หลังจากที่ส่งกระดาษให้กับครูเสร็จแล้วก็สามารถแยกตัวออกมากจากห้องได้ ผมเข้าไปลาเบสและรินเพราะเรากลับคนละทางกัน ป้องเดินมาคว้าแขนผมเอาไว้
“เดี๋ยวสิพี่ ผมบอกแล้วไงว่าผมกักบริเวณพี่” ความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ “งั้นจะเอาไงก็ว่ามา” ผมยืนจ้องหน้ากลับไป “ไปช่วยงานชมรมผมก่อนละกัน งานเบาๆ แล้วผมจะไม่รายงานครูเรื่องพี่โดดวันนี้” ผมเบ้ปาก “ในสมุดที่หัวหน้าห้องถือมันก็ลงชื่อคนขาดไว้อยู่แล้ว รายงานหรือไม่มันก็ถึงห้องปกครองอยู่ดี” ผมรีบค้าน
“โอ๊ะ... ฉลาดเหมือนกันนี่ พี่นี่ไม่ค่อยกลัวคำขู่เลยนะ” เพราะที่โรงเรียนเป็นตารางแบบเดินเรียน การเชคชื่อแบบดับเบิ้ลเชคจากฝ่ายปกครองจึงเกิดขึ้นด้วยสมุดรายงานว่า ในคาบนั้นมีใครขาดลาหรือมาสาย หัวหน้าห้องต้องเป็นคนไปรับและส่งที่ห้องปกครองเช้าเย็นทุกวัน วันไหนเชิญผู้ปกครองมาก็จะมีหลักฐานยันกันให้แก้ตัวไม่ได้เลยล่ะ
“แต่เย็นนี้พี่ช่วยอะไรป้องไม่ได้หรอก เล่นไม่บอกกันไว้ก่อน”
“ธุรกิจรัดตัวจนต้องนัดก่อนเลยเหรอพี่” ป้องถามกลับด้วยน้ำเสียงกลั้นขำแต่ผมก็จับสังเกตได้
“ก็ถ้าพ่อกับแม่พี่เห็นว่ากลับบ้านช้าไป คงได้โดนด่าจนหูชาแน่ๆ” ผมแกล้งบอกไปทั้งๆ ที่มันไม่ใกล้แม้แต่เสี้ยวความจริงเลยแม้แต่น้อย “ผมว่าตอนเชิญผู้ปกครองมาหูกางๆ ของพี่นี่คงตะคริวกินแน่” ไอ้นี่ล้อเล่นกับหูกางๆ ของผมอย่างไม่มีความยำเกรงในอาวุโสกันเลย
“งั้นเดี๋ยวผมบอกพ่อแม่พี่ให้ก็ได้ว่าพี่ต้องช่วยงานโรงเรียน” ป้องพยายามเสนอหนทาง ดูท่าทางอยากจะเอาผมไว้ช่วยงาน หรือกำลังหาทางเพื่อแกล้งผม
“ถ้าแบบนั้นก็ต้องทำหนังสือขออนุญาตให้เป็นเรื่องราวสิ” ผมยังไม่ยอมง่ายๆ ป้องยิ้มพร้อมด้วยแวตาที่เหนือกว่า ราวกับว่าสิ่งที่กำลังจะพูดออกมานั้นจะทำให้การประชันกันรอบนี้มีตนเองเป็นผู้ชนะ
“ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะได้เขียนสาเหตุลงไปด้วย อ้า... ไม่ต้องห่วง ผมส่งพร้อมกันทั้งพี่ทั้งจดหมายเย็นนี้เลย” ผมจ้องหน้าอีกฝ่ายอ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่ออกมา “ว่าไงครับ ไม่ต้องกลับเองด้วย” ผมพ่นลมหายใจอย่างแรงยอมรับความพ่ายแพ้ในสนามแรก
“ก็ได้ ต้องทำอะไรก็ว่ามา” ป้องยื่นมือมาหยิบสายรัดหนังสือของผมไปถือ “ห้องชมรมใหม่กำลังต้องการคนเก็บกวาดพอดี” ผมก็สงสัย ชมรมอะไร ชมรมขนหัวลุกเหรอ ปกติที่โรงเรียนนี้มีห้องสำหรับชมรมจำกัดอยู่แล้ว การจะเปิดชมรมใหม่ไม่ง่ายแน่นอน “ชมรมวิ่งเหรอ” ผมถาม เพราะป้องเป็นนักกีฬาวิ่งของโรงเรียน
