“เธอหนีสิ่งที่ตัวเองเป็นไม่ได้หรอก เบอร์แทรม เคลลีย์”
เสียงที่คอยกระซิบเตือนจากห้วงหนึ่งของจิตใต้สำนึกแว่วมาอีกครั้ง
“ในที่สุด เธอก็ต้องยอมรับมัน ใช้มัน ควบคุมมัน และเป็นนายของมันในวันหนึ่งอยู่ดี เพราะไม่มีใครเลยที่สามารถหนีไปจากสายเลือด และสิ่งที่ถูกส่งผ่านต่อมาทางสายเลือดของเราได้ นี่คือชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้แล้วสำหรับเธอ”
เสียงนั้นเปล่งสำเนียงของผู้ชนะ สะท้อนก้องไปมาในสมองของเขาเหมือนเสียงสะท้อนในโพรงถ้ำมืดมิด แต่ในคราวนี้ เบอร์แทรมไม่หลบหนีหาที่ซ่อนอีกต่อไปแล้ว เขายืนหยัดและฟังเสียงนั้นอย่างสงบ
“ไม่หรอก... มันไม่ใช่เรื่องของชะตากรรม” เขาเอ่ยตอบ
“จริงอยู่ที่พลังอำนาจนี้ส่งต่อกันมาทางสายเลือดของเราจากรุ่นสู่รุ่น และผมยอมรับว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องใช้มันด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง แต่การใช้พลังของผมนั้น เป็นสิ่งที่ผมเลือกเองว่าจะใช้พลังนี้เพื่อทำอะไรและเพื่อใคร”
เมื่อเขาเปล่งเสียงของตัวเองออกไป เสียงที่เคยโอบล้อมรอบกายเขาคอยตอกย้ำซ้ำไปซ้ำมาว่า เขาไม่มีวันหลุดพ้นจากความจริงเรื่องพลังอำนาจที่มีอยู่ตัวเองได้ เขาเป็นคนที่แตกต่างก็เริ่มเงียบเสียงลง เสียงของเขาที่สะท้อนทับเสียงจากสำนึกที่คอยหลอกหลอนมาเนิ่นนานกลายเป็นเสียงที่ดังที่สุดที่เขาได้ยิน
อย่างที่ ‘เขาคนนั้น’ ที่เขาปรึกษาเรื่องที่ตัดสินใจจะรื้อฟื้นคาถาเรียกและควบคุมวิญญาณขึ้นมาใช้เคยบอกเอาไว้ สิ่งที่เขาเลือกแล้วด้วยสมองและด้วยหัวใจ ตัดสินใจที่จะทำและยอมรับผิดชอบในทุกผลที่จะตามมา คือสิ่งที่สำคัญที่สุด สำคัญยิ่งกว่าพลังอำนาจใด ๆ ที่มีอยู่ในตัวเองอย่างที่ใครก็ตามปลูกฝังสืบต่อกันมาทั้งสิ้น
โดยเฉพาะการกระทำในนามของความรัก แม้รู้ว่าลงมือทำไปแล้ว ผลที่ได้รับกลับมาอาจทำให้หัวใจของตัวเองแตกสลาย แต่ก็ยังคงกระทำด้วยความยินดี ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับตัวเอง ไม่ใช่ใครอื่น
‘เขาคนนั้น’ ถามเขาว่า เขาพร้อมที่จะเผยโฉมหน้าด้านที่ตนเองหวาดกลัวที่สุดว่าคนสำคัญคนนั้นของเขาจะมองเห็นหรือไม่ และคำตอบของเขาคือ เขาพร้อมที่จะทำเช่นนั้นและยินดีที่จะรับผลที่ตามมาทุกประการ
“เธอจะไม่เสียใจหรือ” เคลลีย์อีกคนหนึ่งที่แข็งแกร่งกว่าและหลบหนีจากความเป็นเคลลีย์ไปแล้วคนนั้นถามเขา
เขาตอบว่า เขาคงเสียใจ แต่จะเสียใจมากกว่า ถ้าหากเขาไม่สามารถช่วยคนที่เขาชอบมากคนนั้นได้
คำตอบนั้นของเขาทำให้คนที่ปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนอวยพรให้เขาทำสำเร็จ ปลอดภัย และโชคดี
