เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I'll try...overreachpeach.
อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่...ซึมเศร้า | Whatever, but Not Depression
  • "Hope you fix whatever's wrong with me." 



    คือสิ่งที่เราเขียนลงไปในแบบสำรวจและประเมินประเมินคนไข้ 
    กับคำถามที่ว่า คุณคาดหวังอะไรจากการรับบริการครั้งนี้
    ก็แน่ล่ะ ลากตัวเองมาถึงขนาดนี้ โทรนัดหมอไว้ตั้งแต่ต้นเดือนก่อน 
    กว่าจะ hold on มาถึงวันนี้ได้ โคตรทรมาน ไม่ได้ exaggerate นะ แต่เรารู้สึกแบบนั้นจริง ๆ



    เมื่อวาน เรากิน cpm ไปสี่เม็ด (เพราะยาเก่าหมดไปสองอาทิตย์ก่อน) แต่เรานอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา ไม่รู้กี่รอบ เหมือนหลับไปแค่ 2-3 ชั่วโมงแล้วก็ตื่น หลับ ๆ ตื่น ๆ จนหงุดหงิดตัวเอง ฝันแรกที่จำได้ตอนตื่นมาคือฝันว่าไปเจอ traffic injury ซักที่ ภาพคนตัวขาดสองท่อน คราบเลือดเต็มถนน เป็นอะไรที่ชัดมากอยู่ในฝัน จะบอกว่าอาทิตย์ก่อนเราไปปาร์ตี้ที่ร้านแถววิภาวดีแล้วไปดื่มต่อที่บ้านเพื่อน วันนั้นโอเคมาก ไม่ได้คิดอะไรเท่าไหร่ เช้ามาเพื่อนขับรถจะมาส่งที่หอ ขับไปได้ครึ่งทาง รถโดนชนท้าย ตอนนั้นเบลอไปแปปหนึ่งเพราะทุกอย่างที่แย่ ๆ ผุดขึ้นมาในหัวเร็วมาก นี่เราเป็นตัวซวยให้เพื่อนอีกแล้วเหรอ เราเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาสองสามครั้งแล้ว มันเป็นภาพจำที่ติดตามาก ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ "มึงมันตัวซวยดี ๆ นี่เอง" เราเอ๋อไปซักพักกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เรากำลังห้ามตัวเองไม่ให้คิดไปมากกว่านั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้และมันก็แค่อุบัติเหตุเล็ก ๆ เอง อาจจะเพราะเรื่องอาทิตย์ก่อนทำให้เราเก็บเอามาคิดและฝันแย่ ๆ อยู่แบบนี้ แต่ก็เอาเหอะ วันนี้จะได้เจอหมอแล้ว 