“ไม่ครับ ชมรมวิทยาศาสตร์” ป้องตอบสั้นๆ ผมนึกในใจ โอ้... หนทางสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการที่ท่านรองผอ.แสดงวิสัยทัศน์นั่นเอง “ปีที่แล้วไม่รู้ใครไปแอบเอาของในห้องไปใช้ทำระเบิดตด วุ่นวายกันใหญ่เลย ปีนี้เลยต้องมาจัดห้องจัดระบบใหม่” นั่นสิ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ใครมันช่างเก่งกล้าสามารถขนาดนั้น
“ว่าแต่ ป้องอยู่ชมรมวิทย์เหรอ” ผมถามให้แน่ใจว่าชมรมใหม่ที่ผมเองชักจะสนใจไม่ควรมีผู้ชายที่จ้องจะควบคุมผมอยู่ด้วย “ป่าวหรอกครับ แค่มาช่วยตั้งชมรมเฉยๆ ลำพังแค่เป็นนักวิ่งก็แย่แล้ว ถึงแม่จะอยากให้มาทางนี้มากกว่าก็เถอะ” ผมถอนใจโล่งอก “ไม่ต้องโล่งใจเลย ก่อนจะเอาเวลามาเข้าชมรมผมจะให้พี่เอาเวลาไปตั้งใจเรียนแทนดีกว่า” ผมกลอกตาอย่างเซ็งๆ
ป้องเดินนำมาจนถึงห้องเรียนชั้นล่างของอาคารสอง มันเป็นตึกที่ยกสูงขึ้นไปจากพื้น มีบันไดกว้างให้ขึ้นได้จากทั้งด้านข้างและด้านหน้าอาคาร ชั้นล่างเป็นลานโล่งสำหรับกิจกรรมต่างๆ มีห้องขนาดใหญ่สองห้อง อยู่คนละฝั่งบันได เดิมใช้เป็นห้องเรียนซึ่งรหัสของห้องคือ 211 และ 212 ตอนนี้บรรดาภารโรงกับนักเรียนบางส่วนขนย้ายเก้าอี้เล็กเชอร์ออกไปจากห้องจนหมดแล้ว เมื่อผมเดินเข้าไปยังห้องฝั่งซ้ายมือก็พบกับโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สี่โต๊ะ ตั้งที่กลางห้อง ถูกวางเอาไว้ด้วยลังอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ นอกจากจะใช้เป็นชมรมแล้วยังจะใช้เป็นห้องเรียนแล็บวิทยาศาสตร์เต็มรูปแบบอีกด้วย ว่าไปแล้วก็น่าตื่นเต้นเหมือนเด็กเห็นของเล่นใหม่
“ว่าแต่มีแค่เราสองคนเองเหรอที่มาจัดของ” ผมมองหาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในห้องบ้างเผื่อจะมีอะไรให้คุยมากกว่าการที่จะต้องอยู่กับป้องเพียงลำพัง “กลัวที่จะอยู่กับผมสองคนงั้นเหรอ” ป้องหันมาจ้องหน้าผม “ของแบบนี้กลัวที่ไหนล่ะ” แม้จะทำปากดี แต่ผมก็ไม่กล้าสบตา “เดี๋ยวก็มากันเองครับ เราเอาของออกจากลังกันก่อนเถอะ” ป้องเริ่มจากลังที่โต๊ะแรกที่เป็นกลุ่มพวกของเบาๆ อย่างวัสดุสิ้นเปลืองออกมาจัดหมวดหมู่กันเพื่อแยกเก็บให้ตรงกลุ่ม ส่วนพวกอุปกรณ์หนักๆ แพงๆ อยู่อีกโต๊ะ ไว้รอให้พวกที่มีมันสมองพร้อมด้วยกล้ามเนื้อมาช่วยจัดการจะดีกว่า
