เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I'll try...overreachpeach.
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน ช้ำ | trauma
  • ครอบครัว 
    เป็นคำที่เราเกลียดมากที่สุด
    เป็นคำที่เราไม่เข้าใจมากที่สุด
    เป็นคำที่ทำร้ายจิตใจเรามากที่สุด
    เป็นคำที่เราไม่อยากจะพูดถึงมากที่สุด
    เป็นคำที่เราไม่เคยจะพยายามเข้าใจมากที่สุด



    พ่อกับแม่
    พ่อกับแม่ไม่เคยถ่ายรูปด้วยกัน ล่าสุดก็คงรูปวันแต่งงาน อย่าพูดถึงรูปครอบครัว ไม่มีซักใบ 
    พ่อกับแม่ไม่เคยพาเรากับน้องไปไหนพร้อม ๆ กัน ตอนน้องเรายังเดินไม่คล่อง แม่พาน้องไปเล่นสวนสาธารณะแถวบ้าน พ่อพาเราไปส่งตามหลัง แล้วพ่อก็ขับรถออกไปไหนไม่รู้ 
    วันที่พ่อกับแม่เลิกกัน เราอยู่ป.1 น้องเราอยู่บริบาลมั้ง พ่อมารับที่โรงเรียน ซึ่งปกติแม่จะเป็นคนมารับ 
    ในความเป็นเด็ก เราไม่รู้หรอกว่าพ่อกับแม่กำลังจะจดทะเบียนหย่า 
    เรารู้แค่ว่ามีอะไรที่ไม่เหมือนเดิมระหว่างผู้ใหญ่สองคน
    วันที่พ่อกับแม่ทะเลาะกัน 


    เรากับน้องนั่งตรงบันไดไม้หลังบ้าน ตายายห้ามไว้ บอกว่านั่งอยู่ตรงนี้กับน้องนะ พ่อขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านแล้วเดินตรงเข้าไปหาแม่ที่ห้อง พ่อไม่เหมือนพ่อที่เรารู้จัก พ่อดูโกรธและโมโหร้ายมาก เราเห็นพ่อถอดเข็มขัดหนังของตัวเองออกมา เราไม่เห็นตอนภาพหลังจากนี้หรอกนะ 
    เราได้ยินแต่เสียงแม่ร้องไห้ ได้ยินเสียงโวยวายดังลั่นของพ่อ เสียงตากับยาย ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด 
    เราจับมือน้อง นั่งอยู่ที่เดิม เราไม่รู้ว่าตอนนั้นต้องทำยังไง 




    เราทำได้แค่ร้องไห้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เราทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง
    วันรุ่งขึ้นแม่ก็ถูกส่งไปโรงพยาบาล ด้วยความที่ญาติหลายคนทำงานอยู่ที่นี่ แม่ทำงานห้องยา พยาบาล เภสัช หมอเกือบทั้งโรงพยาบาลน่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นว่าแม่ถูกพ่อ abused มา ไม่มีใครพูดอะไร แต่เรารู้สึกได้ตอนเดินเข้าไปในวอร์ด (ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าใครพาไป) คนรอบตัวซุบซิบกันใหญ่ พอเดินไปถึงเตียง สภาพที่เห็นคือแม่นอนตาบวม หน้าช้ำ มีเจลประคบวางอยู่บนหน้าผาก เราทำอะไรไม่ถูกเลย ไม่ได้พูดอะไรกับแม่ทั้งนั้น แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเราเหมือนกัน




