เบอร์แทรมตื่นขึ้นมาตอนเกือบสิบเอ็ดโมง และรีบลุกจากที่นอนจนเกือบจะกลิ้งตกเตียงเมื่อเห็นเข็มนาฬิกาบอกเวลาที่โต๊ะข้างหัวนอน เห็นได้ชัดว่ารัสเซลล์ปล่อยให้เขานอนอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะปลุกให้ตื่นไปทำงาน
“ผมโทรบอกที่ร้านของคุณให้แล้วว่าคุณป่วย คลาร่าบอกว่าถ้าอาการคุณยังไม่ดีขึ้น ก็ให้พักก่อน พวกเธอจัดการทุกอย่างกันเองได้”
เจ้าของร้านหนังสือยืนมองคนที่ตื่นก่อนที่บอกสิ่งที่จัดการแทนเขาไปแล้วอย่างใจเย็น และเดินตรงเข้ามาหาเขา แล้วยื่นออกมาใช้หลังมืออังข้างแก้มเหมือนตรวจสอบดูว่าเขาเป็นไข้ไม่สบายอยู่หรือไม่ แม้กิริยานั้นจะเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่มีอะไรบางอย่างในสายตาที่มองมาที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนประจำที่ถูกพรีเฟคท์จับได้ว่า แอบหนีจากหอพักไปซนที่อื่นในเวลากลางคืน
เขาสบตากับคนตรงหน้า “ท่าทางของคุณเหมือนมีอะไรที่อยากถามผมสักอย่าง”
“ผมมีอะไรที่จะต้องคุยกับคุณหลายเรื่องเลยละ” รัสเซลล์สบตาตอบพร้อมยิ้มน้อย ๆ ในแบบที่คนมองแอบเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก “แต่อย่างที่คุณบอกนั่นแหละ เบอร์แทรม คนเราจำเป็นต้องกินเพื่อให้ท้องอิ่มก่อนที่จะทำเรื่องสำคัญ คุณไปล้างหน้า แต่งตัวเถอะ เดี๋ยวเราออกไปหาอะไรกินกันข้างนอกกัน ผมทำอาหารไม่อร่อยเหมือนที่คุณทำ”
“โอเค...” เขาตอบรับ แต่เมื่อหันไปทางที่จะกลับไปยังห้องนอนและห้องน้ำ คนที่ยืนมองเขาอยู่ก็ใช้สองแขนรวบตัวของเขาเข้าไปกอดจากทางด้านหลัง รู้สึกว่าอีกฝ่ายก้มลงแนบริมฝีปากลงที่กลางกระหม่อม
“รัสเซลล์?”
เจ้าของชื่อที่เขาเรียกไม่ได้ตอบคำในทันทีและยังคงกอดเขาอยู่อย่างนั้น
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า รัสเซลล์”
“เปล่า ผมแค่โล่งใจที่คุณไม่เป็นอะไร” เสียงของรัสเซลล์แผ่วเบา “เมื่อคืนคุณทำให้ผมตกใจ เหมือนตอนที่ผมเจอคุณนอนหมดสติอยู่ในบ้านของตัวเองวันนั้น”
ประโยคนั้นทำให้เบอร์แทรมเข้าใจได้ทันทีว่า หนึ่งในเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการถามและพูดคุยกับเขาคือเรื่องใด และเขายอมรับว่า การตัดสินใจที่จะไม่อธิบายเรื่องบางอย่างให้รัสเซลล์รู้เป็นการตัดสินใจที่ผิด โดยเฉพาะเมื่อเขายังจดจำได้ดีว่าอีกฝ่ายเคยมีบาดแผลจากคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ ของคนสำคัญที่ใช้ปกปิดความจริงที่เจ้าตัวควรจะได้รู้มาก่อน
“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว” เขากุมมือของคนที่กอดเขาเอาไว้และ เงยหน้าขึ้นจนศีรษะเกยแนบกับบ่าของคนตัวสูงกว่า “เราไปหาอะไรกินในเมืองด้วยกันก่อน แล้วผมจะเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้คุณฟัง”
คราวนี้ รัสเซลล์เป็นคนขับรถ เบอร์แทรมบอกให้เขาจอดรถไว้ที่หน้าร้านหนังสือเก่าเหมือนเดิมและเดินไปที่ร้านอาหารอินเดียที่อยู่ห่างจากร้านไม่ถึงสิบนาที เป็นร้านเล็ก ๆ บรรยากาศสบาย ๆ ตกแต่งร้านด้วยสีขาวกับม่วง เจ้าของร้านเป็นคนอัธยาศัยดีและเห็นได้ชัดว่า เบอร์แทรมเป็นลูกค้าของประจำที่ทำให้เจ้าของร้านมีกำลังใจในการนำเสนออาหารยิ่งกว่าได้รีวิวระดับห้าดาวในทริปแอดไวเซอร์เสียอีก
