ม้านั่งหินอ่อนยามเช้าเต็มไปด้วยนักเรียนที่ตารางเรียนคาบแรกไม่ได้ใช้ห้อง ปัญหาของโรงเรียนมัธยมเล็กๆที่เริ่มทำตลาดเรียกนักเรียนมาเรียนได้เกินห้องที่มีอยู่ก็เกิดขึ้น วิธีแก้ปัญหาคือใช้ตารางเดินเรียนสลับห้องเอา
ห้องของเราตอนเช้าเรียนวิชาพละในโรงยิม ความสนุกสนานมันอยู่ตรงที่พวกนักเรียนต้องบริหารจัดการทรัพยากรในกระเป๋าเรียนแต่ละวันให้พอดี เพราะทั้งใบงานและหนังสือเรียนแปดคาบนั่นอาจจะล้นได้ ผมแก้ปัญหายังไงเหรอเอามาเฉพาะวิชาที่อยากเข้าเรียนก็พอแล้วล่ะ วิธีการแก้ปัญหาก็คือการหาซื้อสายรัดหนังสือมาใช้มันเอาไว้ใช้รัดสมุดแล้วหิ้วด้วยมือ แต่หลายๆ คนเลือกที่จะไม่เอาหนังสือมาและหาหยิบยืมจากเพื่อนต่างห้องเอาก็มี
การเดินเรียนแบบนี้สนุกมากเรามีเวลาเปลี่ยนคาบห้าถึงสิบนาทีเสมอ ระหว่างเดินได้พบเจอเพื่อนต่างห้องหรือรุ่นพี่บางทีเราก็แอบเหล่แอบมองคนหล่อๆ จากห้องอื่นได้ด้วย
“เมื่อวานมึงไปไหนมา” อ้าว.... เอาล่ะสิ ยังไม่ทันวางกระเป๋าเลย นี่ม้านั่งประจำของกลุ่มผม เจ้าตัวโตเสียงเข้ม นั่งเอาเท้าพาดบนโต๊ะในปากคาบขนมปังที่ซื้อมาจากหน้าโรงเรียนมืออีกข้างถือนมกล่องอยู่
“ก็ไม่ได้ไปไหนนะอยู่ในโรงเรียนนี่แล่ะ” ผมวางกระเป๋าลงบนม้านั่งหินอ่อน นั่งลงเอนหลังพิงพนัก ยืดแขนบิดขี้เกียจ ล้าจากการยืนเบียดเสียดบนรถสองแถวยามเช้า
“ตลก... กูกลับมาไม่เจอมึง”
“เหอะๆเอาล่ะ ไม่โกหกก็ได้ ก็ไปร้านเดิมแล่ะ อยู่ในนี้มันเซ็งนี่นา” ผมทำเสียงอ้อนๆเจ้าพีคพึมพำๆ ว่าก็แค่นั้น มันเอาเท้าลง ยัดขนมปังคำสุดท้ายเข้าปากเคี้ยว แล้วขยับมานั่งม้านั่งตัวเดียวกับผม
“ดูให้หน่อยปากเปื้อนป่าว” ผมเอื้อมมือไปหยิบเศษขนมปังให้ด้วยความเคยชิน“กินเลอะเป็นเด็กเลยเน่อ ตัวก็โตยังกับควายแล้ว”
เสียงกระเป๋ากระแทกหัวผมดังปั่กผมอุทานด้วยความตกใจ หันไปมองก็เป็นเจ้าเบสเพื่อนผมยืนยิ้มอยู่ข้างหลัง
“อีหอยเอ้ย...สวีทกันแต่เช้าเลยนะ” ตลก แค่นี้เรียกสวีทนะ แหม่... กับพวกมึงกูก็ทำแค่พวกมึงยังไม่เคยขอเท่านั้นแล่ะ
“สวีทเชี่ยไรก็พีคมันมองไม่เห็นนี่หว่า” ผมตอบชิลๆ เบสยักใหล่ วางกระเป๋าไว้ที่ม้านั่งข้างๆ ผมแล้วเดินไปหาเพื่อนอีกคนที่ร้านค้าสหกรณ์โรงเรียน พีคผิวปากเหม่อมองไปยังหน้าโรงเรียนที่คึกคักไปด้วยนักเรียนชั้นต่างๆอย่างสบายอารมณ์ ส่วนผมกำลังนั่งจมอยู่กับการบ้านวิชาเลขและกระดาษทดมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับวิชาที่ต้องมานั่งจำสูตรคำนวณแบบนี้