    เช้าวันนัด
    เก้าโมงครึ่ง มีสายเข้าแต่เราไม่ได้รับ (เพราะยังไม่ตื่น)
    สิบเอ็ดโมงครึ่ง มีสายเข้า เป็นเคอรี่โทรให้ลงไปรับของ เราลงไปรับด้วยสภาพเน่ามาก
    เที่ยงตรง เราโทรไป confirm นัดหมอ ปลายสายบอกว่าให้มาตอนบ่ายโมงตรงเพื่อรับบัตรคิว
    บ่ายโมงสิบห้า เราเพิ่งไปถึงที่นั่น พี่เขาบอกว่า หมอเพิ่งโทรมา หมอยังไม่ถึงนะคะ โอเคค่า รอวนไป
    ระหว่างรอ เราเอาใบประวัติมานั่งกรอก ในใบนั้นถามข้อมูลทั่วไป ชื่อ อายุ ที่อยู่ ผู้ปกครอง อาจารย์ที่ปรึกษา บุคคลที่สามารถติดต่อได้กรณีฉุกเฉิน เรากรอกไปทั้งหมด ใช้เวลาไม่นานมาก พอกรอกเสร็จก็เอาไปยื่นให้และนั่งรอ ได้คิวที่แปด ใช่ค่ะ หลังจากนั้นมันคือการรอ รอ และรอ ระหว่างรอมีนิสิตผู้ชายสองคนเข้ามาเล่นเปียโนที่ตั้งอยู่หน้าเรา มันเพราะมาก สองคนนี้น่าจะเป็นเพื่อนกัน อีกคนเปิดโน้ตอีกคนก็เล่นตาม ฟังเพลิน ๆ ไป มันทำให้เรา calm ได้ดีทีเดียว ซักพักเราได้ยินเสียงร้องไห้จากผู้หญิงด้านหลัง แรก ๆ ก็ไม่อะไรหรอกเพราะเข้าใจว่าที่แบบนี้คงมีคนอารมณ์แตกต่างกันไป แต่หลังจากนั้น ผู้หญิงคนนี้เริ่มร้องไห้หนักขึ้นจนมีพี่เจ้าหน้าที่พาเข้าไปนั่งรออีกห้องข้างใน เสียงร้องไห้ดังขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มเป็นการโวยวาย คร่ำครวญ ร้องโฮแบบดังมาก มีเสียงกรี๊ดตามมา มีเสียงอะไรซักอย่างถูกปาเข้าที่ผนังดังตุบ เราเริ่มกลัว เราใจเต้นแรงมาก มือเริ่มสั่น ๆ เบา ๆ และเริ่มรู้สึกหดหู่กับสิ่งที่อยู่รอบตัว เราไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย เราคิดไปอีกว่าปัญหาเรามันดูเล็กไปเลยเมื่อเจอสภาพผู้หญิงคนนั้น เราคงไม่เป็นอะไรหรอกเอาจริง ๆ ซักพักพี่เจ้าหน้าที่โทรตามพยาบาลข้างล่างให้มาฉีดยา กับเรียกรปภมาอีก เรียกรถพยาบาลให้มารับไป ER ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก เวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ 
    เรารอไปสองชั่วโมงจนถึงคิวตัวเอง เจอหมอตอนบ่ายสามครึ่ง



    หมอที่เรานัดไว้เป็นจิตแพทย์ประจำของที่นี่ 
    หมอทักทายเราด้วยหน้าตายิ้มแย้ม เราสัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรและเป็นกันเองมาก ๆ 
    คำแรกที่หมอพูดกับเราคือ 


    "เอ้า ว่าไง XX ใช่ไหม เรียนปี 5 แล้ว จะจบแล้วใช่ไหม"


    โอ้โห หมอออออ สนิทเว่อ เหมือนรู้จักกันมานานแล้ว แต่จริง ๆ หมอก็คงดูจากใบที่กรอกไปนั่นแหละ

    เรายิ้มกับคำพูดของหมอ เหมือนจะเป็นคำถามพร่ำเพรื่อ คำถามที่เปิดด้วยเรื่องใกล้ตัว ทำอะไรอยู่ เรียนปีไหน ชื่อเล่นชื่ออะไร ง่าย ๆ แบบนี้เลย แต่เรารู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก หลังจากนั้นเราก็เริ่มคุยกับหมอไปเรื่อย ๆ หมอถามชีวิตประจำวัน พอให้รู้ background ว่าเราเจออะไรมาบ้าง เราไม่ได้เล่าไปทั้งหมดหรอกเพราะก็รู้แหละเวลามันจำกัด หมอถามเป็นประเด็น ๆ ไป มาสะดุดตรงที่หมอถามว่า 



    "ที่คุณพูดมาทั้งหมด คือหมอยังไม่รู้ คุณมาหาหมอนี่ต้องการอะไร อยากให้หมอช่วยอะไรเหรอ" 



    "ที่คุณเขียนว่า fix whatever's wrong เนี่ย หมอถามหน่อย อะไรเหรอที่บอกว่า what's wrong" 


    หมอถามอีก "คุณอยากให้หมอสะกดจิตเหรอ" 



