เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
UK & Me เมื่อคิดให้ดีปลื้มนี้ประหลาดBANLUEBOOKS
Introduction



  • เชื่อว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ย่อมมีสิ่งที่เรียกว่า ‘จุดแข็ง’ ‘จุดอ่อน’ ‘สิ่งที่ชอบ’ หรือแม้กระทั่ง ‘สิ่งที่เกลียด’ กันใช่ไหมคะ 

    แต่สำหรับฉัน สิ่งที่เกลียดและกลัวได้มากที่สุดเชื่อว่าเป็นสิ่งที่คนไทยจำนวนมากก็ขยาดไม่แพ้กัน แต่ยังไงก็ยังต้องพัวพันกับมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่ดี เจ้าสิ่งนั้นก็คือ ‘ภาษาอังกฤษ’ ค่ะ!!!!!

    ไม่เชื่อเหรอคะ ได้!! เดี๋ยวเจ้จะลิสต์ให้ดูว่าความกลัวและความพังของสกิลเจ้คือระดับไหน

    เริ่มกันที่สมัยประถมฯ ทำาข้อสอบ Wh-questions มีข้อนึงถามว่า “... is your name?” เจ้ก็ตอบ ‘Where’!!!

    ต่อด้วยสอบตรง Smart I บัญชีธรรมศาสตร์มีทั้งหมด 4 พาร์ต พาร์ตอื่นได้ 70-80 อัพหมด แต่ภาษาอังกฤษได้ 20 ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำนะหนู คือต่อให้พาร์ตอื่นได้ร้อยเต็ม เขาก็ไม่ให้ดิฉันผ่านเข้าไปรอบ
    สัมภาษณ์อะค่ะ จะ Entrance ไม่ติดสักคณะหรือตัดโอกาสไปมากๆ ก็เพราะตรงนี้แหละ

    บรรลัยสุดก็คงเป็นตอนอยู่มหา’ลัยได้อยู่เซคสุดท้าย (โง่ที่สุด) ตั้งแต่ปี 1ยัน ปี 4 (มีตอนปี 1 เทอม 1 ที่อยู่เซคกลางๆ เพราะเขาจัดเซคเรียงตามรายชื่อ) แถมพอตัดเกรดแยกเซคต่างหากก็ยังได้ D ไม่ก็ D+
    ดีสุดที่เคยได้มาน่าจะป็น C+ แต่ไม่ใช่เพราะเก่งหรอกค่ะคุณ แต่เพราะเทอมนั้นไปขอพรกับเทพทันใจซึ่งขอผ่านโฆษณาทัวร์ทางทีวีกับ อ.เผ่าทอง ทองเจือ (ไม่ได้ค่าโฆษณา)


    ยังไม่หมดเพียงเท่านั้นค่ะ สมัยเป็นสาวน้อยเฟรชชี่เคยมีความคิดว่าไม่ได้ละ ฉันจะต้องฝึกภาษา จึงตัดสินใจไปสอบวัดระดับภาษาที่ Boston Bright ซึ่งขายขี้หน้ามาก มี 15 เลเวล เจ้ได้เลเวล 2 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเด็กอนุบาลที่กำาลังจะขึ้นชั้นประถมฯ เลยค่ะ

    พีคกว่านั้นคือตอนสอบ Speaking กับฝรั่ง จำาได้ว่าตอบได้แค่คำาถาม “What is your name?” กับ “How old are you?” นอกจากนั้นดิฉันก็ Sorry หมดเลยค่ะ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง...
  • ยังไม่หมด! อย่าคิดว่าสกิลเทพของฉันจะหมดลงง่ายๆ สมัยปี 1 ข้อสอบให้ ‘Paraphrase’ ประโยคหรือบทความ ซึ่งการ ‘พาราเฟส’ เนี่ยมันก็คือการเขียนประโยคในรูปแบบที่ต่างแต่ได้ใจความเหมือนเดิม เช่น ฉันตีแมว เราก็อาจจะเขียนใหม่ว่า แมวถูกฉันตี ประมาณนี้