ระหว่างที่กินอาหารมื้อกลางวันเป็นแกงโรกันจอชแกะสไตล์แคชเมียร์กับแป้งภารธาหนานุ่มที่เบอร์แทรมแนะนำเขาว่าเป็นตัวเลือกที่อร่อยและแตกต่างจากการกินแกงกับนานหรือข้าวหมกตามปกติ พวกเขายังไม่มีโอกาสได้คุยกันมากนัก แต่เมื่อจบมื้อกลางวันที่ทำให้คนที่ดูหมดเรี่ยวแรงอย่างยิ่งเมื่อคืนนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามากแล้ว เบอร์แทรมก็เสนอให้กลับไปพูดคุยกันที่ห้องทำงานของตนเองในร้านหนังสือ ซึ่งเป็นสถานที่ที่น่าจะสะดวกที่สุดและมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุด
เบอร์แทรมทักทายคนในร้าน พลังงานที่ดูจะหดหายไปจากตัวของเจ้าของร้านอย่างเห็นได้ชัดทำให้คำอธิบายของรัสเซลล์ดูจริงจังขึ้นมา ทั้งคลาร่าและเอมิเลีย สองสาวพนักงานในร้านคอยย้ำให้นายจ้างของพวกเธอรีบกลับบ้านไปพักจนกระทั่งเบอร์แทรมต้องยอมยกมือยอมแพ้และรับปากว่าเสร็จธุระแล้วจะรีบกลับทันที
ในห้องเวิร์กช็อปสำหรับซ่อมและสอนซ่อมหนังสือเก่า พวกเขานั่งอยู่ด้วยกันเหมือนวันแรกที่รัสเซลล์มาเยือนร้าน แต่ในคราวนี้ เบอร์แทรมต้องเป็นฝ่ายอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง ไม่ใช่เพียงแค่สนทนาในเรื่องทั่วไปอย่างที่เคยทำอีกแล้ว
“ผมอยากรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับคุณเมื่อคืนนี้”
คำถามแรกของเขาทำให้คนฟังถึงกับทำหน้าลำบากใจ และเม้มปากด้วยอาการครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนให้คำตอบ
“ผมออกไปทำธุระบางอย่างที่เวิร์กช็อปหลังบ้าน” เบอร์แทรมบอก “ผมไม่คิดจะปิดบังคุณ แต่มันเป็นเรื่องที่อธิบายยากและคุณอาจจะไม่อยากเชื่อ”
“ถ้าคุณบอกว่ามันเป็นเรื่องจริง ผมก็พร้อมจะเชื่อ” รัสเซลล์เอ่ยหนักแน่น “ได้โปรด”
“อย่าพูดแบบนั้น” เจ้าของร้านหนังสือห้าม ก่อนถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ “แอดดิงตันพยายามใช้สื่อติดตามว่าคุณอยู่ที่ไหน ผมเลยตัดสินใจที่จะใช้วิธีการเดียวกันในการติดตามหาตัวเขาบ้าง”
“เมื่อคืนนี้ ผมลองเรียกวิญญาณของเหยื่อของแอดดิงตันมาให้เบาะแส”
คำตอบนั้นทำให้นายตำรวจหนุ่มกลายเป็นฝ่ายที่นิ่งอึ้ง
ใช่ว่าเขาไม่ใช่ เขาเชื่อ แต่เขาไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะทำสิ่งนี้ และแม้จะไม่มีความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับใด ๆ เลย แต่เขาก็สามารถรับรู้ถึงอันตรายที่ไม่อาจคาดถึงที่อาจจะตามมาจากการกระทำเช่นนั้นได้
สภาพของเบอร์แทรมหลังกลับมานอนในห้องเมื่อคืนนี้เป็นหลักฐานสนับสนุนความห่วงใยของเขาที่ชัดเจนที่สุด
“แล้วคุณได้เบาะแสอะไรบ้าง”
เจ้าของร้านหนังสือส่ายหน้า “เธอพูดอะไรไม่ได้ วิญญาณของเธออยู่ในสภาพย่ำแย่มาก แต่อย่างน้อย เธอก็ตอบรับในสิ่งที่ผมของร้องให้เธอทำ คือ ตามหาตัวของแอดดิงตันและแจ้งข่าวให้ผมรับรู้ให้เร็วที่สุด”
“แล้วคุณต้องตอบแทนเธอหรือเปล่า”
เบอร์แทรมมองเขา ก่อนพยักหน้าช้า ๆ “แน่นอน ทุกสิ่งที่ทำย่อมมีค่าตอบแทน”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณ...”