“หน้าย่นเป็นก้นลิงแล้วมึง” พีคเอามือมาขยุ้มหัวผมเป็นจังหวะ อ่ะ หนึ่ง สอง สาม อ่ะหนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สะ... “เฮ้...ทำไมผลักแรงๆ ขึ้นๆ เนี่ย” ผมหันไปโวยวาย เมื่อจังหวะหลังๆมันเพิ่มแรงผลักหัวผมแรงขึ้นเรื่อยๆ
“เผื่อสมองมึงใช้การได้มากขึ้นไง” ไอ้พีคหยิบปากกาไปจากมือผมแล้วลากเส้นสมการให้ดูเป็นตัวอย่างเหมือนที่เคยทำให้ดูก่อนหน้านี้ แต่มันไม่ยักกะเข้าหัวผมเลยแม้แต่นิดเดียว “เรียนไปไม่จำ มาเรียนทำไมวะ” มันบ่นผมก่อนจะลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเป้สะพายหลัง “ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำหรอกมึง เกินปัญญามึงขนาดนั้นน่ะ เสียเวลา” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของมันกระทบโสตประสาทผมจนผมต้องเหวี่ยงสมุดไล่มันไปให้พ้น มันหัวเราะชอบใจก่อนจะวิ่งออกไป
ผมกะจะใช้เวลาที่เหลือกับการบ้านในระหว่างนั่งรอเพื่อนอีกสองคนที่เดินกลับมาจากร้านค้าสหกรณ์ แต่ก็พลันถูกขัดจังหวะ
“พี่!!!”เสียงเข้มไม่คุ้นหูดังขึ้นข้างหลัง ผมเองมัวแต่เพ่งอยู่กับโจทย์ตรงหน้าพยายามนึกหาว่าสมการบ้าๆ นี่มันจะแก้ยังไงจนไม่ได้สนใจกับเสียงเรียกนั้น
“พี่!!!” เสียงเรียกดังขึ้นอีกระดับผมหันไปด้วยความหงุดหงิด อ้าปากตวาดกลับตอบรับอย่างรวดเร็ว “อะไรวะ” ก่อนจะอ้าปากค้างกับร่างของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า อั๊ยยะ!! ไอ้น้องบ้าเมื่อวานนี่หว่าตายห่าละ จะโดนมันต่อยปะเนี่ย นี่งแม่งต้องแค้นจนแทบจะเหยียบผมวันนี้เลยชัวร์ๆ “โห... ผมเรียกดีๆ นะพี่ ทำไมต้องตวาดด้วย” เสียงนั่นอ่อนลง แต่ใบหน้าที่ยังคงแสดงความหงุดหงิดนั่นไม่คลาย อีกฝ่ายเดินมานั่งข้างผมที่ตอนนี้กำลังเหงื่อตกด้วยกังวลว่าไม่รู้น้องจะมาไม้ไหน “โทษที พอดีพี่มัวแต่ทำการบ้านอยู่น่ะ” ผมตอบเสียงอ่อยๆหลบสายตากลับมาเพ่งที่สมุดโดยที่ไม่ได้รู้ความหมายอะไรๆ ในนั้นเลยแม้แต่น้อย “การบ้านมันทำที่บ้านนะพี่นี่มันจะเข้าแถวแล้ว” ผมหันไปมองหน้าป้อง
“ก็ทำที่บ้านมันไม่มีคนช่วยนี่”
“ที่นี่ผมก็เห็นพี่ทำคนเดียวนิ”
“แล้วนี่เกี่ยวไรด้วยเนี่ย”ผมค้อนกลับไป ป้องทำหน้าดุจ้องตาผมไม่ยอมละสายตา
