คำพูดที่ออกมาจากปากของเบอร์แทรมนั้นร้ายกาจสำหรับคนฟัง โดยเฉพาะโจนาห์ แอดดิงตัน
แม้จะไม่มีสำเนียงเย้ยหยันหรือแสดงความรู้สึกว่าอีกฝ่ายต่ำต้อย แต่รัสเซลล์รู้ว่านั่นเป็นคำพูดที่เสียดแทงและกระทบกระเทือนใจของคนที่ถูกพาดพิงถึงอย่างรุนแรง เพราะดวงตาของแอดดิงตันวาวโรจน์ด้วยความโกรธราวกับอัศวินที่ถูกตบหน้าเพื่อหยามเกียรติและถูกเรียกร้องให้ออกมาต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของตนเอง
นายตำรวจหนุ่มรู้ว่า เบอร์แทรมมีความรู้ด้านเวทมนตร์คาถาและไสยศาสตร์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ คนที่ใช้นามสกุลเคลลีย์ แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าระบุถึงขนาดว่า สิ่งที่แอดดิงตันทำเป็นเพียงสิ่งที่ทำสำเร็จได้เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ และน้ำเสียงเยือกเย็นแต่หนักแน่นนั้นบอกชัดเจนว่า เขารู้จริง
“แกเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงรู้เรื่องนี้”
มือที่ถือมีดของชายที่เพิ่งฆ่าคนอย่างเลือดเย็นสั่นระริก น้ำเสียงที่ดูเหมือนตั้งใจจะตะโกนออกมาสุดเสียงกลับแหบพร่าและแผ่วหาย ดวงตาที่แสดงความมั่นอกมั่นใจก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นลังเล สีหน้าของเขาแสดงออกทั้งความประหลาดใจและหวาดหวั่นอย่างที่รัสเซลล์ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้กระทั่งยามที่อีกฝ่ายถูกจับและถูกสอบสวนในที่ทำการตำรวจนครบาล
“ผมควรจะเป็นคนถามคุณมากกว่าว่า ถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่รู้อีกเหรอว่า ทำไมผมถึงรู้ว่าสิ่งที่คุณทำมันไม่ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างที่มันควรจะเป็น”
แม้จะมองไม่เห็นหน้าของคนที่ยืนขวางระหว่างเขากับแอดดิงตัน แต่รัสเซลล์รู้สึกได้ว่าเบอร์แทรมกำลังยิ้ม มีเสียงหัวเราะเบา ๆ เจือปนอยู่ในประโยคนั้น และนั่นทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้าเริ่มกลายเป็นอีกคนที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป
สายลมยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงไม่สามารถทำให้เขาหนาวยะเยือกได้เท่ากับความเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้า
เขาไม่คิดว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าของร้านหนังสือเก่าเสแสร้งทำตัวเป็นคนอ่อนโยน นุ่มนวล ไร้พิษสงเพื่อเป็นหน้ากากบังอีกโฉมหน้าหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้เหมือนหมาป่าที่ห่มหนังแกะ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย เหมือนกับความมืดของเงาที่ติดตามตัวอยู่อย่างสลัดไม่ออกไม่ว่าจะพยายามใช้ชีวิตในแสงสว่างมากเพียงใดก็หนีไม่พ้นกำลังฉวยโอกาสนี้คืบคลานเข้าทาบทับตัวตนที่แท้จริงของเบอร์แทรมเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับรู้ว่ากำลังรับมืออยู่กับสิ่งใดมากว่า
รัสเซลล์ยอมรับว่า เขาไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นห่วงคนที่กำลังพยายามปกป้องเขามากกว่า ทว่าเขาคิดไม่ออกเลยว่า คนธรรมดาอย่างเขาจะช่วยเหลืออีกฝ่ายได้อย่างไร นอกจากเฝ้ามองความเป็นไปที่เกิดขึ้นโดยไม่ทำตัวให้เป็นภาระ
“คุณฆ่าคนเพื่อทดลองปลุกวิญญาณและควบคุมวิญญาณเหล่านั้น นั่นไม่ใช่วิถีทางของเรา และไม่มีวันทำให้คุณมีอำนาจยิ่งใหญ่ไปกว่าเคลลีย์อย่างที่คุณอาจจะคิดอยู่ในเวลานี้”
“มันจะไม่เหมือนได้ยังไง ในเมื่อสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมวิญญาณให้ทำในสิ่งที่เราต้องการเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่น้อยคนจะสามารถทำได้”
แอดดิงตันพยายามกล่าวเสียงแข็ง ทว่าเสียงของเขากลับสั่นพร่า
ดูเหมือนว่าคำพูดของเบอร์แทรมตีถูกอัตตาในตัวของเขาเข้าอย่างจัง และเบอร์แทรมก็ไม่ปล่อยให้เขาได้ตั้งตัว
“ตระกูลเคลลีย์ถูกกล่าวถึงด้วยความหวาดกลัวมาตลอดว่าเป็นตระกูลที่เกี่ยวพันกับศาสตร์มืดและศาสตร์นอกรีตก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเราไม่เคยทำคือการฆ่าคนเพื่อควบคุมวิญญาณของพวกเขา และไม่ว่าใครก็ตามที่ละเมิดกฎสำคัญที่สุดในข้อนี้ พวกเขาจะต้องชดใช้และได้รับการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ ซึ่งผมไม่คิดว่าคุณจะรู้ความจริงในเรื่องนี้”
เบอร์แทรม เคลลีย์สืบเท้าไปข้างหน้า และแอดดิงตันที่มีอาวุธอยู่ในมือเป็นฝ่ายที่ล่าถอย
“คุณไม่เคยรู้เรื่องนี้สินะ โจนาห์”
เสียงที่เปล่งออกมาจากปากของชายหนุ่มในเวลานี้ฟังราวกับเสียงที่มาจากโลกอื่น แม้เรียบ นิ่ง แต่คนฟังสัมผัสได้ถึงการคุกคามอย่างเลือดเย็น
รัสเซลล์ไม่มีทางรู้เลยว่าสีหน้าของเบอร์แทรมในเวลานั้นเป็นอย่างไร หรือแอดดิงตันมองเห็นสิ่งใดจากตัวตนของฝ่ายที่ก้าวเข้าหาเขาอย่างช้า ๆ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง เสียงร้องตะโกนห้ามไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้นั้นแสดงความหวาดกลัวถึงขีดสุด ราวกับว่าคนที่เดินตรงไปหาตนเองเป็นสัตว์ร้ายหรือบางสิ่งบางอย่างที่มีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาจะรับมือได้
“พวกแก! ไอ้พวกวิญญาณทั้งหลาย อย่าให้มันเข้ามาใกล้ฉัน!!!”
