1. พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า
ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์
รักในที่นี้ คือรักเนื่องด้วยตัณหา
มิใช่รักอันเกิดจากความเมตตา
เราจึงควรแยกแยะให้ออกว่า
อะไรคือความสัมพันธ์ที่เกิดจากตัณหา
อะไรคือความสัมพันธ์ที่เกิดจากเมตตา
ความรักด้วยเมตตานี้
คือรักที่ค้ำจุนโลก
ดังคำกล่าวว่า เมตตาธรรมค้ำจุนโลก นั่นเอง
2. รักอันเกิดจากเมตตา คือรักอันประเสริฐ
เราจึงพบว่า "รักของพ่อแม่"
เป็นรักที่มีเมตตาเป็นพื้นฐานมาแต่แรก
คือเริ่มจากเมตตา ดำเนินด้วยเมตตา
และจบลงที่ความเมตตา
รักในแบบหนุ่มสาว..
มักเริ่มต้นด้วยตัณหา ราคะ
เริ่มจากความพอใจในรูปร่างหน้าตา
ฐานะ หน้าที่การงานเป็นสำคัญ
3. ทำอย่างไร หนุ่มสาว..
จึงจะพัฒนาความรักของตน
ให้กลายเป็นความรักที่มีเมตตาเป็นพื้นฐานได้
ชีวิตคู่ที่ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ความเมตตาได้
มักเป็นชีวิตคู่ที่พบกับความทุกข์ในที่สุด
ชายหนุ่มหลงใหลรูปร่างหน้าตาของหญิสาว
นี่คือพลังของราคะ ความหลงใหล
ย่อมกินเวลาอยู่เพียงสองสามปี
เมื่อได้ครอบครอง เชยชมจนถึงที่สุดแล้ว
ย่อมพบกับความเบื่อหน่ายเป็นธรรมชาติ
หญิงสาว ก็มักหลงใหลในหน้าที่การงาน
และความเก่งกาจของชายหนุ่ม
พลังของตัณหา ราคะ จะดึงดูดได้ไม่นาน
หากไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ของตน
ไปสู่ความเมตตาได้
ถึงจุดหนึ่ง ความเบื่อหน่ายย่อมถือกำเนิด
คู่รักหลายคู่หมดความปรารถนาในกันและกัน
เหตุผลที่ยังอยู่ร่วมกัน ก็เพียงเพราะความกลัว
และความเคยชินเท่านั้นเอง
4. ชีวิตคู่ที่แท้จริง..
จะต้องพัฒนาไปให้ไกลกว่าคำว่า สามีภรรยา
พัฒนาไปให้สูงกว่าความต้องการทางเพศ
และเรื่องปากท้อง
คู่รักควรเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน
ต้องใช้ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
มองข้ามรูปร่างหน้าตาภายนอก
สถานภาพ ไปสู่จิตใจ
คนทั้งคู่ย่อมมีส่วนสำคัญ
ที่จะผลักดันกันและกัน ให้มีชีวิตที่งดงามยิ่งๆขึ้น
เป็นผู้ประคับประคองกันและกัน
ไปสู่ความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม
5. ความเมตตา ..
เปรียบเหมือนชื่อจริงของความรัก
สองสิ่งนี้คือความรู้สึกเดียวกัน เป็นอันเดียวกัน
เมตตาคือความเข้าใจ ให้อภัย ดูแล ปกป้อง
เสียสละความสุขและประโยชน์ส่วนตัว
ไม่ว่าฐานะใด คุณสมบัติแห่งรักย่อมไม่ต่างกัน
รักธรรมชาติ..เสียสละ ดูแล ปกป้องธรรมชาติ
รักลูก.. เสียสละ ดูแล ปกป้องลูก
รักหน้าที่ .. เสียสละ ดูแล ปกป้องหน้าที่
รักเพื่อนมนุษย์.. เสียสละ ดูแลปกป้อง
เพื่อนมนุษย์
เช่นนี้แล้วจงอย่าสับสน
อย่าไปแยกย่อยอีกเลยว่า
นี่คือความรักแบบหนุ่มสาว
หรือนี่คือความรักของพ่อแม่
ทุกวันนี้คนสับสนกันมาก
รักหนุ่มสาวนำมาซึ่งความทุกข์
ที่จริงน่าจะพูดให้ถูกต้องว่า
ตัณหา ราคะ นำมาซึ่งความทุกข์
คนในสังคมย่อมหาเรื่องปนเปว่า
หลงคือรัก ตัณหาก็คือรัก ราคะก็คือรัก
เราควรทำความเข้าใจในความหมาย
ของคำว่ารัก ให้ถูกต้องกันเสียที
6. แม้รักที่เริ่มต้นด้วยตัณหา
ก็พัฒนาไปเป็นรักด้วยเมตตาได้
ในทางกลับกัน รักที่เริ่มด้วยเมตตา
หากไม่ดูแลรักษาจิตใจของตนให้ดี
ปล่อยให้กิเลสครอบงำ
รักที่เคยมีเมตตาเป็นพื้นฐาน
ก็อาจถอยหลังลงคลอง
กลายเป็นรักที่ดำเนินด้วยความเห็นแก่ตัวได้
จิตใจของคนเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ไม่เคยคงที่ ทำให้รักมีสภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ ได้
7. ผู้พัฒนาจิตใจมาดีแล้ว
