โจนาห์ แอดดิงตันเป็นชายหนุ่มหน้าตาท่าทางธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น เหมือนตัวละครประเภทที่จะเป็นเป้าโดนกลั่นแกล้งจากเพื่อนเกเรร่วมชั้นเรียนและเป็นคนประเภทที่ครูจะมองข้ามไม่สนใจ เพราะไม่มีความสามารถมาพอที่จะเป็นที่จดจำ ซึ่งชีวิตจริงของเขาก็เป็นเช่นนั้น และแย่ยิ่งกว่านั้นตรงที่พ่อแม่ของเขาเป็นพวกมีหน้ามีตาในสังคม เขาเป็นผลผลิตที่ไม่เหมือนใครในบ้านเลยแม้แต่คนเดียว
ถึงจะไม่มีดีอะไร ถึงอย่างนั้นพ่อแม่ผู้ผิดหวังของเขาก็ยังปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยลูกชายคนเดียวที่มีอยู่นี้ก็เป็นเด็กดี เชื่อฟังคำสั่ง ให้ทำอะไรก็ทำจนสำเร็จ แม้ผลงานที่ออกมาจะไม่สามารถเทียบได้กับคนอื่นก็ตาม สิ่งเดียวที่พ่อแม่พูดถึงเขาได้อย่างภาคภูมิใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ เขาเป็นนักอ่านที่ขยันขันแข็ง มีงานเขียนบทความสำหรับลงในเว็บไซต์เล็กน้อย และทำมาหากินเป็นผู้จัดการร้านแฟรนไชส์ขนมอบและกาแฟที่พอจะเลี้ยงตัวเองได้
ฟังดูก็เหมือนจะไม่มีอะไร ถ้าพวกพ่อแม่และญาติพี่น้องทั้งหลายของเขาไม่เจ้ากี้เจ้าการและคอยมาวุ่นวายกับชีวิตของเขามากจนเกินไป พวกเขาแวะมาเยี่ยมเยียนร้านเสมอและซื้อขนมกับเครื่องดื่มไปคราวละหลายรายการ ดูเหมือนจะดี แต่การกระทำอย่างนั้นทำให้เขารู้สึกว่า คนเหล่านั้นทำราวกับว่าไม่เคยไว้วางใจในความสามารถของเขาเลยแม้แต่น้อย
ในสายตาของทุกคน โจนาห์ แอดดิงตันเป็นไอ้หน้าจืดที่จำเป็นต้องพึ่งพาความเมตตากรุณาจากพวกเขาเสมอมาตั้งแต่เล็กจนโต การมีเขาผู้เชื่อฟังอยู่ด้วย ทำให้คนพวกนั้นรู้สึกว่าตัวเองสูงขึ้นและเป็นผู้ควบคุมชะตากรรมของคนอื่นได้
เขาเป็นไอ้ขี้แพ้ของไอ้ขี้แพ้อื่นรอบตัวที่อยากมีความภาคภูมิใจในตัวเองด้วยการกดและควบคุมคนอย่างเขา
พวกนั้นไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว เขายิ่งใหญ่กว่าที่ทุกคนคิด และมีอำนาจที่ไม่มีใครคาดว่าเขาจะมี
ตั้งแต่เล็กมาแล้ว พ่อแม่ที่เลี้ยงเขามาด้วยเงินและของที่ซื้อให้ไม่เคยเอะใจเลยสักนิดว่า ลูกชายของตัวเองมีความสนใจแท้จริงในเรื่องอะไร เขานั่งดูวิดีโอแฟนเทเซียของดิสนีย์และถูกดึงดูดให้สนใจกับศาสตร์ของเวทมนตร์ในตอนศิษย์ฝึกหัดของพ่อมด แต่เขาไม่ได้หยุดอยู่ที่เรื่องของการทำให้สิ่งของเคลื่อนไหวได้อย่างในการ์ตูนไม่มีพิษภัยที่ได้ดู เพราะเขาเริ่มทุ่มเทให้กับศาสตร์แห่งเวทมนตร์อย่างจริงจัง ในทุกแขนงเท่าที่หาอ่านได้
ในขณะที่คนส่วนใหญ่มองว่าเวทมนตร์คาถาและการอัญเชิญวิญญาณ รวมถึงการนำอำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติมาใช้งานเป็นเรื่องเหลวไหล แต่เขายืนยันได้ว่า มันเป็นเรื่องจริง
การใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังมาตั้งแต่เด็ก โดยพ่อแม่ที่ทำงานด้านกฎหมายและหลักทรัพย์ที่ไม่เคยสนใจว่า การปล่อยเด็กให้อยู่คนเดียวโดยไม่มีคนคอยดูแลเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เขาอยากจะขอบคุณผู้ให้กำเนิด เพราะเขาสามารถทดลองทำในสิ่งที่อยากทำได้ตามใจชอบ เพียงแต่ต้องระวังและเก็บกวาดให้ดีเท่านั้น
การฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ตามจับมาได้กลายเป็นเรื่องปกติ และจัดว่าเป็นเรื่องสนุกดีทีเดียว เพราะไม่ว่าจะดิ้นรนแค่ไหน สัตว์พวกนั้นก็ต้องตายด้วยมือของเขาอยู่ดี
นอกจากความพยายามในการใช้เวทมนตร์ เขาเริ่มฝึกฝนวิธีการสาปแช่ง ยอมเจ็บตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ได้เส้นผมหรือเศษเสื้อผ้าของคนที่กลั่นแกล้งเขามา แล้วใช้มันเป็นส่วนหนึ่งของการร่ายคำสาป เขารู้ว่ามันได้ผล เพราะคนที่เคยแข็งแรงมาตลอดอย่างเด็กเหลือขอที่แกล้งเขาล้มป่วยอย่างไม่มีสาเหตุอยู่เป็นสัปดาห์และกลับมาเป็นปกติเมื่อเขาทดลองยุติการสาปแช่ง เขาทดลองทำเช่นนี้อีกหลายครั้ง จนกระทั่งแน่ใจว่า เขาสามารถสาปแช่งคนได้ และการได้เห็นความเจ็บปวดทรมานอย่างไม่รู้สาเหตุของคนพวกนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขและพึงพอใจอย่างยิ่ง
ความศักดิ์สิทธิ์ของวิทยาศาสตร์ที่อยู่เหนือศาสตร์ที่ถูกมองว่าเป็นความงมงายอย่างไสยศาสตร์และรหัสยวิทยาทั้งหลายทำให้เขาเป็นคนร้ายที่ถูกมองข้ามไปเสมอ ไม่มีใครเลยที่คาดคิดว่า ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับคนเหล่านั้นเป็นฝีมือของเขา และเขาเป็นผู้ควบคุมชีวิตของคนเหล่านั้นแต่เพียงผู้เดียว
ถ้าโจนาห์ในพระคัมภีร์ถูกกลืนเข้าไปอยู่ในท้องวาฬแต่ยังมั่นคงกับผู้ส่งบททดสอบสาหัสมาให้ตนเอง เขาก็เป็นโจนาห์ที่ปราศจากความอดทน และเป็นโจนาห์ที่ตั้งคำถามกับวิธีการแสดงความรักด้วยการทรมานของพระผู้เป็นเจ้า แล้วหันหลังให้พระองค์เพื่อทำในสิ่งที่ทำให้เขาตะกายออกจากท้องวาฬได้อย่างรวดเร็วที่สุด
เมื่อพระเจ้าให้ชีวิตที่เขาต้องการไม่ได้ เขาก็พร้อมจะหันไปหาสิ่งตรงข้ามที่ทำให้เขามีตัวตนและอำนาจ
ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ตั้งแต่เรียนมัธยม เข้ามหาวิทยาลัยเอกชนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโดดเด่นเพื่อให้ได้ชื่อว่าจบมหาวิทยาลัยสมใจพ่อแม่ที่จ่ายเงินให้เขาเรียน โจนาห์แสวงหาความเป็นเลิศในด้านเวทมนตร์คาถา เป็นบล็อกเกอร์ที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพ่อมดแม่มด ความเชื่อเรื่องโชคลางทั้งหลายจนมีคนจ้างให้เขียนบทความแบบพาร์ทไทม์ เรียบเรียงเรื่องผีประจำถิ่นสำหรับขายร้านค้าพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเล็ก ๆ ได้พอสมควร เรียกว่าเป็นเรื่องที่พ่อแม่พอภูมิใจได้ว่าลูกเป็นนักเขียนตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัย แม้ว่างานเขียนของเขาจะเป็นเรื่องเล่าที่คนซื้ออ่านฆ่าเวลาโดยไม่สามารถจดจำชื่อคนเขียนได้เลยก็ตาม
ในการค้นคว้าและฝึกฝนเวทมนตร์ตามตำราโบราณต่าง ๆ สิ่งที่จุดประกายความสนใจอย่างใหม่ให้กับเขา คือ ประวัติของเอ็ดเวิร์ด เคลลีย์และพิธีกรรมเรียกวิญญาณให้กลับคืนมาสู่โลกมนุษย์ ศาสตร์นี้เป็นศาสตร์เก่าแก่แต่คนที่ทำให้เป็นที่รู้จักอีกครั้งคือคนในตระกูลนี้ที่เป็นผู้ช่วยของจอห์น ดี นายแพทย์และผู้ศึกษาศาสตร์แห่งเวทมนตร์ที่มีชื่อในประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่งให้สื่อสารกับคนที่ตายไปแล้วได้ คนส่วนใหญ่รู้เพียงเท่านั้น แต่เขาศึกษาจนแน่ใจว่า ศาสตร์แห่งการเรียกวิญญาณของตระกูลเคลลีย์ที่แตกสาขาออกมาหลังจากเอ็ดเวิร์ด เคลลีย์ถูกจับกุมและถูกคุมขังจนเสียชีวิตนั้นเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าศาสตร์ดั้งเดิมมากนัก เพราะเป็นศาสตร์ของการเรียกใช้และควบคุมวิญญาณของคนตายให้ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ
ดูเหมือนว่า ตำราของศาสตร์เรียกและควบคุมวิญญาณจะตกทอดอยู่เฉพาะกับคนในตระกูลเท่านั้นและการเข้าถึงศาสตร์ดังกล่าวโดยตรงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาไม่ยอมแพ้เพียงเท่านั้น เพราะในเมื่อใช้ความรู้จากคนในไม่ได้ เขาก็จะอาศัยพื้นฐานจากคำบอกเล่าเกี่ยวกับศาสตร์ดังกล่าวมาทดลองด้วยตัวเอง และถ้าหากมันใช้การได้ เขาก็จะทำให้ดียิ่งกว่า
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการฆ่าคนครั้งแรกของโจนาห์ แอดดิงตัน
เขาได้งานเป็นผู้จัดการร้านแฟรนไชส์ขนมอบในย่านใจกลางเมือง เขารู้จักคนไร้บ้านมากมายที่มาอาศัยกินนอนอยู่แถวร้านของเขาและทำความรู้จักกับคนเหล่านั้นด้วยขนมเหลือทิ้งของแต่ละวัน และด้วยขนมอบเหลือทิ้งเหล่านั้น เขาล่อลวงให้คนไร้บ้านบางคนมาที่บ้านของเขาได้สำเร็จ
เหยื่อคนแรกของเขาและเป็นความสำเร็จแรกของเขาเป็นหญิงสาวไร้บ้านร่างเล็ก ผมสีน้ำตาล เขาทำให้เธอที่คอหักจนหมุนรอบได้ลืมตาตื่นขึ้น และลุกขึ้นนั่งทั้งที่คอยังบิดหมุนไปด้านหลังเหมือนนกฮูก เขาขับรถพาเธอไปทิ้งไว้ในอาคารร้างที่ไม่มีกล้องวงจรปิด และกว่าที่จะมีข่าวคนพบศพเธอเป็นกรอบเล็ก ๆ ในหนังสือพิมพ์รายวันก็อีกหลายสัปดาห์ถัดมา
ความสำเร็จแรกทำให้เขาพึงพอใจที่จะเลือกเหยื่อที่มีลักษณะอย่างเดียวกันกับเหยื่อคนแรกของตัวเอง เพราะผู้หญิงไร้บ้านและไร้ชื่อคนนั้นเป็นเหมือนถ้วยรางวัลแห่งความสำเร็จแรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา
การทดลองของเขาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
เขาพบว่าในบางครั้ง วิญญาณที่หลุดลอยออกจากร่างยังมีความทรงจำและมีความสามารถในการบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเองให้ผู้อื่นฟังได้ สิ่งที่เขาทำจึงเป็นการสะกดวิญญาณและปิดปากของพวกเธอเสีย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงตัดลิ้นของเหยื่อทุกรายที่ผ่านมือเขาก่อนที่จะตาย และก่อนที่จะลงมือทำอย่างอื่นกับเหยื่อในมือของตัวเอง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาและเหยื่อนับสิบรายที่ตายไป โจนาห์ แอดดิงตันไม่เคยทำพลาด จนกระทั่งมาเจอกับตำรวจสืบสวนจากนิวสก็อตแลนด์ยาร์ดที่ชื่อรัสเซลล์ โธมัสและเจนนิเฟอร์ วิลสัน
ศพของผู้หญิงคนนั้นถูกนำไปทิ้งไว้ในสถานที่ห่างไกลผู้คนตามเคย เมื่อมีคนพบศพ เขาคิดว่าก็คงจะเหมือนทุกครั้งที่ตำรวจจับต้นชนปลายไม่เคยถูก ไม่สามารถหาเบาะแสที่จะสาวไปถึงเขาได้ แต่เขาคิดผิด
รัสเซลล์ โธมัสฉลาดกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
ตามปกติแล้ว เขาจะให้เหยื่ออดอาหารอย่างน้อยสามถึงห้าวันเพื่อให้หลักฐานที่อยู่ในกระเพาะย่อยไปหมดจนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเหยื่อกินอะไรมา แต่ตำรวจคนนั้นกลับพบหลักฐานเป็นเศษขนมปังเล็กๆ ที่อยู่ในเส้นผมยุ่งเหยิงของมิเชลล์ เหยื่อรายสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกจับ
ไม่รู้ว่าในสมองของตำรวจคนนั้นคิดอะไรอยู่ หรือประมวลผลจากเศษขนมปังมาจนถึงตัวเขาได้อย่างไร แต่เขาก็ยอมรับว่าตัวเองทำพลาดไปที่อดทนต่อความยั่วยวนของการฆ่าตำรวจสาวที่มีลักษณะตรงตามที่เขาชอบและการอยากทำตามความคิดที่ว่า อยากลองควบคุมวิญญาณของเธอดูสักครั้ง แต่ทุกอย่างก็พังพินาศเพราะคู่หูของเธอที่ดมกลิ่นตามมาพบเข้า และอัดเขาจนแทบหมดสภาพทั้งที่ตัวเองก็บาดเจ็บสาหัสจนเกือบตายแล้วเช่นกัน
ถึงพ่อกับแม่จะหาทนายมาต่อสู้คดี และยืนยันว่าลูกฉันเป็นคนดี แต่ในที่สุด เขาก็ต้องยอมจำนนต่อหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพราะดีเอ็นเอของมิเชลล์และเหยื่อรายอื่นที่ถูกนำมาตรวจเปรียบเทียบทีหลังถูกพบอยู่ในบ้านของเขา ทางออกโง่เง่าที่พ่อกับแม่ของเขาทำเพื่อรักษาหน้าคือการฟ้องตำรวจที่ทำร้ายเขา แต่ถึงจะทำอย่างนั้นก็ลบล้างคำว่าฆาตกรโรคจิตที่ติดตัวเขาอยู่ไม่ได้อยู่ดี และยิ่งไปกว่านั้น พ่อกับแม่ไม่รู้สักนิดว่าการทำอย่างนั้นทำให้เขาขายหน้าอย่างบอกไม่ถูก