เสียงของ ‘เขาคนนั้น’ อบอุ่นและเต็มไปด้วยความเข้าใจราวกับเคยผ่านช่วงเวลาเช่นนี้มาก่อน... ช่วงเวลาที่ตัดสินใจฟังเสียงของหัวใจตัวเองมากกว่าเสียงอื่น ๆ ที่คอยฉุดรั้งเขาเอาไว้ และการตัดสินใจนั้นของเขาก็ไม่ผิดพลาด
เขาไม่ถูกครอบงำ แต่มีบางอย่างต้องแลกเปลี่ยน เขาจำต้องเผยด้านมืดที่เลือดเย็นของตัวเองให้รัสเซลล์ได้เห็นเพื่อจัดการกับโจนาห์ แอดดิงตัน... ฝ่ายตรงข้ามที่น่าเห็นใจ แต่ไม่อาจให้อภัยในสิ่งที่กระทำลงไป
เขามองเห็นความหวาดกลัวของแอดดิงตัน แต่เขาไม่อาจมองเห็นสีหน้าของรัสเซลล์ในเวลานั้นได้
เขาอยากรู้เหลือเกินว่า เมื่อได้เห็นด้านนี้ของเขาแล้ว อีกฝ่ายจะมองเขาเปลี่ยนไปหรือไม่และอย่างไร
เบอร์แทรมหลับตาลงยื่นมือออกไปสัมผัสกับกำแพงที่มองไม่เห็นในความมืดเบื้องหน้าของห้วงแห่งจิต
มือของเขาทะลุผ่านกำลังนั้นออกไปได้ แต่กลับพบว่ามีมืออีกมือหนึ่งที่ใหญ่กว่าจับมือข้างนั้นของเขาเอาไว้ และมือนั้นกุมมือข้างนั้นของเขาแนบแน่น มั่นคง แรงบีบที่สัมผัสได้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ เพื่อให้ปรับให้สามารถรับแสงสว่างสาดส่องอยู่ภายนอกได้ และภาพแรกที่เขาเห็นเมื่อลืมตาตื่นขึ้น คือ รัสเซลล์ โธมัสที่นั่งเฝ้าเขาอยู่ข้างเตียง กุมมือข้างที่ว่างอยู่ของเขาเอาไว้ ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างด้วยความยินดี
“ขอบคุณพระเจ้า เบอร์แทรม คุณหลับไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่”
“อย่าเพิ่งพูดอะไร เดี๋ยวผมจะไปตามพยาบาลมาดูอาการ” นายตำรวจหนุ่มจูบหลังมือของเขาเบา ๆ และวางมือข้างนั้นของลงบนเตียง แล้วผละออกจากห้องไป
แม้จะยังปรับสายตาให้มองรอบตัวได้ไม่ชัดนักและยังรู้สึกสะลึมสะลือจากการนอนหลับอันยาวนาน แต่กลิ่นของน้ำยาทำความสะอาด สัมผัสจากเสื้อผ้าที่สวมและผ้าห่มที่ห่มร่างอยู่ทำให้เขาพอจะเดาออกว่าตนเองอยู่ที่ใด โดยเฉพาะความรู้สึกเจ็บและตึงที่หลังมือที่มีสายน้ำเกลือและเทปติดอยู่
หลังจากที่พยาบาลและแพทย์เข้ามาดูอาการและลงความเห็นโดยสรุปแล้วว่า เขาน่าจะกลับไปพักผ่อนต่อที่บ้านได้หลังจากน้ำเกลือที่ให้อยู่หมดก่อน รัสเซลล์ที่ยืนมองเขาอยู่ข้างเตียงในมุมที่ไม่เกะกะการทำงานของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ก็มีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อคนที่มาตรวจอาการของเขาออกไปแล้ว นายตำรวจหนุ่มก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมที่ใช้นั่งเฝ้าเขาอยู่ก่อนหน้านี้ แล้วกุมมือของเขาไว้
“คุณหมดสติไป ผมพยายามปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ฟื้น” รัสเซลล์เล่า “ผมไม่ได้ตามมาส่งคุณที่โรงพยาบาล แต่โทรบอกคลาร่าให้ไปหาคุณก่อน เพราะผมต้องอยู่ตอบคำถามเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ที่มาถึงที่เกิดเหตุ เสร็จเรื่องแล้วถึงได้ตามมาดู และพบว่าผลการตรวจร่างกายของคุณแปลกมาก”