“เมื่อวานพี่ทำผมแสบมากเลยนะ” อั๊ยยะ กูว่าแล้ว ผมพยายามจ้องกลับ ไม่ยอมแพ้ จะให้แพ้เด็กเมื่อวานซืนนี้ได้ยังไง “แสบอะไร” จังหวะนั้นเกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา “อะไร แค่จุ๊บนิดเดียวเองทำเป็นซีเรียสไปได้ จูบแรกเหรอ” ผมทำหน้าทะเล้นๆ ใส่แต่ไม่มีการตอบรับอะไรจากใบหน้านิ่งๆ นั่น ผมจ้องหน้าคมเข้มนั้นอยู่สักพักก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ เบือนหน้าหนีไปด้วยความเขิน “ผมไม่ได้คิดเรื่องนั้น เรื่องพี่โดดเรียน แถมยังหนีผมไปได้ตะหาก พี่ร้ายมากรู้เปล่า” เอี้ย...ใส่มาเป็นชุดเลย “แล้วที่พี่หนีเมื่อวาน ป้องโดนด่าเหรอ โดนลงโทษไรป่าว” ผมทำเสียงอ่อนลง ป้องทำสีหน้าดีขึ้นแต่ยังไม่มีทีท่าที่พอใจมากนัก “ไม่หรอกครับผมแค่เจ็บใจ” นั่นไงว่าละเชียว
“โด่... เราก็นึกว่าแค้นเพราะจูบแรกซะอีก” ผมแซวกลับขำๆ ที่อีกฝ่ายท่าทางไม่ขำด้วยเลยแม้แต่น้อย “ผมว่าพี่ซีเรียสเรื่องจูบผมมากเลยนะเนี่ย แค่ปากแตะปากผมไม่ถือว่าจูบหรอก” เจ้าป้องขยับมาใกล้ใบหน้าเริ่มชิดเข้ามา ผมจ้องตาคู่นั้นด้วยความประหม่าจนแทบลืมหายใจ “แล้วไอ้การบ้านพี่นี่มันกระจอกสัสเลยพี่ มานี่ผมสอน” จังหวะที่ผมกำลังคิดว่าเจ้าป้องนั่นจะทำจริงมั้ย มันก็หันไปคว้าปากกาจากมือผม
“นี่ขยับมาใกล้ๆ กว่านี้ดิ ผมสอนไม่ถนัดนะ” ผมกลอกตาบนรู้สึกอับอายกับตัวเองอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องให้เด็ก ม.สองมาสอนงานเด็ก ม.สาม แต่การบ้านชุดนั้นก็ผ่านไปก่อนที่ออดจะดังในเวลาไม่กี่นาที พร้อมกับที่มันก็มลายหายไปจากหัวผมได้ในเวลาที่รวดเร็วไม่แพ้กัน “เห็นมะพี่ ง่ายๆ แค่นี้เอง” เจ้าป้องยังหันมาย้ำ เออสิแม่มึงเป็นครูคณิตศาสตร์นี่ “ขอบใจนะ ไม่ต้องย้ำก็ได้ รู้แล้วว่าโง่ไม่ต้องบอก” ผมเผลอทำเสียง งอนๆ ใส่ ป้องยิ้มที่มุมปาก “แล้วตกลงที่มาเนี่ยจะมาช่วยพี่ทำการบ้านแค่นี้เหรอ”
“ป่าวครับ” เจ้าป้องไม่พูดอะไรต่อ ผมหงุดหงิดกับท่าทางที่พยายามปั่นหัวให้ผมสับสนจนพ่นลมหายใจแรงๆ “แค่จะมาบอกว่า ต่อไปพี่จะไม่ได้โดดเรียนง่ายๆ แบบนี้อีกแล้วล่ะ” ผมคงทำหน้าสงสัยชัดเจนไปหน่อยจนเจ้าป้องรีบเฉลย “หน้าที่ผมคือจับตาดูไม่ให้พี่หนีเรียน และถ้าพี่หนีเรียนอีก ผมจะ...” หน้าของป้องเปลี่ยนเป็นกวนๆ สายตาท้าทายจนผมเองชักหวั่นใจ “จะทำไรก็ทำเลยจ้า...” ผมสวนกลับ “ถ้าคิดว่าจะจับได้ก็ลองดูสิ” เสียงออดดังเป็นสัญญาณยุติศึก ผมรีบยัดสมุดเข้าไปในสายรัดแล้วถือกระเป๋าของเพื่อนตัวดีสองคนนั่นที่เดินมากันช้าเหลือเกินเพื่อไปเข้าแถวหน้าเสาธง ป้องยังคงนั่งทำเท่อยู่ที่โต๊ะหินอ่อน ทำสัญญาณมือจิ้มตาแล้วชี้มาที่ผมผมแลบลิ้นใส่ แล้วเดินไปที่แถวแบบไม่รอช้า