ย่อมมีโอกาสรู้สึกเมตตาผู้อื่นได้มากกว่า
บุคคลกิเลสหนา
บางครั้งการแสดงออกหลายอย่าง
ก็สวนทางกับจิตใจ เช่นเราดีกับเขา
บางครั้งเราอาจไม่ได้หวังดีกับเขาอย่างแท้จริง
เป็นเพียงต้องการให้เขามีใจให้
ต้องการใช้ความดีเพื่อแลกความรู้สึกดี
ความสัมพันธ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นกับหนุ่มสาว
ในช่วงคบกันใหม่ ๆ
ต้องใช้เวลาสักพัก กว่าความจริงจะปรากฏ
ในช่วงเวลาที่เรียกกันว่า ตกหลุมรัก
หรือดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์
ไม่อาจการันตีได้ว่า
รักนั้นจะเป็นรักอันเกิดจากความเมตตา
รักแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์ วัน เวลา
สถานการณ์ร้ายดี จะเป็นสิ่งชี้วัดตัดสิน
8. เราใช้คำว่า ชีวิตคู่ก็จริง
แต่การที่คน ๆ หนึ่ง จะพบกับความเมตตา
เป็นเรื่องเฉพาะตัว
เช่นผู้ชายคนหนึ่ง อาจหลงใหล
ในรูปร่างหน้าตาของหญิงสาว
ขณะที่หญิงสาวไม่ได้สนใจหน้าที่การงาน
หรือรูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มเลย
เพียงต้องการให้ชายหนุ่มที่ตนคบหา
มีความสุข มีชีวิตที่ดี
ในความสัมพันธ์ครั้งนี้
หญิงสาวคือผู้ได้พบรักแท้
ส่วนชายหนุ่ม มีความต้องการในรสเพศเท่านั้น
เราจะเห็นได้ว่า รักแท้ พบได้ที่ใจเรา
คำว่าตามหารักแท้จึงไม่มีอยู่จริง
รักแท้ ย่อมเกิดที่ใจของผู้มีความรัก
ไม่จำเป็นต้องออกไปตามหา
ผู้ให้ความรัก ให้ความเมตตาเท่านั้น
จึงพบกับรักแท้ได้
9. การมีรักแท้มิใช่อื่นใด
นอกจากการขัดเกลาตนเอง
หนทางกระทำให้รักแท้ปรากฏ
คือหนทางเดียวกับการปฏิบัติธรรม
เมื่อเราเป็นธรรมกับผู้ใด
เท่ากับเรากำลังมอบรักแท้ให้บุคคลผู้นั้น
เราจึงเรียกคู่รักในลักษณะนี้ว่า "คู่บุญ"
บุญแปลว่า ชำระกิเลส
หรือชำระสิ่งรุมร้อนให้เกิดความเย็นใจ
คู่บุญคืออยู่ด้วยกันแล้วเย็นใจ
ถ้าฝ่ายหนึ่งร้อน
อีกฝ่ายต้องชำระความร้อนให้กลายเป็นเย็น
มิใช่หยิบยื่นเปลวไฟให้กันและกัน
10. คำว่ารัก มักถูกใช้ไปในทางที่ผิด
ผิดที่ผิดทาง ผิดสภาวะ ผิดกาลเทศะ
เพลงอกหัก กลับถูกผู้คนเรียกว่าเพลงรัก
อาการอกหัก เกิดจากพลังราคะ และตัณหา
มิใช่พลังแห่งความเมตตาเลยสักนิด
เมื่อความสัมพันธ์ประกอบด้วยเมตตา
อิสรภาพในกันและกัน ย่อมถือกำเนิด
คู่รักย่อมเหมือนนกกับท้องฟ้า
เคียงคู่ใกล้ชิดโดยไร้เงื่อนไข
ไร้พันธะ ไร้สัญญา
นกกับท้องฟ้ามิเคยจัดงานแต่งงานสักครั้ง
เป็นความสัมพันธ์ที่มิได้ถูกตีตรา
หรือพันธนาการด้วยตัวบทกฎหมาย
ทว่า กลับใกล้ชิดแนบแน่น มั่นคง
รักแท้คือแสงสว่าง
คือพื้นที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
โลกนี้ประกอบด้วยมนุษย์ชายหญิงนับพันล้าน
คู่รักบนโลกมีมากมายดุจเม็ดทรายบนผืนดิน
นานๆ ครั้ง จึงเห็นว่ามีคู่รักสักคู่ เดินทางไกล
ข้ามผ่านคำว่า สามีภรรยา
สู่คำว่า กัลยาณมิตร ได้สำเร็จ
.
.
ใครก็ตามอ่านถ้อยคำของข้าพเจ้ามาถึงตรงนี้
ข้าพเจ้าขอเชิญชวนให้ท่าน
ประกาศความหมายที่แท้จริง
ของคำว่ารักต่อโลก
อย่าให้ชาวโลกได้เข้าใจ
ความรักผิดอีกต่อไปเลย
แม้ว่าท่านยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว
ข้าพเจ้าขออวยพรให้ท่าน
ได้เป็นกัลยาณมิตรของใครสักคน
หากเขามิได้มอบความเป็นกัลยาณมิตร
ให้ท่านกลับมา ก็อย่าได้เสียใจไปเลย
เพราะรักแท้ยังอยู่กับท่านเสมอ
รักแท้ได้มอบน้ำตาแห่งความปีติ
เพื่อชุบชโลมชีวิตของท่าน
ท่านเติบโตผ่านความรัก
ท่านกลายเป็นความรัก
ท่านคือความงดงามที่สุดของโลกใบนี้…
Cr : อาจารย์ พศิน อินทรวงค์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in