รู้จักความตายครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่กัน
ตอนอยู่ประถม คุณครูการงานสั่งให้ไปซื้อปลามาเลี้ยง ซื้อมาแล้วคาบหน้าถือมาโรงเรียนด้วยนะ
เอามาส่ง จะได้ 10 คะแนน ตอนนั้นตื่นเต้นมาก จะได้เลี้ยงปลา
ตกเย็นแม่มารับที่โรงเรียน แม่รีบขับรถพาไปซื้อปลาที่ร้านของเพื่อนแม่แถวหน้าตลาด
เพื่อนแม่บอกว่า อยากได้ตัวไหน ชี้เอาเลย พร้อมจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย
แม่ยืนยิ้มดูอยู่ห่าง ๆ (พร้อมรอจ่ายเงิน) ตอนนั้นเรามีความสุขมาก
อาทิตย์ถัดมา คาบการงาน
เราถือโหลปลาไปด้วยความตื่นเต้นและทุลักทุเล กลัวน้ำกระฉอกแล้วปลาเป็นอะไรไป
คุณครูเรียกนักเรียนไปทีละคน ตามเลขที่ พร้อมเช็คปลาในขวดโหล เออ มันยังไงวะเนี่ย ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าวิชาการงาน ทำไมต้องเอาปลาไปส่ง ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน อ่ะ ส่งปลาให้คุณครูตรวจเรียบร้อย แต่ว่าตอนนั้น เพื่อนที่ส่งปลาไปก่อนหน้าไปยื่นอยู่ริมหน้าต่าง เพื่อนที่เหลือก็รีบไปมุงดู เห้ย ปลาแกเป็นอะไรอะ ทำไมเหรอ มันตายแล้วเหรอ ใช่ ปลาตายจ้า นี่ก็รีบเข้าไปมุงดูกับเขาด้วย ไหน ดูซิ ปลาตายจริง ๆ เหรอ พร้อมถามเพื่อนว่าแกส่งให้คุณครูก่อนแล้วใช่ไหม โชคดีนะที่แกส่งคุณครูได้คะแนนไปแล้ว ปลาถึงตาย แต่มองหน้าเพื่อน เห้ย ทำไมทำหน้าเศร้าแบบนั้น นี่รึเปล่า อะไรเกี่ยวกับความตายในแบบที่เราเข้าใจ ต้องเศร้า ต้องร้องไห้...
ไม่กี่ปีหลังจากนั้น แม่เราก็เสีย
"สวัสดีญาติคนนั้นรึยัง คนนั้นญาติเรานะ เขาอุตส่าห์มาหา ดูสิ"
"ไหว้ลุงคนนั้นด้วย เข้าไปไหว้ใกล้ ๆ เลยนะ"
"ไปไหว้แม่ครัวด้วย เสร็จแล้วไปขัดห้องน้ำวัดด้วยนะ กวาดตรงนั้นด้วย"
"อยู่โรงเรียนเขาปกติมากเลยนะคะ เรียนเก่ง นั่งหลังห้องเงียบ ๆ ไม่เห็นบอกเลยว่าแม่ไม่สบาย"
"ไปช่วยขนลังน้ำส้มที่รถหน่อย แล้วเอามาแจกแขก พูดดี ๆ กับเขาแล้วไหว้ด้วยนะ"
"ทำไมชอบทำหน้าบูดหน้าบึ้งตลอดเวลาเลย ยิ้มหน่อยสิ สู้ ๆ นะ"
ให้ตายเถอะ เขาจะเอาอะไรกับเด็กอายุสิบสองวะ...