ไม่นานนัก เด็กหนุ่มอีกคนก็โผล่เข้ามาในห้องพร้อมกับลังใส่ขวดบรรจุสารเคมีสำหรับการทดลองที่ถูกห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อย่างหนาไม่ให้กระแทกกัน “อ้าว... พี่วิว ยกลงมาเองคนเดียวได้ไงพี่ หนักจะตาย” ป้องหันไปทักทายอย่างสนิทสนม วิวไม่ได้มีท่าทางเป็นเด็กเรียนเนิร์ดๆ ที่เหมาะจะเข้ามาอยู่ในห้องชมรมวิทย์เหมือนกับในการ์ตูนที่ลักษณะภายนอกจะบ่งบอกถึงบุคลิคภายในอย่างที่หลายคนคิด
วิว น่าจะเป็นพี่ผม แต่ไม่รู้ด้วยปัญหาอะไร แกย้ายโรงเรียนมาทำให้แกต้องมาเรียนซ้ำชั้นม.ห้าอีกครั้ง แต่คนละห้องกับผม “ก็มันไม่มีใครอยากแบกลงมาอะ มันกลัวระเบิดตด” ผมสำลักน้ำลายในทันทีที่วิวพูดถึงระเบิดตด “ไม่รู้กลัวอะไรนักหนา แค่บอกว่าให้ระวังสารพวกนี้ กลิ่นมันเหมือนถุงตด” ป้องหัวเราะ แล้วรีบอธิบายให้เข้าใจ
“ปีที่แล้วมีคนเอาของในนี้มาทำระเบิดตดอะพี่ วุ่นวายกันใหญ่เลย ตึกสามชั้นสี่อะ เรียนไม่ได้กันเป็นวันๆ เลยพี่ เด็กทุกคนแม่งต้องเดินไปลองดมสักครั้งอะว่ากลิ่นมันเป็นไง” วิวทำท่าทางทึ่งระคนประทับใจ “แม่งเจ๋งอะ โรงเรียนนี้มีคนเก่งๆ แบบนี้ด้วย น่าจับมาเข้าชมรม คงสนุกพิลึก” น้ำเสียงของวิวดูชื่นชมมากกว่าจะตำหนิ “ไม่ไหวล่ะพี่ เจอคนดื้อๆ แบบนี้ เหนื่อยตายอะ อยู่เงียบๆ ไม่เป็นกันรึไงก็ไม่รู้” ป้องคัดค้าน แต่ดูเหมือนวิวจะพึ่งสังเกตเห็นว่ามีผมอยู่ในห้องด้วยอาการเงียบผิดปกติ จึงเอ่ยทักทายขึ้นมา
“อ้าว... นั่นต๊อบห้องเจ็ดนี่ มาเข้าชมรมเหรอ” วิวถามด้วยน้ำเสียงสดใส แต่ป้องรีบปัดเร็วไวสมชื่อ “อย่าเลยพี่ ผมเอามากักบริเวณ คนดื้อๆ แบบนั้นไม่เหมาะหรอก” ผมรู้สึกหงุดหงิดกับการรีบตัดสินของป้องมากจนวิวเห็นได้ชัด วิวจึงพยายามช่วยพลิกสถาณการณ์ด้วยการพูดว่า “ความดื้อรั้นนี่แล่ะเป็นคุณสมบัติที่ดีของนักวิทยาศาสตร์เลยนะ ดูอย่างกาลิเลโอสิ” นั่นทำให้ผมหงุดหงิดไปกันใหญ่กว่าเดิม
“ใช่... ดื้อจนศาสนจักรจับไปขังหลายสิบปี กว่าจะมายอมรับว่าตัวเองผิดกาลิเลโอก้ไปพบพระเจ้าแล้ว” วิวหน้าเสียเมื่อผมตอบกลับ มันเป็นแค่ปฏิกิริยาตอบรับอัตโนมัติของผมเท่านั้นแล่ะ “ยกใครไม่ยก มายกกาลิเลโอ” ผมสวนกลับ วิวเหมือนจะตั้งสติได้ “ทำไมล่ะ หรือจะเป็น ชาลส์ ดาร์วิน หรือ อัลเบิต ไอสไตน์ กาลิเลโอนี่ เป็นจุดเริ่มต้นของการค้านว่าโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาลเลยนะ” วิวก็ตอบกลับมาทันควัน หัวไวไม่แพ้กัน