    หลังจากพ่อกับแม่เลิกกัน 




    พ่อกลับไปอยู่บ้านที่ต่างอำเภอ พ่อติดการพนันหนักมาก ไม่ว่าจะงานรื่นเริงหรืองานโศรกเศร้า พ่อพร้อมเสมอในการไปตั้งวงเล่นไฮโล เมางัวเงียกลับบ้านตอนฟ้าสางถือเป็นเรื่องปกติ ของในบ้าน พ่อเอาไปขาย ไม่ก็เอาไปจำนำหมด เหลือแค่เตียงนอนกับทีวีพร้อมเครื่องเล่นวีดีโอเก่า ๆ ที่เหลืออยู่ ถามว่าเรารู้ได้ไง เพราะพ่อชอบพาเรากับน้องที่อยู่บ้านในเมืองไปนอนที่บ้านต่างอำเภออยู่หลายครั้ง พ่อพาไปร้านวีดีโอ ให้เรากับน้องเลือกการ์ตูนที่อยากดู พาไปซื้อขนม ของกิน พอถึงที่นั่นก็ให้เราพาน้องไปหาอาม่า อาก๋ง เผื่อว่าจะได้เงินติดตัวกลับมา ซึ่งก็ได้มาจริง ๆ อาม่าให้ครั้งละร้อย สองร้อยบ้าง พ่อก็ขอไปครึ่งหนึ่ง บอกว่าจะเอาไปซื้อบุหรี่ มีครั้งหนึ่งอาม่าไม่อยู่ พ่อบอกให้ไปค้นตะกร้าหมากอาม่าสิ มีเศษเหรียญอยู่ เออ นี่พ่อบอกให้เราทำ แล้วเราก็ทำตามแบบว่านอนสอนง่ายมาก แค่เพราะอยากได้เงิน ไม่ได้คิดอะไรเลย
    หลังจากนั้นพ่อก็พาไปกินข้าว พาเรากับน้องอาบน้ำ เข้านอน เปิดการ์ตูนที่เช่ามาให้ดู ก่อนออกไป พ่อมาหอมแก้ม ฟัดเรากับน้องใหญ่เลย บอกว่า นอนดูทีวีกับน้องไปนะ เดี๋ยวป๋ากลับมา ซักพักใหญ่ อาม่าก็เดินมาหาที่ห้อง ถามว่า พ่อมึงไปไหนแล้วล่ะ เราก็ตอบไปตามประสาเด็กไม่กี่ขวบ ตอบไปแบบไม่ได้คิดอะไรมาก บอกอาม่าว่า ป๋าออกไปข้างนอก แค่นั้น




    แม่ติดเพื่อน ติดเบียร์มาก ติดบุหรี่ด้วย หลังเลิกงานแม่จะไปรับเราที่โรงเรียนแล้วพาไปบ้านเพื่อนแม่ทันที แน่ล่ะ เพราะแม่สนิทกับเพื่อนแม่คนนี้มาก แถมลูกของเพื่อนแม่ก็อยู่ห้องเดียวกับเรา เรียกได้ว่าสนิทแบบที่ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แม่นั่งดื่มเบียร์กับเพื่อนแม่อยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้าน ดื่มอย่างต่ำก็สี่ห้าขวด ส่วนเราเหรอ ก็ไปเล่นกับเพื่อนในบ้านหรือปั่นจักรยานออกไปซื้อขนมกิน เวลาแม่เริ่มเมา เราบอกแม่ตลอดว่าพอได้แล้ว อยากกลับบ้าน พร้อมแสดงอาการฟึดฟัดต่อหน้าเพื่อนของแม่อยู่เป็นประจำ 
    บางวันแม่ขับรถพาเรากลับบ้านแทบไม่ไหวจนเพื่อนแม่ต้องบอกว่า มึงไหวแน่นะ พาลูกมึงกลับบ้านดี ๆ ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้เรารู้สึกเกลียดแม่แล้วก็โมโหแม่มาก มีวันหนึ่งแม่เราเมามากจนลืมไปรับเราที่โรงเรียน (ซึ่งก็เป็นแบบนี้หลายครั้ง) เรารอแม่อยู่ที่โรงเรียนถึงประมาณหกโมงเย็น ร้านค้าริมทางเดินหน้าโรงเรียนเริ่มทยอยเก็บ ไม่ค่อยมีนักเรียนเหลืออยู่ที่โรงเรียนแล้ว ทั้งเงียบปนหดหู่ ไม่นาน เราตัดสินใจเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ โทรหาแม่รอบสุดท้ายเผื่อแม่จะรับแต่ก็ผิดหวัง เราคิดอยู่นานมากว่าจะทำยังไงดี สุดท้าย เราตัดสินใจเดินกลับบ้าน เดินกลับบ้านเองครั้งแรก เกือบจะร้องไห้เลยแหละ สำหรับเด็กอายุเจ็ดแปดขวบ คิดนานมากว่าจะเดินกลับทางไหน ไปยังไง ข้ามถนนยังไง ถ้าเจอหมาจะทำยังไง อื้ม จะร้องไห้จริง ๆ จนสุดท้ายก็เดินมาถึงบ้าน ตาถามว่า แล้วแม่ไม่ได้ไปรับเหรอ แม่ออกไปตั้งนานแล้ว 
    ใช่ มันเป็นแบบที่คิดไว้ แม่คงเมาอยู่ที่บ้านเพื่อนซักคนและลืมไปรับเราจริง ๆ ส่วนน้องเรา พี่เลี้ยงที่โรงเรียนพามาส่งบ้านก่อนหน้านี้แล้ว เราไม่ติดใจอะไรหรือคิดอะไรมากในตอนนั้น แอบดีใจอยู่ลึก ๆ ด้วยซ้ำที่ระหว่างทางไม่มีหมาซักตัวมาตามไล่ (เรากลัวหมาสุด ๆ) และเราข้ามถนนเองได้ 
    เก่งชะมัด...