แม้ว่าผมจะถูกเตือนว่าโดนจับตามองแต่ก็อย่างที่ผมเป็น ไม่อยากเรียนก็คือไม่เรียน ไม่เรียนแล้วจะไปไหน ไม่มีอะไรให้ทำผมก็นั่งหลับฝันดีที่ห้องสมุดได้ไม่ใช่ว่าผมไม่เรียนแล้วจะโง่หรอกนะ เพียงแต่ผมคิดว่าความรู้ทั้งหมดทั้งมวลในห้องเรียนนี่มันไม่ได้มีพอกับความอยากรู้ของผม สิ่งที่ผมทำคือการค้นคว้าหาความรู้จากการอ่านหนังสือที่ไม่มีในห้องเรียน ส่วนหนังสือเรียนนั่นผมอ่านจนหมดตั้งแต่ก่อนจะเปิดเทอมด้วยซ้ำ แน่นอนว่าแทบไม่มีใครมองผมแบบนั้นเลย
คาบสุดท้ายของวันนี้เป็นโฮมรูมผมตัดสินใจเข้าไปนั่งเพื่อฟังการแจ้งข่าวสารของสัปดาห์เผื่อว่าจะมีแผนการอะไรสนุกๆ ให้ได้ทำบ้าง แม้ผมจะโดดเรียนบ้างแต่กับเพื่อนในห้องก็ยังถือว่าสนิทกันดีทุกคน ระหว่างเดินเข้าทางประตูหลังก็มีจรวดพับร่อนมาหาผมจากหน้าห้องผมเอื้อมมือไปรับไว้ได้อย่างพอดิบพอดี เห็นมีอะไรบางอย่างเขียนไว้ข้างในเลยเปิดดู “เตือนแล้วไม่ฟังกำลังหาเรื่องผมใช่มั้ยพี่” ถัดจากข้อความก็เป็นรูปการ์ตูนวาดง่ายๆ ลักษณะตาเหลือกแล้วมีมือที่บีบคอเอาไว้ให้อารมณ์เป็นจดหมายขู่ที่น่ารักไม่หยอกซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครส่งมา ผมมองหาเจ้าของจดหมาย ไอ้เด็กตัวสูงๆ นั่นยืนพิงกระดานอยู่หน้าห้อง จ้องมาทางผมด้วยสายตาที่ดุดัน ผมหันไปมองหน้าเจ้าเบสที่ยักไหล่ เหมือนกับเข้าใจเรื่องราวโดยที่ผมไม่ได้บอก
ป้องเดินมาจากหน้าห้อง ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ “สวัสดีน้องป้อง ตอนเย็นๆ นี่ไม่มีเรียนเหรอ” ผมส่งเสียงใสๆ ทักทายไป ป้องปฐยิ้มที่มุมปากอย่างมีนัยเอาเรื่องอยู่เล็กน้อย “คิดว่าไงดีพี่หนีเรียนตั้งแต่เตือนวันแรกเลยเนี่ย ผมควรทำยังไง” ผมส่งยิ้มกวนๆ คืนให้ “ก็ไม่เห็นต้องทำไรเลย พี่หนี ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับป้องไม่ใช่เหรอ” รอยยิ้มจากหน้าของป้องเป็นอะไรที่น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก นอกจากไอ้พีคแล้วก็มีไอ้เด็กคนนี้ที่ผมรู้สึกถึงรังสีอะไรบางอย่างที่น่าขนลุก “เกี่ยวสิพี่ พี่นี่แล่ะตัวดีเลย ถ้าเมื่อวานผมไม่ปล่อยพี่หนีไปได้ผมก็ไม่ต้องมาตามเฝ้าพี่หรอก” ท่าทางป้องโกรธและไม่พอใจผมมากด้วย อีกอย่างโดดเรียนไปกันสามคน ไหงหวยมาออกที่ผมคนเดียว “อาจารย์ให้ผมดูแลพี่ไม่ให้หนีเรียน อ้อ... แล้วผมมีสิทธิ์จัดการพี่ได้เต็มที่ด้วยนะ ถ้าพี่ดื้อ” ผมอ้าปากอุทธรณ์อย่างเร็วไว “เฮ้ยยยยย ไหงมาทำแบบนี้ไม่บอกกันก่อน อาจารย์มีสิทธิ์ไร แล้วทำไมพี่โดนคนเดียว”