“ใช่ แค่จบไม่สวย”
“ก็ไม่ได้บอกว่าจะให้เป็นกาลิเลโอซะหน่อย นักวิทย์ จบสวยๆ ก็มีอย่าง โทมัส เอดิสันไง รวย คนจำได้ว่าประดิษฐ์หลอดไฟ” มาถึงตรงนี้ทีท่าว่าจะยาวไม่จบ
“เอดิสันไม่ได้ทำหลอดไฟ เค้าแค่ทำให้หลอดไฟมันใช้งานตามบ้านได้ง่ายขึ้น อายุการใช้งานยาวนานขึ้น แถมยังเป็นนักประดิษฐ์ที่มีหัวการค้าสัสๆ แต่เราก็ไม่อยากเป็นแบบเค้าหรอก มาโดนขุดคุ้ยหลังตายว่าไปเอางานคนอื่นมาจดสิทธิบัตรเพียบเลย” นาทีนี้ดูเหมือนป้องจะอ้าปากค้างอยู่กับการโต้วาทีของผมกับวิว “นิโคลา เทสล่า สิของจริง แต่ชีวิตน่าสงสาร แต่ช่างเถอะ จะนักวิทย์คนไหนก็ไม่อยากเป็นทั้งนั้นแล่ะ” ผมตัดบทไป วิวมองมาที่ผมด้วยสายตายากจะคาดเดา “ป้องแกไปขุดเด็กคนนี้มาจากไหนเนี่ย ไม่ธรรมดา” ป้องคงกำลังนึกคำพูดอยู่สักอย่าง “ก็ แถวๆ กำแพงโรงเรียนนั่นแล่ะพี่ เถียงเก่งไม่ธรรมดาจริงๆ” ป้องสำทับ แต่วิวส่ายหน้า “ป้อง เด็กในชมรมนี้กี่คนจะรู้จักนิโคลา เทสลา กับรู้จักว่าเอดิสันไม่ใช่คนแรกที่ทำหลอดไฟ” มาถึงตรงนี้ผมรู้สึกร้อนวูบๆ ที่หน้าขึ้นมาหน่อย เหมือนกับกำลังถูกชม “เอ่อ... นั่นสิ เอดิสันนี่ผมรู้ แต่นิโคลนี่ ใครอะ” ป้องถาม ผมกับวิวตะโกนพร้อมกัน “นิโคลา เทสลา!!!” วิวรีบตอกกลับด้วยความหงุดหงิดที่ท่าทางว่านักวิทยาศาสตร์นักประดิษฐ์คนสำคัญกลับถูกหลงลืมไป “ไม่ใช่นิโคล เทริโอ นะ” ถ้ามสมมติผมพกกระเป๋านักเรียนมาด้วย ม้วนเทปนิโคล เทริโอ กะโปโลคลับ ของผมคงสั่นระริก
“ป้องเล่น Red Alert ป่าว” ผมถาม ป้องพยักหน้า “เล่นสิพี่ ทำไมเหรอ”
“ก็หอคอยของโซเวียตไง ที่ช็อตไฟอะ นั่นล่ะ หอคอยไฟฟ้าของ เทสลา รูปร่างก็แบบในเกมนั่นแล่ะ แต่จริงๆ เค้าไม่ได้ประดิษฐ์มาใช้เป็นอาวุธหรอก เทสลาอยากทำให้ไฟฟ้าส่งได้แบบไร้สายมากกว่า” ถึงตรงนี้ป้องดูอึ้งๆ ไปกับความรู้ของผม
“ถึงได้บอกไง ไอ้ดื้อๆ เถียงฉอดๆ นี่แม่งเจ๋งอะ จะไม่แปลกใจเลยถ้ามันเป็นคนทำระเบิดตด” ผมถึงกับต้องรีบเฉไฉไปเรื่องอื่นทันที “ก็แค่อ่านหนังสือเยอะ ว่าแต่ ยังมีของต้องย้ายอีกมั้ย จะไปช่วยขน” ผมทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก็โดนคว้าแขวนเอาไว้ “เดี๋ยวพี่ ช่วยจัดของที่พี่วิวเอาลงมาก่อนดิ ของข้างบน ผมแบกเอง” ผมยักใหล่ โอเคตามนั้น
วิวหันมายิ้มให้ ผมยิ้มตอบ นานๆ เจอคนรู้เรื่องเดียวกันได้บ้างมันก็สนุกดีเหมือนกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in