“หมอบอกว่า คุณหมดสติและอยู่ในภาวะช็อคเพราะเลือดจาง ซึ่งมันแปลกมากตรงที่คุณไม่มีบาดแผลหรือไม่ได้รับบาดเจ็บที่ไหนเลย แต่กลับมีอาการเหมือนคนที่เสียเลือดมาก หมอเลยต้องให้เลือดกับน้ำเกลือคุณ และตลอดเวลานั้น คุณไม่ฟื้นหรือรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว”
สิ่งที่รัสเซลล์บอก เป็นสิ่งที่เขายอมแลกเพื่อช่วยเหลืออีกฝ่าย เลือดของเขาจะช่วยให้วิญญาณที่อ่อนแรงและถูกกักขังมีพลังมากพอที่จะเป็นอิสระ มันเป็นวิธีที่ค่อนข้างอันตรายและมีความเสี่ยง แต่ก็รวดเร็วที่สุดในสถานการณ์ที่มีเวลาบังคับ
“ที่เป็นแบบนี้เพราะช่วยผมใช่ไหม...” นายตำรวจหนุ่มจับมือของเขาขึ้นมาแนบริมฝีปาก ดวงตาสีน้ำตาลที่มองสบตากับเขาเต็มไปด้วยความขอบคุณมากพอกันกับความรู้สึกผิด
“เพราะผมตัดสินใจที่จะทำแบบนั้นเองต่างหาก และผมไม่เสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ขอบคุณนะครับ ที่เป็นห่วง” เบอร์แทรมเอ่ยยิ้ม ๆ ใช้นิ้วโป้งลูบหลังมือของอีกฝ่ายเบา ๆ “แล้วแอดดิงตันล่ะ เขาเป็นยังไงบ้าง”
มีเสียงถอนใจมาจากคนที่จับมือของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “หมดสติไปเหมือนกัน ยังไม่ฟื้นเลย”
“หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไรมาก”
คิ้วของรัสเซลล์เลิกสูงขึ้นกับคำกล่าวนั้น “คุณห่วงเขางั้นเหรอ”
“ผมอยากให้เขาได้รับโทษตามกฎหมายด้วย ไม่ใช่แค่รับการแก้แค้นจากคนที่เขาฆ่าแล้วก็จบกันไป”
“คุณพูดถูก และเราอาจจะเจอปัญหาจากพ่อแม่ของเขาที่อาจหาทางต่อสู้คดีใหม่ด้วยการกล่าวอ้างว่า ลูกของตัวเองกระทำความผิดในขณะที่มีอาการวิกลจริต”
“นั่นเป็นเรื่องของอนาคต เดี๋ยวเราก็คงได้รู้กัน”
“คุณใจเด็ดมากจริง ๆ เบอร์แทรม” รัสเซลล์เอ่ยและยิ้มให้คนตรงหน้า
“คุณไม่คิดว่าผมโหดร้ายเกินไปหน่อยหรอกเหรอ”
รอยยิ้มนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแจ่มใสที่มีร่องรอยของความขัดเขินอยู่ในทีกับคำตอบที่ได้รับกลับมา
“ไม่หรอก ผมดีใจที่ได้เห็นอีกด้านหนึ่งของคุณ และดีใจที่คุณเปิดเผยด้านนั้นของคุณให้ผมมีโอกาสได้รู้จัก”
รัสเซลล์ปล่อยมือที่กุมไว้ และใช้สองมือที่ว่างลงชั่วคราวนั้นประคองใบหน้าของคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล แล้วประทับริมฝีปากลงเหนือริมฝีปากของอีกฝ่ายที่สนองรับด้วยดี
“ผมชอบทุกด้านที่เป็นคุณ เบอร์แทรม ไม่ว่าคุณจะเป็นเพื่อนบ้าน เจ้าของร้านหนังสือ หรือพ่อมดก็ตาม”
To be continued >>> Day 27 : Sweets
คุณเบอร์แทรมอาจจะคิดมากไปหน่อย แต่ก็ยินดีด้วยนะคะ ที่ได้เจอคนอย่างรัสเซลล์
อบอุ่น น่ารัก ดีจังเลย