“พลังวิญญาณของเธอมีน้อยเกินกว่าที่จะทำอะไรได้สะดวก เหมือนคนที่อดข้าวมานานก็ย่อมไม่มีแรงทำงาน... มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่น้อยมาก รัสเซลล์ อาจจะดูเหมือนร้ายแรงสำหรับคนที่ไม่รู้ แต่มันไม่มีผลอะไรกับผมมากนักหรอก”
“ให้ตายสิ” นายตำรวจหนุ่มได้แต่พึมพำคำนั้นออกมา เขาไม่รู้ว่า เขาควรจะพูดอะไรหรือเริ่มต้นแสดงความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุด คือ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาในเวลานี้ช่วยเหลือเขาโดยยอมที่จะแลกสิ่งสำคัญในชีวิตเพื่อที่จะปกป้องและดูแลเขาในแบบที่คนอื่นทำไม่ได้ และเขาก็จนปัญญาที่จะหาทางอื่นที่ดีกว่า
“ทำไมคุณต้องทำถึงขนาดนี้ เบอร์แทรม”
“เพราะผมชอบคุณมากละมั้ง” ชายหนุ่มตรงหน้าเขาหัวเราะเบา ๆ และวางมือข้างหนึ่งลงบนเข่าของเขา
“คุณเป็นคนดี รัสเซลล์ ในขณะเดียวกันผมก็เห็นปัญหาที่คุณมองไม่เห็น และผมก็แค่ทำในสิ่งที่ผมสามารถทำให้คุณได้และควรจะต้องทำ ถึงผมจะไม่อยากยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ แต่อย่างน้อย สิ่งที่ผมมีและสิ่งที่ผมเป็นก็สามารถทำประโยชน์ให้ใครสักคนได้”
“สิ่งที่คุณเป็น...” รัสเซลล์ทวนคำ
“คุณไม่อยากเชื่อหรอกว่า สิ่งนี้มีอยู่จริง” เบอร์แทรมยิ้มให้เขา “จริงยิ่งกว่าในหนังสือหรือภาพยนตร์ที่คุณดู จริงยิ่งกว่ากิจกรรมสอนขี่ไม้กวาดและการหัดเสกคาถาที่ปราสาทที่คุณได้ดูไปในวันนั้นเสียอีก”
ริมฝีปากของเจ้าของร้านหนังสือเก่าคลี่ออกเป็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้น ดวงตาสีฟ้าของเขาสว่างขึ้นและฉายประกายที่รัสเซลล์ไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาที่ทั้งดึดดูดและทำให้ใจสั่นด้วยอารมณ์ที่หลากหลายไปในเวลาเดียวกัน
“คุณจะเรียกอย่างนั้นก็ได้” เบอร์แทรมกล่าว “การใช้เวทมนตร์คาถาเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ผมทำให้ แต่สิ่งที่เราได้รับสืบทอดกันมาทางสายเลือด คือ พลังอำนาจในการติดต่อกับคนที่ตายไปแล้ว หรือแม้แต่เรียกพวกเขาให้กลับมาบนโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากพวกเขาต้องการที่จะกลับมา”
“หลายชั่วอายุคนที่ผ่านมา เราเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างสองโลก คือ โลกของมนุษย์และโลกของความตาย”
To be continued >>> Day 19 : Swing
อย่างไรก็ดี ประทับใจการใช้คีย์เวิร์ดในบทนี้จังค่ะ เหมือนเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพื่อให้มาบรรจบตรงจุดนี้ เพื่อคำนี้เลย ชอบมาก ๆ :)
/แอบเห็นย่อหน้าที่พิมพ์ผิดคำแหละค่ะ ตรง "ใช่ว่าเขาไม่ใช่ เขาเชื่อ..." น่าจะเป็น "ใช่ว่าเขาไม่เชื่อ เขาเชื่อ..." หรือเปล่านะคะ ?
5555 ความเชื่อของเบอร์แทรมคือ ท้องอิ่มเอาชนะได้ทุกสิ่งเลยค่ะ แต่ถ้าจะให้เขียนแนว gastronomy จริงๆ น่าจะทำการบ้านเยอะ เป็นแนว home cooking ไปก่อนก็คงพอไหวค่ะ
วอนคุณปิยะรักษ์เห็นใจ ทางนี้หิวอาหารอินเดียมากเลยค่ะ 55555
ที่เขียนตอนนี้ก็เพราะอยากกินอาหารอินเดียด้วยนี่ล่ะค่ะ XD
ตอนนี้กลับมาเป็นนิยายแนะนำอาหารอีกแล้ว 5555 คุณเบอร์แทรมลองแวะร้านอาหารไทยแล้วถามถึงหมูกระทะดูหน่อยไหมคะ เราว่าเจ้าของร้านต้องมีเมนูลับแน่ๆ ค่ะ :P
ที่ไหนมีเบอร์แทรม ที่นั่นมีอาหารค่ะ แต่หมูกระทะนี่อาจจะต้องชวนมาสัมผัสถึงประเทศไทย 555555