    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนเด็ก
    เราจำได้แต่เรื่องแย่ ๆ 
    เรารู้สึกว่ามันชัดมากอยู่ในหัวเราตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้
    เราโหยหาคำว่าครอบครัว คำว่าพ่อแม่ จากคนที่สร้างมันขึ้นมา
    เราพยายามจะสร้างมันขึ้นมาใหม่อยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายก็ไม่รอด
    เหตุการณ์หรือช่วงเวลาแย่ ๆ ก็มีมาเรื่อย ๆ นับครั้งไม่ถ้วน
    จนบางทีก็รู้สึกว่า โลกนี้มัน tough เกินไปที่จะอยู่หรือเปล่า...

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Piti Pui (@pitipui)
ตอนเด็ก ๆ เราก็มีเรื่องแย่ ๆ ทุกวันนี้ก็ส่งผลมา พอกผูนจนกลายเป็นโรคกลัวสังคมอะไรทำนองนี้ แต่มันก็มีคนอื่น ๆ มีคนที่เรารู้จักสนิท ที่ครอบครัวมีประวัติ DV รุนแรง แต่เขาโตมาประสบความสำเร็จดี แล้วก็มองโลกในแง่บวกตลอด มันก็มีคนที่สามารถก้าวผ่านอะไรอย่างงี้ไปได้ (ซึ่งไม่ใช่เราฮ่า ๆ ๆ ...) ไงก็ตามเวลาเห็นคนที่เขาผ่านมาได้ แล้วเห็นว่าเขาเลือกที่จะไม่พูดไม่เอามาเป็นปม เราเองอยากก็จงทำตัวคูล ๆ กลบเกลื่อนความกลัวสังคมของตัวเองต่อไปอะไรอย่างงี้ให้ได้อยู่เหมือนกันนะ

อ่อ คนนั้นที่เราพูดถึงเคยพูดกับเราด้วยว่า "มันอาจจะมีคำว่าแย่ แต่มันไม่มีอะไรที่เรียกว่าแย่เกินไปหรอก" ไม่รู้จริงป่ะ คิดว่าไง?
overreachpeach. (@debbyjudycooper)
@pitipui ส่วนตัวเราคิดว่า แย่แบบเค้ากับแบบเราคิดอาจจะไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องของความรู้สึก ที่เอาอะไรมาวัดไม่ได้แน่นอน เราอยากให้กำลังใจคุณกลับไปมาก ๆ และขอบคุณที่เข้ามาแชร์กันนะคะ :)
Piti Pui (@pitipui)
เป็นกำลังใจให้ @debbyjudycooper เช่นกันนะคะ