คลื่นพลังบางอย่างก่อตัวขึ้น เป็นบางอย่างที่นายตำรวจหนุ่มไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก แต่เขารู้สึกได้ว่ามันมีอยู่ พลังงานนั้นก่อตัวขึ้นรอบร่างของโจนาห์ แอดดิงตันที่ในเวลานี้เริ่มเผยอริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มได้แล้ว และจังหวะการก้าวเท้าของเบอร์แทรมก็หยุดลง
เพียงอึดใจ พลังงานที่เต็มไปด้วยความรุนแรงเหล่านั้นก็กรูเข้าหาชายหนุ่มที่ยืนปักหลังนิ่งอยู่ตรงข้ามกับผู้บุกรุกอย่างไม่สะทกสะท้าน และเพียงชั่วเสียงดีดนิ้วมือครั้งเดียวเท่านั้น พลังงานที่ปั่นป่วนกลุ่มดังกล่าวกลับหยุดชะงัก
รัสเซลล์ได้ยินเสียงของเบอร์แทรมกล่าวอะไรบางอย่างด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจ เสียงของเบอร์แทรมแผ่วต่ำราวกับกำลังสื่อสารกับสิ่งที่อยู่เหนือความรับรู้และเข้าใจของมนุษย์ธรรมดา
“พวกคุณหมดพันธะกับเขาและเป็นอิสระแล้ว”
สิ้นคำ บรรยากาศแห่งความอึดอัด กดดัน และเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานที่ส่งอิทธิพลผ่านมายังเขาด้วยก็สลายหายไป แต่ทว่ากลุ่มของพลังวิญญาณที่ถูกเก็บเกี่ยวและรวบรวมไว้ใช้งานโดยปราศจากความเต็มใจเหล่านั้นยังไม่หายไปไหน
“ถ้าเพียงแต่คุณจะศึกษาให้ถ่องแท้กว่านี้สักหน่อย คุณจะรู้ว่าเคลลีย์อย่างเราสามารถปลดปล่อยวิญญาณที่ถูกพันธนากรเอาไว้ได้” เบอร์แทรมเอ่ย “สำหรับผมแล้ว นี่ต่างหากคือความสามารถที่สำคัญที่สุดที่ไม่มีใครอื่นที่สามารถเทียบได้ ไม่ใช่ความสามารถในการควบคุมและกักขังวิญญาณของคนอื่นอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน”
เขาหยุดพูดชั่วอึดใจ ก่อนที่จะระบายลมหายใจยาวออกมา และยื่นแขนสองข้างออกไปข้างหน้า สายควันสีขาวเหมือนเกลียวหมอกก่อตัวขึ้นรอบแขนของเขาและเคลื่อนที่ไปยังปลายนิ้วมือทั้งสองข้าง
“มิเชลล์ ผมมอบเขาให้คุณตามสัญญาของเรา และพวกคุณที่ได้รับการปลดปล่อย ตอนนี้เขาเป็นของพวกคุณแล้ว”
ดวงตาของแอดดิงตันเบิกกว้าง มีดในมือของเขาหล่นลงกับพื้น สองเท้าค่อย ๆ ก้าวถอยหลังไป แต่แล้วก็เสียหลักเมื่อสะดุดเข้ากับร่างไร้วิญญาณของตำรวจที่ตนเองฆ่าจนล้มหงายหลักลง
เสียงกรีดร้องของฆาตกรศาสตร์มืดดังก้องไปทั่วพร้อมกับเสียงของรถตำรวจและรถพยาบาลที่ใกล้เข้ามา
อย่างไรก็ตาม รัสเซลล์ไม่ทันเห็นได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับโจนาห์ แอดดิงตันบ้าง เพราะในเวลานั้น ความสนใจหนึ่งเดียวของเขาอยู่ที่ชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง และถลาเข้าไปรับร่างของเบอร์แทรม เคลลีย์ที่ทรุดลงเอาไว้ในอ้อมแขน
To be continued >>> Day 26 : Love/Heartbreak
แอบสงสารเขาอยู่เล็กๆ นะคะ
แต่ว่า! คุณเบอร์แทรมแสนจะเท่! สุดคูล!
ถึงบรรยายกาศจะแอบเย็นๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่าเท่มากๆ อยู่ดี
และคงเป็นเพราะว่าใช้พลังมากเกินไป ในตอนท้ายถึงได้สลบไปแบบนั้น ฝากคุณตำรวจดูแลหน่อยนะคะ /อย่าลืมผ้าห่มวิเศษ ;)
ส่วนเบอร์แทรมไม่เป็นไรอยู่แล้ว คนดูแลพร้อมเสมอ :)