“คนอื่นผมไม่รู้ครับ แต่ผมเตือนพี่ไปแล้วทีนี้พี่ต้องคิดแล้วล่ะว่าผมควรทำยังไงกับพี่ดี” ถามผมว่าทำยังไง จริงๆไม่ควรทำอะไร แต่ถ้าจะให้ทำก็คงต้องบอกว่า “ทำไรดี เลี้ยงหนมพี่ตอนเที่ยงดิ” ป้องเดินเข้ามาประชิดกับผม จ้องหน้าแบบเอาเรื่อง “กักบริเวณตอนเย็น” คือผมพยายามกลั้นหัวเราะ กักบริเวณ โทษแบบนี้มันเอามาใช้กับโรงเรียนในไทยได้ด้วยเหรอแล้วมันจะได้ผลขนาดไหนเชียว อาการของผมคงเห็นได้ชัดเกินไปยิ่งไปยั่วโมโหให้ป้องปฐมากกว่าเดิม “ขำ... พี่ขำไปเถอะชื่อพี่อยู่ในบัญชีที่ครูเฝ้าระวังนะพี่ โดดอีกไม่กี่ทีพี่อาจไม่มีสิทธิ์สอบอีกหลายวิชาเลย” โอ้... ไอ้เรื่องนั้นรู้อยู่ละทำไมถึงคิดว่าขู่ด้วยเรื่องแบบนี้มันจะมีผลกับผมนะ “ป้องเป็นห่วงพี่เหรอ” ผมแอบแหย่ อีกฝ่ายหัวเราะ “อื้อ...” มันตอบสั้นๆ ผมทำปากอุทานว่า อั้ยหยา ในใจนั่นไม่ใช่เหตุผลจริงๆ แน่ๆ ป้องนั่งลงที่เก้าอี้เล็คเชอร์ข้างๆ ผม ทำสัญญาณมือให้ผมนั่งลงด้วย
หัวหน้าห้องผมเป็นผู้หญิงเธอส่งสัญญาณว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของเรากำลังมาพวกเราทั้งห้องเริ่มหยุดกิจกรรมแล้วนั่งรออย่างเรียบร้อยแน่นอนว่าเรื่องแรกที่บ่นก็คือ บ่นผมนี่ล่ะ การที่ผมโดดเรียนบ่อยๆทำให้แกต้องคอยตอบคำถามกับอาจารย์คนอื่นอยู่เรื่อยๆ แกไม่อยากให้ผมทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา พร้อมทั้งกำชับว่าถ้ายังไม่เลิกจะเชิญผู้ปกครอง
“สัปดาห์หน้า จะเป็นช่วงเริ่มเตรียมงานกีฬาสีแล้ว คิดว่าพวกเธอคงมีเวลาเรียนน้อยลง แต่คงไม่น่ากังวลเท่าไหร่หรอกเพราะห้องเราไม่ใช่ห้องคิงจะเรียนมากเรียนน้อยครูว่าเกรดพวกเธอก็เท่าเดิม” พวกเราทั้งห้องหัวเราะชอบใจ “เอาล่ะ ครูได้เกณฑ์การแบ่งสีมาแล้วนะจะมาแจ้งพวกเธอกันเท่านี้แล่ะ โรงเรียนเราจะมีสีอยู่ทั้งหมด ห้าสี คือสี แดง เหลือง ม่วง น้ำเงิน และสีส้ม สำหรับวิธีการแบ่งก็เหมือนเดิมทุกปีนั่นคือ เลขท้ายของเลขประจำตัวพวกเธอจะเป็นตัวกำหนดกลุ่มสี แต่ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนๆ คือ แทนที่ครูจะจับสลากสุ่มแต่จะเป็นตัวแทนของนักเรียนสุ่มกันหน้าเสาธงพรุ่งนี้เช้าเผื่อพวกเธอจะได้รู้สึกมีส่วนร่วมกันมากขึ้น แต่ยังไงคาบซ่อมเสริมพรุ่งนี้คงเป็นการประชุมสี ไม่ต้องทำหน้าดีใจที่รู้ว่าไม่ได้เรียนขนาดนั้นก็ได้” คุณครูรีบปรามกลุ่มหลังห้องข้างๆผมที่ดูเหมือนจะแสดงอาการชัดเจนไปหน่อย
