สวัสดีอีกครั้งนะคะทุกคนนน? ขอบคุณที่คลิกเข้ามาอ่านกันค่ะ ยินดีต้อนรับสู่โพสที่2ของเราา
เนื้อหาวันนี้จะค่อนข้างมีความวิชาการ ภาษาศาสตร์จ๋าหน่อยนะคะ
แต่รับรองสนุกและน่าสนใจแน่นอน (คิดว่านะคะ555555)
ถึงตอนเรียนบางทีสมองเราจะคิดตามไม่ค่อยทัน แต่ก็รู้สึกว้าวซ่ากับเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ? 555555
มาเข้าสู่เนื้อหากันเลยดีกว่าค่ะ! ! !
Second language acquisition (SLA) หรือ " ทฤษฎีการได้มาซึ่งภาษาที่สอง "
โดยปกติแล้ว หากคิดตามหลักภาษาศาสตร์ การเรียนเพื่อให้ได้มาซึ่งภาษาที่ 2 ก็มักจะต้องมีเรื่องเกี่ยวโยงเกี่ยวกับปัจจัยอย่างภาษาแม่ของผู้เรียนกับภาษาเป้าหมายใช่มั้ยคะ
แน่นอนว่าสำหรับวงการวิชาการที่กว้างใหญ่และมักมีแนวคิดทฤษฎีใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอนั้น
แนวคิดต่างๆในด้านวิชาการก็จะแตกต่างกันไปตามนักวิชาการค่ะ
ซึ่งแนวคิดที่อาจารย์นำมาสอนเป็นของ Selinker ค่ะ
→ การใช้ภาษาผิดคล้ายๆกันของผู้เรียนที่มีภาษาแม่ต่างกัน เป็นเพราะมีระบบภาษาบางอย่างร่วมกันที่ไม่ได้มีผลมาจากภาษาแม่ของตน
Selinker ถือว่าเป็นคนแรกเลยนะคะที่บอกว่ากฎของเรียนภาษานั้นไม่ได้ยึดติดที่ภาษาต้นทางและปลายทางเพียงอย่างเดียว แต่มีกฎที่แยกออกมาด้วย
ดังนั้น เราจะไม่ได้แค่ศึกษาปัจจัยแค่ของจุดเริ่มต้นและเป้าหมาย แต่เป็นการศึกษาระหว่างทางด้วยค่ะ
อธิบายง่ายๆก็คงจะเหมือน ระดับเลเวลความสามารถภาษาที่2 ค่ะ
ทุกคนลองคิดภาพเป็นเกมส์เก็บเวลทั่วไปก็ได้ค่ะ สิ่งนี้ก็คล้ายๆกับหลอดค่าความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ตลอดมีความต่อเนื่อง ถ้าฝึกฝนมากก็ยิ่งเอียงไปทางค่าเป้าหมายมาก แต่ถ้าไม่ได้ใช้ ห่างหายจากมันไปนานๆๆก็อาจจะลดถดถอยลงได้เช่นกันค่ะ
เช่น
?แนวคิดนี้จึงจะศึกษาโดยให้ความสนใจทั้ง ข้อผิดพลาด(error) และ การใช้
พอจะเข้าใจ SLA กันมากขึ้นรึเปล่า55555
หลังจากทำความรู้จักกับ SLA กันไปพอหอมปากหอมคอแล้ว....
เรามาต่อที่เรื่องหลักของเรากันดีกว่าค่ะ ! !
ตอนแรกที่เห็นชื่อเรื่องเรางงมากเลยค่ะ555
ภาษาเนี่ยมันมีอะไรเด่นเหรอ แล้วไม่เด่นนี้คืออะไร จืด ไม่ปังเหรอ งง555 ?
ทุกคนสงสัยเหมือนเรามั้ยคะ? เริ่มอยากรู้แล้วใช่ม้าาา (แกล้งๆก็ยังดีค่ะ555)
แต่!!
ก่อนจะเริ่มอธิบายจริงจัง เรามาลองเล่นเกมส์กันหน่อยดีกว่า?
ทุกคนลองอ่านบทความด้านล่างและคิดคำตอบของตัวเองดูนะคะ?
Ans : แม่ของเด็กผู้ชายนั้นเองงง ปิ๊งป๊องงง~~ ตอบถูกกันมั้ยคะ55
หลายๆคนที่อ่านอาจจะรู้สึกงงๆในตอนแรกใช่มั้ยคะ เอ้ะ มีพ่อ 2 คนเหรอ อะไรประมาณนั้น
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันนะ?
ปิ๊งป๊อง~!
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าโดยปกติแล้วพอเราพูดหรือได้ยินคำว่า "หมอ" โดยเฉพาะหมอผ่าตัด เรามักจะนึกถึงคุณหมอที่เป็นผู้ชายนั่นเองค่ะ คล้ายๆกับการที่เมื่อเราได้ยินคำว่า "พยาบาล" ก็จะคิดว่าเป็นผู้หญิง ซึ่งภาพจำหรือภาพลักษณ์ที่เรามีร่วมกันในสังคมโดยไม่ต้องพูดระบุเสริมใดๆเหล่านี้ในทางภาษาศาสตร์จะเรียกว่า “ ลักษณะไม่เด่น (unmarked) ” ค่ะ
เล่นเองตอบเองบางทีก็เขินเหมือนกันนะคะเนี่ย55555555
? ความไม่เด่น (unmarked) :
ลักษณะทั่วไป ปกติ defaultในหัวของเรา
? ความเด่น (marked) :
สิ่งที่ตรงกันข้ามกับ marked ไม่ปกติทั่วไป จำเป็นต้องมีการเน้นหรือเปลี่ยนแปลงเพื่อแสดงออกถึงความแตกต่าง
ตัวอย่าง
แพทย์ = ผู้ชาย (unmarked) แพทย์หญิง = ผู้หญิง (marked)
พยาบาล = ผู้หญิง (unmarked) บุรุษพยาบาล = ผู้ชาย (marked)
→ จะเห็นว่ามีการเพิ่มคำว่า “หญิง” และ “บุรุษ” ขึ้นมาเพื่อแสดงถึงความแตกต่างจากลักษณะปกติ
walk = เดิน ทั่วไป (unmarked) walked = เดิน เน้นความเป็นอดีต (marked)
Dog = สุนัข เอกพจน์ (unmarked) Dogs = สุนัขหลายตัว พหูพจน์ (marked)
「さしすせそ」「sa・shi・su・se・so」เสียงし มีเสียงต่างจากตัวอื่น (marked)
ทุกคนพอเห็นภาพขึ้นมั้ยคะ? 55555
หวังว่าทุกคนจะชอบเนื้อหาครั้งนี้กันนะคะ ?
ถ้ามีขอผิดพลาดหรือข้อมูลไม่ถูกต้องยังไง สามารถบอกกล่าวกันได้นะคะ?
อ้ะๆ !! แต่ว่าเนื้อหาที่จะนำมาแชร์ไม่ได้จบลงแค่นี้หรอกนะคะ
ลักษณะเด่นและไม่เด่นนี้ยังแปรผันเปลี่ยนแปลงไปตามสังคมและยุคสมัยด้วยค่ะ!! ?
ดังนั้นในแต่ละภาษา อย่างเช่นภาษาไทยกับภาษาญี่ปุ่นแม้จะมีคำที่แปลตรงกัน แต่เซ้นส์ของของสิ่งนั้นอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้นั่นเองค่ะ
ถ้าสนใจอยากอ่านเพิ่มเติม รออ่านในโพสหน้าได้เลยค่าา?
- CLINOMANIAC -
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in