    เอ้าหมอ นี่จะร้องไห้แล้ว เราอึ้งไปหลายวิอยู่ เพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร 
    เออนั้นสิ เรามาหาหมอทำไม เราอยากให้หมอช่วยอะไรวะ



    "หนูอยากได้ยานอนหลับค่ะ"
    เราตอบไป 


    "ได้อยู่แล้ว หมอจ่ายให้ได้ แต่มันคือการแก้ที่ปลายเหตุ คุณนอนไม่หลับหมอจ่ายให้ได้ แต่ต้นเหตุมันคืออะไรหล่ะ พอจะบอกหมอได้ไหม"


    หมอถามด้วยน้ำเสียงใจเย็นมาก นี่ไม่เคยเจอหมอที่ใจเย็นและนิ่งขนาดนี้มาก่อนเลย
    จากนั้นเราก็เริ่มเล่าสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี เล่าทุกอย่างที่พอจะนึกได้ในตอนนั้น
    สลับกับหมอถาม ถามจนไม่รู้จะตอบยังไง บางคำถามที่หมอถามเรายังจับใจความไม่ได้เลย 
    เหมือนเรามีสติครึ่ง ๆ กลาง ๆ หมอถามเยอะมาก เราบอกว่าที่ทำอยู่ก็เหมือนทำส่ง ๆ วิจัยเรายังเอาของเพื่อนส่งเลย หมอบอกว่า เนี่ย งั้นผมไปฟ้องที่อาจารย์ปรึกษาคุณได้นะ อื้อ เอาเลยหมอ พร้อมยิ้มแห้ง
    หมอพูดพร้อมโยงเส้นเอบี เชื่อมเหตุและผล ที่พอจะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่หมอพูดมากขึ้น 
    หมอถามว่าคุณฝึกสอนที่ไหน มันยากมากเลยใช่ไหมล่ะ มีแต่นักเรียนเก่ง ๆ พ่อแม่ส่งเรียนต่างประเทศ
    หมอบอกว่าคุณแค่อยู่ผิดที่ ใช่ค่ะ มันผิดที่หนูนี่แหละค่ะ (อันนี้คิดในใจ)
    หมอถามว่าแม่ทำงานอะไร พ่อทำงานอะไร แม่เสียตอนไหน แล้วพ่อล่ะ
    หมอถามว่าอะไรที่ทำให้คุณมีความสุข เราตอบไม่ได้
    หมอถามว่าคุณเก่งอะไร คุณชอบภาษาอังกฤษใช่ไหม งั้นคุณก็เก่ง vocab มากเลยสิ หมอท่องได้แค่ category A อื้อออ หมอ joke ไปอีกกก เราสัมผัสได้ทุกอย่าง เวลาคุย หมอจัดการอารมณ์ตัวเองและจัดการอารมณ์เราได้ดีมากถึงมากที่สุด


    หมอถามว่าคนรอบตัวมองคุณเป็นคนยังไง เราตอบว่าหยิ่ง เงียบ 
    หมอถามว่าคุณอยากทำอะไรต่อจากนี้ เราตอบไปว่า ทำเรื่องเรียนจบ แล้วหางานทำให้เร็วที่สุด
    หมอบอกว่าคุณกดดันตัวเองไปรึเปล่า มีใครมากดดันคุณอีกไหม เร็วที่สุดทำไม 
    หมอถามอะไรซักอย่าง แต่เราตอบว่า อยากให้ที่บ้านแคร์เรามากกว่านี้ เขาสนใจแต่เรื่องของตัวเอง หมอบอกว่าคุณตอบไม่ตรงคำถามหนิ เมื่อกี้หมอถามว่าอะไร เราส่ายหน้าและตอบไปว่าหนูจำไม่ได้ค่ะ (ซึ่งตอนนี้ก็ยังจำไม่ได้ ไม่มีสติเลยจริง ๆ นะตอนนั้น) 
    หมอถามว่าเรื่องหนี้สินคุณต้องรับผิดชอบเหรอ เรื่องบุญคุณด้วย
    หมอบอกว่าเรื่องน้องคุณมันแย่มากแต่ก็ปล่อยน้องคุณไปเถอะ
    หมอถามว่าเมืองหลวงของประเทศเกาหลีเหนือชื่ออะไร เราตอบได้
    หมอถามว่าแล้วเมืองหลวงของประเทศโซมาเลียล่ะ เราส่ายหน้า 
    หมอบอกว่านี่ไง บางเรื่องเราไม่ได้ค้น ไม่ได้ศึกษา เราก็ไม่รู้ เพราะงั้นคุณต้องเปิดใจ ลองดูก่อน 
    หมอบอกว่าคุณต้องโตกว่าวัยเยอะมากเลยนะที่ต้องมาจัดการเรื่องแบบนี้ 
    หมอบอกว่า จากที่ผมมองนะ ผมว่าคุณเป็นคนหัวแข็งแต่ไม่ใช่ก้าวร้าวนะ คุณพยายามจะพึ่งตัวเอง คุณพยายามจะควบคุมหลาย ๆ อย่างที่อยู่รอบตัวคุณ จนวันหนึ่งคุณควบคุมมันไม่ได้ คุณดื้อ  


    หมอบอกว่าคุณเก่งนะ


    ประโยคนี้ทำให้เราไปต่อไม่ได้ เหมือนตอนหาหมอคนก่อน (ที่ไม่ใช่หมอจิตเวช ตอนนั้นแค่น้ำตาคลอ ๆ) 
    เราเริ่มปากสั่น พูดต่อไม่ได้ ตามองต่ำ น้ำตาไหลแหมะลงบนกระโปรงนิสิต 
    หมอผละตัวออกจากโต๊ะแล้วรีบเดินไปหยิบกล่องทิชชู่ข้างหลังเรามาวางให้อย่างไว 
    น้ำตาเราไหลไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด น้ำมูกไหลเยอะมาก 
    เราร้องไห้ไป พยักหน้ากับสิ่งที่หมอพูดไป ซึ่งก็จำไม่ได้อีกว่าหมอพูดอะไร เบลอจริง 
    ก่อนหน้านี้เราบอกกับตัวเองว่ายังไงก็เถอะ 
    เราจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าหมอ มันน่าอาย ตลก 
    เราไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าใคร เราไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าคนที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก 
    เราไม่อยากรู้สึกแพ้ เราไม่ได้ขี้แย เราไม่ได้อ่อนแออะไรขนาดนั้น


    เรากัดฟัน กลืนน้ำลาย จิกมือตัวเองมาตลอดเกือบยี่สิบนาที มันมาตกม้าตายตอนนี้ได้ไง


    "คุณเก่งนะ"


    จริง ๆ เหรอหมอ ใช่เหรอ ทำไมเราไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นเลย เราเก่งที่เราทนมาได้จนถึงทุกวันนี้เหรอ
    เราเก่งที่เราเจอเรื่องแย่ ๆ เหรอ เราเก่งที่เราไม่ตายเหรอ เราเก่งที่เราทำงานส่ง ๆ ชุ่ย ๆ แบบนี้เหรอ
    เราเก่งยังไงวะ ที่บ้านไม่เคยพูดกับเราแบบนี้ มีแต่บอกว่า นี่เงินก้อนสุดท้ายแล้วนะ รีบหางาน มีอะไรก็สมัครไว้ก่อนเลย เป็นข้าราชการมันดีนะ นู่นนี่ บลา ๆ ก็ใช่ไง มันเป็นสิ่งที่เขาอยากให้เราทำ เขาอยากให้เราดูแลตัวเอง หาเงินใช้เองและให้เงินเขาใช้เร็ว ๆ เราก็คิดแบบนั้น เราอยากให้ที่บ้านสบาย เราไม่อยากเป็นภาระให้เหมือนกัน เรารู้สึกแย่ 


    "กินยาให้หมอนะ"


    หมอพูดต่อหลังจากฟังเราปล่อยโฮไปซักพัก เราพยักหน้า 
    หมอเปิดแฟ้มสีเหลือง พร้อมจดอะไรซักอย่างลงไป
    หมอถามว่าเป็นมานานแค่ไหน คุณท้อแท้มากเลยใช่ไหม เราพยักหน้า
    หมอถามว่าคุณกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยใช่ไหม เราพยักหน้า
    หมอถามอีกหลายอย่าง ตอนนั้นเราไม่โอเคหน่อย ๆ แล้วแหละ สั่น ๆ จิกมือตัวเองไปเรื่อย ๆ
    หมอพูดติดตลกอีกว่าคราวหลังผมก็ให้คุณมาสอนพิเศษลูกผมได้น่ะสิ
    จนวินาทีสุดท้ายหมอก็พยายามดึงเราเข้าสู่โหมดปกติ ทำให้เราเผลอยิ้มแหะ ๆ ใส่หมอไป


     
    "อ่ะ เอาไปให้เคาท์เตอร์ข้างหน้านะ แต่หมอว่าข้างล่างหน้าจะปิดแล้ว มารับยาพรุ่งนี้แทนนะ"


    "เจอกันใหม่อาทิตย์หน้านะ เอ้ย ไม่ได้อาทิตย์หน้าหมอไม่อยู่ อาทิตย์ถัดไปแล้วกัน"


    หมอพูดประโยคตัดจบ เราไหว้หมอแบบงง ๆ 
    หมอเดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมกับเรา 
    หมอเปิดประตูให้แล้วถามอีกว่า จากนี้ไปทำอะไรต่อ ต้องกลับบ้านไหม 
    เราก็ตอบแบบส่ง ๆ มากเพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้ว เราบอกว่า ก็คงต้องกลับนะคะ ตาไม่สบาย 
    แต่เหมือนตอนนั้นหมอไม่ได้อะไรแล้วอะ หมอแค่ชวนคุยไม่ให้นี่เคว้งพอดีกับที่หมอออกมาเข้าห้องน้ำไงหลังจากนั้นเราก็เอาใบสั่งยามาให้พี่ที่หน้าเคาท์เตอร์พร้อมนัดหมอครั้งถัดไป นัดนักจิตวิทยาอาทิตย์ถัดไปอีก ตอนนั้นเรามือสั่นมาก เอ๋อมาก ปวดหัวมากด้วย ยังงง ๆ กับความรู้สึกตัวเองอยู่ มือแข็ง เขียนไม่ออก พี่บอกว่าอะไรนะคะ เราถามซ้ำ คนข้าง ๆ ที่มาติดต่อ scooted back ไปแบบเห็นได้ชัดเพราะเห็นเรายังสะอื้น เห็นเราเช็ดน้ำตาอยู่ เห็นเรากำคลีนเน็กซ์สี่ห้าแผ่นในมืออยู่แน่ ๆ 


    ขอโทษที่ทำให้รู้สึกไม่ดีนะคะ


    มาถึงตอนนี้
    เราไม่กล้าบอกตัวเองว่าเราเป็นอะไร
    เราไม่ได้ถามหมอด้วยซ้ำว่าเราเป็นอะไร หมอก็ไม่ได้บอกเหมือนกัน
    เราอยากให้หมอบอกแค่ว่าคุณคิดมาก มันคือช่วงเปลี่ยนผ่าน
    เราเอาชื่อยาไปเสิร์ช มันคือ antidepressant drug ตัวใหม่ กับยานอนหลับที่เคยกิน โดสเพิ่มด้วย
    เราจะโอเคขึ้นใช่ไหม


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Piti Pui (@pitipui)
เราคิดว่ามันจะโอเคขึ้นนะ
overreachpeach. (@debbyjudycooper)
@pitipui ขอบคุณมากนะคะ เราก็หวังให้เป็นยังงั้นเหมือนกันค่ะ