หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาต
เห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น
จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร
ลูกศิษย์ :
ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ
แต่ด้วยผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ
ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย
ไม่มีใครเชื่อผมเลยครับ ..ฮือ ฮือ
หลวงตาพยักหน้าเข้าใจ แล้วสอนลูกศิษย์ว่า :
เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน
คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น
คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น
คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริงๆ
.
.
? คนแรก คนที่เราอยากจะเป็น
คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก
ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย
บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม
เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน
เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง ดารา เป็นครู
ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่า
โลกนี้ช่างสดใส สวยงาม
ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน
เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ
.
.
? คนที่สอง คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น
บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย
เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่า มันไม่จริงหรอก
แต่เราก็ยิ้มรับไว้ก่อน
แต่บางครั้งก็อัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง
ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น
มันเป็นสิ่งแปลกปลอม ที่คนอื่นยื่นให้เราเป็น
ตัวอย่างเช่น คนขับสิบล้อ
จอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ
เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ
คนขับก็ตกใจ ต้องขับรถหนี
ทั้งที่ศพนั้นถูกรถชนตายอีกฝั่ง
แล้วดันถลามาใต้ท้องรถ
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ
บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร
สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวช
เคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีสามีแล้ว
เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว
ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง
ชาวบ้านซุบซิบนินทาหาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน
คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า
ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ
มองคนอื่น..ผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง
คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม
เจ้าต้องจำไว้นะ
ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเอง
เห็นสิ่งไม่ดีของใคร..
จงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ
นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์
ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทา
เรียกว่าวิถีของคนพาล
ลูกศิษย์ :
แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับ
ในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ
หลวงตา :
เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์
เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้
เราห้ามใจใครไม่ได้
สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น
แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา
เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ
เพราะเราสัมผัสได้ว่า..สิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง
ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ
ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอก
ให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่
เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสาร
มีเวลามองคนอื่น
แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง
จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม
ลูกศิษย์ : เข้าใจครับหลวงตา
.
.
? คนที่สาม ตัวเราที่เป็นเราจริงๆ
เรามีสติ รู้ตัว อยู่กับปัจจุบันขณะ
มีเป้าหมาย และทำกิจการงานให้ดีเข้าไว้
เมื่อมีปัญหา ก็หาสาเหตุ
วิเคราะห์ไตร่ตรอง แก้ไขปัญหาให้ลุล่วง
รู้ทันทุกข์ สุข ที่เข้ามาทดสอบเรา
ไม่มีทุกข์ใดที่อยู่ตลอด เดี๋ยวก็ผ่านไป
ไม่มีสุขใด ที่จะสุขตลอดกาล
เดี๋ยวก็หมดไป แสวงหาสุขอันใหม่
ให้เราพึงระลึกรู้ว่า
ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง
ทุกสิ่งล้วนทนอยู่ได้ยาก ล้วนเป็นทุกข์
ทุกอย่างอย่าไปยึดมั่น ถือมั่น เป็นอนัตตา
แล้วเราจะเข้าใจชีวิต
ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสมดุลย์
มีความสุขตามเหตุปัจจัย ที่ทำดีไว้แล้ว
????
Cr ภาพ : พี่แปะ สมพิศ เพื่อนสตรีวิทย์ พี่เมี่ยง ☺
https://www.facebook.com/onceapassion/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in