เธอปล่อยจังหวะให้พวกเราตื่นเต้นกับงานกีฬาสีกันไม่นานก็รีบวกเข้าเรื่องสำคัญอย่างการเตรียมตัวเพื่อเรียนต่อหลังจบมัธยมต้น พวกเราทั้งหมดต้องเขียนคล้ายๆ เรียงความสั้นๆถึงการวางแผนอนาคตการเรียนในระดับถัดไป เสียงพูดคุยดังกันเซ็งแซ่และคุณครูก็ไม่ได้ห้ามปรามปล่อยให้พวกเราซักถามพูดคุยกันได้ตามสบาย “คิดว่าจะจบยังไงให้ได้ก่อนมั้ยพี่” เสียงเข้มนั่นแทรกขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังนึกว่าจะเอายังไงต่อดี ท่าทียิ้มกวนๆนั่นทำให้ผมหงุดหงิดไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงในเมื่อมันเป็นเรื่องจริงที่น่ากังวลอย่างที่ป้องพูดมา
“พี่ต้องเริ่มย่อหน้าด้วยคำว่า สมมติถ้าข้าพเจ้าสามารถเรียนจบไปได้ข้าพเจ้าวางแผนการเอาไว้ดังนี้” ว่าแล้วป้องก็หยิบเอากระดาษรายงานจากหนังสือที่ผมรัดเอาไว้มาเริ่มเขียนให้ “ข้าพเจ้านาย... ชื่อจริงพี่ชื่ออะไรนะ” ป้องหันมาหาเอื้อมมือมาดึงหน้าอกเสื้อผมเพื่อดูชื่อจริง “นายคุณุตตรามีความตั้งใจว่าหากเรียนจบได้ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากหากข้าพเจ้ายังมีความประพฤติเช่นนี้” ทั้งน้ำเสียงและท่าทียียวนผมมากจนรู้สึกได้ว่าหน้าผมนี่ร้อนวูบๆ ขึ้นมาเลยส่วนเพื่อนรักสองคนนั่นก็กลั้นขำกันอย่างสุดความสามารถที่ผมเสียท่าเด็กรุ่นน้อง
“เฮ้... ป้อง พี่ยังไม่ได้เป็นนายนะ” สิ่งที่ผมค้านได้ก็คงจะมีอยู่เรื่องเดียวป้องหันมามองหน้าผมแล้วหัวเราะ “เออใช่ น่าจะยังเป็นเด็กชาย เดี๋ยวผมแก้ให้” ป้องหยิบน้ำยาลบคำผิดมาป้ายในทันที ยิ่งทำให้ความหงุดหงิดผมพุ่งขึ้นไปกันใหญ่ “โหยยยย ป้องปฐ พูดนี่ยังกับว่าตัวเองเป็นนาย เป็นหนุ่ม ยังงั้นนี่” ป้องหัวเราะในลำคอ “ถ้าอายุ 14 ก็เท่าผม เกิดก่อนผมไม่กี่เดือน ผมนับเป็นพี่ก็ดีแล้ว ”โอเค ผมพึ่งจะ 14 เมื่อหลายเดือนก่อนนี่ก็จริงแต่ยังไงผมก็เรียนม.สาม เรียนก่อนเกณฑ์ตั้งหนึ่งปีคุณวุฒิผมต้องเป็นพี่สิ ด้วยทั้งหงุดหงิด ทั้งโมโหที่โดนเด็กแหย่ ผมรีบคว้าปากกามาจากมือของป้อง “ไม่ต้องเขียนแล้ว” ป้องส่งสมุดรายงานแบบฉีกให้ผมด้วยรอยยิ้มที่ชวนให้ผมรู้สึกอยากเอาสันหนังสือฟาดสักที “เรายังมีเรื่องต้องคุยอีกเยอะพี่” ผมนั่งใช้ความคิดพยายามดึงสมาธิที่หลุดไปกลับเข้ามายังกระดาษที่อยู่ตรงหน้าผมเขียนส่งเดชไปตามที่คิดออก ทั้งด้วยไม่รู้สึกตัวว่าต้องวางแผนแล้วทั้งด้วยที่โมโหกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ นี่ด้วยในใจก็พาลคิดว่าจะซวยอะไรขนาดนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in