ตอนนั้นเหมือนคนไม่มีความรู้สึก พยายามทำทุกอย่างให้เหมือนว่าไม่มีใครตาย แม่ยังอยู่
พ่อมาเจอเรา มากอดแล้วบอกว่า แม่ไปสบายแล้วนะ ตอนนั้นก็ยังไม่ร้องไห้เลย
ต้องเข้มแข็งขนาดไหนวะ ไม่มีใครเห็นน้ำตาเราซักคน
เราอดทนมากที่จะกลั้นน้ำตา เราอดทนมากที่จะยิ้ม
เราอดทนมากที่จะทำทุกอย่างตามที่ญาติ ๆ หรือใครก็ไม่รู้สั่ง
เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ทำไปนั้น ทำไปเพื่ออะไร ความรู้สึกตอนนั้นมันแย่มากแต่เราเลือกที่จะเงียบ
เรา stay calm ให้กับทุกสายตาที่มองมา เพื่อบอกให้รู้ว่าเราโอเค
เราไม่เป็นอะไร ทั้งที่ในใจจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
ไม่มีใครถามว่าโอเคไหม กินข้าวรึยัง นอนหลับไหม ต้องการอะไรรึเปล่า
ไม่มีใครถามอะไรเราเลย จริง ๆ
หลังจบงาน ทุกคนก็เหมือนจะสนใจแต่เรื่องของตัวเอง
ญาติเอาเสื้อผ้าแม่ เอาของใช้แม่มาเลือก ใครอยากได้อะไรก็หยิบไป
ต่างคนต่างกุลีกุจอเข้ามารื้อเสื้อผ้า กระเป๋า ของใช้ทุกอย่างที่อยู่ในลัง
ญาติคนหนึ่งหยิบกระเป๋าถือแม่ขึ้นมา กระเป๋าสีดำ ห้อยพวงกุญแจรูปหัวใจ
พร้อมพูดขึ้นมาว่า หนูเอาใบนี้นะคะ
เราหันกลับไปมองตามเสียงนั้น
เห้ย นั่นกระเป๋าที่แม่รักมาก นั่นพวงกุญแจที่เราตั้งใจซื้อให้แม่ตอนวันเกิด
เราเก็บเงินซื้อมันเลยนะ พวงกุญแจโง่ ๆ ที่ขายอยู่หน้าโรงเรียนอันละร้อยกว่าบาท
จำได้ว่าตอนยื่นให้แม่ เราภูมิใจมาก แม่ก็ดูดีใจมาก
แถมยังบอกอีกว่า คราวหลังเอาพวงกุญแจอุลตร้าแมนนะ (แม่ชอบอุลตร้าแมนจ้าาา)
ยังไงก็เถอะ มันก็แค่ความคิดในหัว เราไม่กล้าพูดอะไรออกไป สิ่งที่ทำได้คือเงียบ
ญาติ ๆ ที่เหลือก็พูดตอบกลับไป
เอาเลยหนู สวยดี เอาไว้ใช้ สะพายไปทำงานก็สวยดีนะ
อื้ม ไม่มีใครถามอะไรเราจริง ๆ ไม่มีใครถามเราซักคนว่าอยากเก็บไว้ไหม เราไม่มีสิทธิ์อะไรเลยเหรอ
ในใจอยากจะดึงกระเป๋าใบนั้นมากอดจะตายอยู่แล้ว
แต่เอาเถอะ เรามันก็แค่เด็กอายุสิบสอง จะไปเข้าใจอะไรวะ...
เราไม่เข้าใจว่าพวกญาติ ๆ ต้องการอะไรจากเรา
เราไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องทำตามที่คนอื่นบอก
เราไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องไหว้คนที่เราไม่รู้จัก
เราไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยิ้ม ต้องไปนั่งคุยกับญาติ
เราไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ร้องไห้เลยซักนิด
เราไม่กล้าร้องไห้ต่อหน้าคนทั้งงาน
เราไม่กล้าพูดอะไร เราไม่รู้จะทำอะไร
เราไม่มีคำถามจะถามใคร
เราไม่รู้ว่าเราควรไปยื่นตรงไหนในงานด้วยซ้ำ
แบบนี้สินะ "ความตายครั้งแรก"
ที่เรารู้จักและรับมือกับมัน...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in