเขาไม่ให้เข้าไปในบ้าน แต่พวกมันก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เมื่อเขาซัดเกลือที่เขาคว้ามาได้จากห้องครัวของตาแก่ที่เขาฆ่าใส่และใช้เวทมนตร์ตรึงพวกมันไว้กับที่ นอกจากแหกปากกรีดร้อง พวกมันก็ทำอะไรเขาไม่ได้อีก
หรือเพราะว่าพลังอำนาจของผู้ชายที่อ้างว่าตัวเองเป็นเคลลีย์มีอยู่เพียงเท่านั้น เขาจึงรอดมาได้
แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองหลังจากที่วิญญาณของคนพวกนั้นผละจากไปหมดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียวสำหรับการเริ่มต้นใหม่ และทำในสิ่งที่ท้าทายตัวเองอีกครั้งกับการหลบหนีและจัดการกับไอ้ตำรวจตายยาก กับเจ้าหนุ่มตระกูลเคลลีย์ที่ดูอ่อนแอไม่สมกับที่เกิดมาในตระกูลพ่อมดผู้เชิญวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลย
โจนาห์ แอดดิงตันพยายามลืมตา แต่ไม่สามารถทำได้ เปลือกตาของเขายังคงหนักอึ้งเหมือนถูกหินถ่วง
ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายที่เคยขยับได้ของเขากลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งคอยตรึงกดเอาไว้ แม้พยายามจะยกหรือสลัดแขนขาให้หลุดจากพันธนาการที่มองไม่เห็นแล้ว ก็ยังไม่อาจเคลื่อนไหวได้ดังเดิม ดิ้นจนจนเหนื่อยแทบหายใจไม่ทัน ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ ขยับปากจะเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขากลัวขึ้นมาจับใจ กลัวยิ่งกว่าตอนที่วิญญาณหันกลับมาหาเขา กลัวยิ่งกว่าตอนที่สบตากับเคลลีย์คนนั้นเสียอีก
การถูกจองจำทางร่างกายและสัมผัสแทบทุกอย่างเป็นความทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตาย เขาไม่อาจรับรู้สิ่งที่อยู่รอบตัว ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่สามารถได้ยินเสียงจากภายนอก และไม่สามารถพูดสื่อสารกับใครได้ มีเพียงลมหายใจและความคิดเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่
เสียงหนึ่งแว่วมา และเขาจำได้ทันทีว่า เป็นเสียงของชายหนุ่มตระกูลเคลลีย์คนนั้น
“ผมไม่คิดว่าจะต้องทำแบบนี้กับคุณ แต่ในเมื่อคุณไม่ยอมหยุด ทางเดียวที่จะหยุดคุณได้คือ คำสาป”
ในเวลานี้ คนที่เขาเคยคิดว่าอ่อนแอ ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสียแล้ว ในน้ำเสียงนุ่มนวลนั้นแฝงไว้ด้วยความเด็ดขาดและเยือกเย็น เป็นเสียงที่ทำให้รู้ว่า ชีวิตของเขาไม่ได้อยู่ในกำมือของตัวเอง ทว่าขึ้นอยู่กับความปรานีของอีกฝ่าย
คำสาปของตระกูลเคลลีย์เป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง เพียงแต่รู้กันว่า มันมีอยู่และไม่มีใครสามารถกลับมาเล่าให้ฟังได้ว่า สิ่งที่ต้องเผชิญเป็นอย่างไร
“ปล่อย...” เขาทำได้เพียงแต่ตะโกนในใจเท่านั้น แต่ไม่มีการตอบสนองใดจากเจ้าของเสียงในหูที่เขาได้ยิน
“ไม่มีใครปล่อยคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง” เสียงนั้นตอบกลับมา “เมื่อไหร่ที่คุณหยุดคิดทำร้ายคนของเคลลีย์ไม่ว่าใครก็ตาม คุณก็จะเป็นอิสระ และนั่นเป็นเรื่องที่ยากมากเลย จริงไหม”
“ให้ฉันขอโทษนายก็ได้ จะให้ทำอะไรก็ได้”
เสียงในความคิดของเขาระล่ำระลักแทบไม่เป็นภาษา เพียงแค่คิดว่าจะต้องติดคุกอยู่ในร่างกายของตัวเองก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว ยิ่งนานวันไป การอยู่ตามลำพังกับความคิดของตัวเองก็คงจะทำให้เขาประสาทหลอนกับความคิดและความทรงจำเกี่ยวกับความผิดพลาดและพ่ายแพ้ที่คอยหลอกหลอนเขาอยู่อย่างไม่มีวันสิ้นสุด
เขาไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้มาก่อนในเวลาที่พยายามจะจองจำและควบคุมวิญญาณของคนที่เขาฆ่า จนกระทั่งได้พบเจอประสบการณ์ดังกล่าวกับตนเอง
“ฉันจะหยุดฆ่าคนแล้วก็ได้ แต่ปล่อยฉันไปเถอะ อย่าให้ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้เลย... ได้โปรด”
“เมื่อคำสาปเริ่มทำงานแล้ว ผมก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก”
“ผมเสียใจด้วยจริง ๆ โจนาห์”
เสียงพูดนั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกที่ตรงกับสิ่งที่กล่าวออกมา และเสียงนั้นก็ดูเหมือนอยู่ห่างออกไปทุกที
“ไม่ แกจะทำกับฉันแบบนี้ไม่ได้ เคลลีย์!!”
เขากรีดร้องสุดเสียง แต่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน
แต่แล้ว เขากลับพลันลืมตาขึ้นได้อย่างกะทันหัน ฝันร้ายในยามตื่นที่น่าสยดสยองที่สุดในชีวิตเพิ่งผ่านพ้นไป แต่เสียงของเบอร์แทรม เคลลีย์ยังคงดังกังวานและหลอกหลอนเขาอยู่ทั้งที่เขาได้ความควบคุมในร่างกายของตัวเองกลับคืนมา
“ถ้าคุณคิดหนี แม้แต่นาทีเดียว คุณจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองอีก”
เสียงกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง พ่ายแพ้ของโจนาห์ แอดดิงตันเรียกให้ตำรวจที่เฝ้าอยู่หน้าห้องวิ่งเข้ามาเพื่อพบกับผู้ต้องหาที่ฟื้นขึ้นจากการหลับใหลมาเผชิญกับความจริงและความผิดที่ตนเองได้กระทำอีกครั้งหนึ่ง
To be continued >>> Day 29 : Party
อิฉจาคุณตำรวจคนนั้นจังค่ะ กรี๊ดดดดดดดดดดดด
คุณเบอร์แทรมใจดีจังค่ะ ส่วนแอดดิงตันก็ขอให้ระวังตัวนะคะ! โอกาสไม่ใช่ว่าจะได้มากันง่ายๆ!
จำไว้! อย่ามายุ่งกับคนของเคลลีย์!
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด