เบอร์แทรมนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาเบียดกับรัสเซลล์ที่นั่งเอนทอดแขนข้างหนึ่งยาวไปตามพนักโซฟาอีกข้างหนึ่งโอบบ่าของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ตอนนี้ พวกเขาเปลี่ยนมาดูภาพยนตร์เก่ายุคเก้าศูนย์เกี่ยวกับนักล่าพายุอย่างทวิสเตอร์ แต่ถ้าจะบรรยายให้ถูกต้องกว่านั้นคือภาพยนตร์ที่ฉายอยู่กำลังดูพวกเขามากกว่า
ทุกอย่างเงียบสงบ... สงบเกินไป
ตำรวจที่มาเฝ้าอยู่ข้างนอกและเดินตรวจตราเป็นระยะไม่พบอะไรที่ผิดปกติเลยในหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันก็ยังไม่มีข่าวคราวเพิ่มเติมเกี่ยวกับโจนาห์ แอดดิงตัน ยังไม่มีใครพบเบาะแสเกี่ยวกับชายผู้นั้นตลอดเส้นทางที่คาดว่าเขาจะใช้มุ่งตรงมายังเมืองซึ่งรัสเซลล์ใช้เป็นที่พักฟื้น
แต่สัญญาณจากมิเชลล์ วิญญาณเหยื่อฆาตกรรมของแอดดิงตันก็รุนแรงเกินกว่าที่จะวางใจได้ เธอแสดงออกราวกับว่า ฆาตกรโหดคนนั้นใกล้พวกเขาเข้ามาทุกทีในระยะที่จะคุกคามพวกเขาได้ทุกเมื่อหากไม่ระวังตัวมากพอ
ถ้าเป็นอาชญากรตามปกติ พวกเขาอาจจะยังพอวางใจได้ แต่ในเวลานี้ พวกเขารู้แล้วว่า แอดดิงตันสามารถใช้ศาสตร์มืดได้จริง ไม่ใช่เพียงความบิดเบี้ยวของจิตใจหรือจินตนาการพาไป หนทางที่ชายคนนั้นจะลงมือทำร้ายพวกเขาได้จึงมีมากขึ้นกว่าปกติหลายเท่า
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่” รัสเซลล์เอ่ยถามขึ้น
เบอร์แทรมหันมามองเขา “กำลังคิดว่า เราจะหาตัวเขาเจอก่อนได้ยังไง ซึ่งผมคิดว่ามันดีกว่าที่เราจะมาตั้งรับแบบนี้”
ความคิดนั้นออกจะบ้าระห่ำเอาเรื่อง แต่เขายอมรับว่า สิ่งที่เบอร์แทรมพูดก็มีเหตุผล เพราะการเฝ้าระวังฝ่ายเดียว ไม่เป็นฝ่ายรุกก่อนทำให้พวกเขาเป็นเป้านิ่ง และถูกกดดันอยู่ฝ่ายเดียว
“แต่ทางตำรวจก็พยายามตามหาเขาอยู่”
“แต่ก็ไม่สามารถเจาะจงหาตัวเขาในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งได้เป็นการเฉพาะ... แอดดิงตันไม่ได้เหมือนพายุฝนที่เราต้องคอยปิดบ้านเพื่อให้มันบุกเข้ามาก่อความเสียหายแล้วผ่านไป แต่เขาเป็นคน ถ้าเราหาทางสกัดเขาได้ ทำให้มีทางที่จะจับกุมเขาได้ ก็น่าจะดีกว่า”
คำกล่าวนั้นของเจ้าของร้านหนังสือเก่าเหมือนมีแผนการอะไรเอาไว้ในใจอยู่แล้ว แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ความเจ็บปวดจากฝีมือของวิญญาณที่มีความอาฆาตรุนแรงที่รัสเซลล์ได้เห็นเบอร์แทรมต้องรับไว้กับตามตัวเอง ทำให้เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องแบกรับสิ่งเลวร้ายขนาดนั้นอีก
รัสเซลล์ไม่รู้จักโลกอีกฟากฝั่งที่เบอร์แทรมใช้ชีวิตอยู่ เขารู้จักพ่อมดแม่มดจากวรรณกรรมเยาวชนอย่างพ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซของแอล แฟรงก์ โบม หรืออย่างใหม่ที่สุดคือ แฮรี่ พ็อตเตอร์ของเจ เค โรว์ลิ่ง สำหรับเขา ความน่ากลัวของผู้เสพความตาย คำสาปต้องห้าม และคำสาปแช่งเป็นเพียงสเปเชียลเอฟเฟคท์บนแผ่นฟิล์มเท่านั้น อย่างน้อยก็จนกระทั่งเขาได้เห็นความน่ากลัวของสิ่งเหนือธรรมชาติและศาสตร์อันตรายเหล่านี้ด้วยตาของตัวเอง
“คุณคิดจะทำอะไร เบอร์แทรม”
“ไม่ต้องห่วงหรอก รัสเซลล์ ผมไม่ทำอะไรที่เสี่ยงมากไปกว่าที่เป็นอยู่หรอก” คำพูดนั้นเหมือนรู้ทันความคิดของเขา
เบอร์แทรมคลายแขนจากท่ากอดเข่า เปลี่ยนท่าจากนั่งกอดเข่า หย่อนขาลงมาเป็นท่านั่งพิงพนักธรรมดา รูดแขนเสื้อสเวตเตอร์ที่สวมอยู่ขึ้น รอยแดงจากฝีมือของวิญญาณที่เขาขอให้ช่วยติดตามแอดดิงตันและส่งข่าวให้รับรู้หายไปแล้ว
“เราเอากล้องไปติดที่ตัววิญญาณให้ถ่ายทอดภาพให้เราเห็นแบบเดียวกับที่เอากล้องโกโปรไปติดแมวน้ำไม่ได้ด้วยสิ”
คำเปรียบเทียบของเบอร์แทรมน่าขำก็จริง แต่เจ้าตัวดูครุ่นคิดและพูดสิ่งที่กำลังคิดออกมาโดยที่ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก และเรื่องที่พูดอยู่ก็จริงจังเกินกว่าจะหัวเราะออกมา
ถ้าหากมองเห็นได้ว่าแอดดิงตันกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน ผ่านสายตาของมิเชลล์ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นมาก ทั้งการเตรียมการรับมือหรือแม้กระทั่งการติดตามไปจับกุม
“แล้วจะมีทางเป็นไปได้ไหมที่เราจะทำแบบนั้น”
“อาจจะ แต่ไม่ใช่กับวิญญาณของมิเชลล์...” เจ้าของร้านหนังสือเก่าบอก “ผมคิดว่าจะลองหาวิธีการใช้สัตว์อย่างที่แอดดิงตันเคยใช้นกเรเวนกับงูแอดเดอร์มาทำร้ายเจนนิเฟอร์กับคุณ น่าเสียดายที่ผมไม่มีความสามารถในการหยั่งรู้ ไม่อย่างงั้นเรื่องคงง่ายขึ้นกว่านี้อีกเยอะ”
ประโยคท้ายนั้นบ่งบอกถึงความผิดหวังในความสามารถของตัวเองที่มีข้อจำกัดจนไม่สามารถทำสิ่งที่ควรจะทำได้
“ไม่เป็นไรหรอก เบอร์แทรม ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจอย่างพวกผมเถอะ เท่านี้คุณก็ช่วยได้มากแล้ว” รัสเซลล์บอก “แอดดิงตันเป็นอาชญากรหลบหนี ต่อให้เขาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์คาถาจริง ๆ แต่ก็เป็นอาชญากรด้วย ให้ตำรวจเราได้ใช้ความพยายามกันเองบ้าง”
เบอร์แทรมรู้ความหมายของรัสเซลล์ดี อีกฝ่ายอีกฝ่ายไม่ได้ตัดรอนเรื่องที่เขาอยากช่วยเหลือเพราะเห็นว่าเขาก้าวก่าย แต่ทว่าไม่ต้องการให้เขาลำบากและไม่อยากให้มาร่วมรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องตั้งแต่แรก เขารู้ว่านั่นคือความหวังดี แต่อีกใจหนึ่งของเขา เขาก็ยังอยากพยายามลองหาทางช่วยเหลืออีกฝ่ายให้ถึงที่สุด เท่าที่ความสามารถของเขาจะทำได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่เขาจะทันกล่าวตอบอีกฝ่ายไป ไฟในห้องนั่งเล่นก็กระตุกแล้วดับวูบ ก่อนที่จะสว่างขึ้นอีกครั้ง
เจ้าของร้านหนังสือเก่ารู้สึกได้ว่าคนข้างตัวสะดุ้งเฮือกและทำท่าเหมือนจะร้องออกมาแต่ทว่าไม่มีเสียง
“คุณได้ยินเสียงกรีดร้องนั่นไหม เบอร์แทรม” รัสเซลล์ระล่ำระลักเหมือนตื่นตกใจ แต่ก็ยังสามารถเรียกสติและครองสติของตนเองเอาไว้ได้ และพยายามมองหาต้นทางของเสียงที่ในเวลานี้เหมือนสะท้อนก้องไปทั่วบ้าน “เป็นเสียงกรีดร้องเหมือนคนที่กำลังกลัวสุดขีด”
ไม่ใช่เสียงของมิเชลล์ เพราะเธอไม่สามารถกรีดร้องหรือทำเสียงใด ๆ ออกมาจากปากของตนเองได้
เมื่อฟังให้ดีแล้ว เบอร์แทรมจำได้ว่า นั่นคือเสียงของเอลิซาเบธ วิญญาณสาวที่สิงสถิตอยู่ในหนังสือเก่าในเวิร์กช็อป เสียงของเธอแสดงถึงความตื่นตระหนก แต่ในเวลาเดียวกัน เขาแน่ใจว่าเธอตั้งใจกรีดร้องเพื่อเตือนให้เขาได้รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังจะมาถึงอย่างที่มิเชลล์เตือนไว้ก่อนหน้านี้
หลังจากเสียงกรีดร้องของเอลิซาเบธสิ้นสุดลงเพียงเสี้ยววินาที หนังสือที่อยู่บนชั้นวางหน้าโทรทัศน์ถูกกวาดลงมาจากชั้นราวกับถูกพายุพัดทั้งที่ภายในห้องนั้นไม่มีลมและกระจกหน้าต่างสองชั้นสำหรับกันลมและอากาศหนาวปิดอยู่ทุกบานเหมือนวิญญาณที่อาศัยอยู่ภายในบ้านกำลังแตกตื่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้
แน่นอนว่า ไม่มีวิญญาณร้ายตนไหนที่กล้าบุกรุกเข้ามาในเขตบ้านที่มีการวางเขตอาคมและเครื่องหมายเอาไว้อย่างหนาแน่นและรัดกุม สิ่งที่จะสามารถเข้ามาได้คือวิญญาณที่ได้รับอนุญาตและอีกสิ่งหนึ่งก็คือมนุษย์
มนุษย์ที่ทำให้วิญญาณที่เคยอยู่อย่างสงบสุขภายในบ้านของเบอร์แทรมปั่นป่วนได้ไม่น่าจะเป็นใครอื่น นอกจากโจนาห์ แอดดิงตัน
เค้าอยากปกป้องกันและกันเป็นความรู้สึกที่ดีจังค่ะ :))