แม้จะอยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวตามกฎหมาย แต่โจนาห์ แอดดิงตันก็เชื่อมั่นว่า เขาจะต้องออกมาจนได้ และเขาคิดถูก
เมื่อหลบหนีออกมาได้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องหวาดกลัวอีกต่อไป คนอื่นต่างหากที่ต้องหวาดกลัวเขา
เขาส่งสัตว์ที่ถูกสะกดให้ไปตามหาตำรวจที่เป็นต้นเหตุที่จะให้เขาต้องเข้าคุก และไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะพบตัวคนทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาต้องเลือกให้ได้ว่า เขาควรจะลงมือกับใครก่อน ซึ่งคนที่ได้รับเกียรติให้ตายก่อนเป็นคนแรก คือ รัสเซลล์ โธมัสที่เลือกออกมาอยู่นอกเมืองใหญ่และอยู่ในที่พักอาศัยที่ห่างไกลจากผู้คน
บ้านที่ตำรวจสืบสวนคนนี้พักอาศัยเป็นบ้านที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะวิญญาณของคนที่เขาฆ่าระหว่างทางและถูกเขาควบคุมไม่สามารถเข้าไปในเขตของบ้านหลังนี้ได้ราวกับว่ามีคนกางม่านมนตร์ป้องกันสิ่งชั่วร้ายเอาไว้แล้ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะในเมื่อเขามาถึงที่นี่ได้ เขาที่เป็นมนุษย์ย่อมสามารถเล็ดรอดเข้ามาในเขตบ้านได้ และแม้จะมีวิญญาณที่อาศัยอยู่ในบ้านพยายามขัดขวาง แต่วิญญาณเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
โจนาห์ แอดดิงตันมองรัสเซลล์ โธมัสที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาและศพของตำรวจที่เขาเพิ่งปลิดชีพ
ในที่สุด เราก็ได้เจอกันอีกครั้ง และคราวนี้ คนที่เคยทำให้เขาพบกับความอัปยศต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม
To be continued >>> Day 24 : Apples
ชอบที่เอาไปเชื่อมโยงกับพระคัมภีร์ ชอบการผูกปมวัยเด็กของแอดดิงตัน
ชอบที่เขาเป็นคนมีความพยายามทุ่มเทในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่น(ถึงจะเป็นทางที่เลวร้ายก็ตาม)
เท่ดีนะคะที่ชอบเวทมนตร์เพราะดูแฟนทาเซียของดีสนี่ย์
อ่านตอนนี้แล้วเขาดูเปราะบางแต่ก็พยายามที่จะเข้มแข็งในแบบของตัวเองดีค่ะ
ขอบคุณนะคะ ;-;
ถึงสิ่งที่ทำจะไม่น่าให้อภัย แต่ก็ยังควรค่าแก่การทำความเข้าใจนะคะ แอดดิงตันก็เป็นอาชญากรอีกรูปแบบหนึ่งไปเลย มีความแฟนตาซีกว่า แต่โดนพื้นฐานก็ยังมีที่มาที่ไป เพราะอยากให้รู้สึกว่า ปีศาจย่อมมีที่มาจริงๆ ค่ะ
ขอบคุณมากๆ ค่ะ อ่านแล้วดีใจมากๆ เลยยย