    แต่อีนี่ไม่ใช่! ฉันตีแมวก็อ๋อ ถ้าก๊อปคำาเดิมมาเป๊ะๆ อาจารย์จะให้ศูนย์ใช่ไหม ฉันเลยเปลี่ยนคำาให้เป็น “ฉันตีหมา” แทนละกัน แค่นี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ขุ่นพระขุ่นเจ้า!!! ส่วน Copy แปลว่า ลอกเลียน ทำตาม ใช่ไหม พาราเฟสเปลี่ยนศัพท์ไป ฉันก็เปลี่ยนใหม่ให้เป็น ‘Do follow’

    ตอนปี 3 สอบวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการเขียนข่าว เวลาสอบเขาก็ให้นั่งแปลข่าวจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โจทย์ก็ประมาณว่า มีโจรมาปล้นบ้านแล้วเอาปืนยิงคุณยายที่อยู่คนเดียวตาย อีนี่ก็แปลไป
    ได้ไงไม่รู้ว่า โจรมาปล้นบ้าน คุณยายตกใจมากเลยเอาปืนยิงตัวเองตาย ปัง…ปัง…ปัง…

    โจทย์ : A burglar has robbed the house of a grandmother, and shot the poor lady to death.

    คำตอบของเจ้เขียนเป็นอังกฤษได้ประมาณนี้ : A poor grandmother was surprised and shot herself to death after being robbed by a burglar.

    ปี 3 เทอมต่อมายิ่งแล้วใหญ่ ขนาดอนุญาตให้เอาดิกชันนารีเข้าห้องสอบได้ก็ยังแปล ‘ภาวะโลกร้อน’ หรือ ‘Global Warming’ เป็น ‘Hot World’ คนเอาไปเมาท์กันทั้งคณะภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากรุ่นสู่รุ่น

    ด้วยความเป็นสาวน้อยร่างบางที่มี EQ สูง (แต่ IQ อาจจะต่ำ) ทั้งพรสวรรค์ (อันริบหรี่) บวกกับพรแสวง (ที่มีเยอะมาก) กัลยาณมิตร ความเมตตาจากครูบาอาจารย์ จนแล้วจนรอด ในที่สุดดิฉันก็สามารถเรียนจบนิเทศจุฬาฯ ได้อย่างที่หวัง ด้วยผลการเรียน ‘เกือบ’ นิยมอันดับ 2 หรือก็คือขาดอีก 0.02 ก็จะได้เกียรตินิยมแล้วอะค่ะ

    ทำให้ดิฉันอยากจะเบ่งและกรี๊ดออกมา ถ้าไม่มีภาษาอังกฤษที่หน่วยกิตบึ้มมากเหมือนนมของเอมมี่ Maxim ที่ต้องเรียนถึงเจ็ดเทอม แถมฉันก็ดันได้ D มาโดยตลอด (หมายถึงเกรดนะคะไม่ใช่ว่าเรียนดี) ฉันจึงรู้สึกว่า โอ๊ยยยยย ถ้าไม่มีวิชานี้เกรดคงพุ่งสูงทะลุดาวพลูโตไปละ


  • แต่ก็ช่างมันค่ะ Life goes on ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ด้วยความที่จบมายังตอบไม่ได้ว่าตัวเองอยากทำงานอะไร? สนใจด้านไหน? รู้แต่เพียงว่าไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร ‘ภาษาอังกฤษ’ ก็ล้วนมีบทบาทสำคัญทั้งสิ้น!!! เลยหาเวลานั่งคุยกับตัวเองดู (เป็นบ้า) ก็พบว่าตัวเองชอบงานด้านบริการ ไม่ก็งานที่ไม่อยู่กับที่ ได้เที่ยวเยอะๆ พบปะผู้คนมากมาย เช่น สจ็วต แอร์ฯ การโรงแรม ไกด์ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทาย ไม่ค่อยซ้ำซากจำเจ มี Motivation + Inspiration (พิมพ์ไปงั้นแหละ จำเขามา) ที่สำคัญที่สุดคือรู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมกับชีวิตการทำงาน แถมคุณพ่อก็คาดหวัง (แกมบังคับ) ว่าอยากให้ลูกสาว (?) เรียนสูงๆ จบ ดร. จากเมืองนอก กลับมาจะได้มาเป็นอาจารย์มหา’ลัย (ค่ะ!)

    ความกดดันที่เพิ่มขึ้นแปรผันกับเวลาที่ผ่านไป ในที่สุดเพื่อตัดความรำคาญของพ่อ แถม Win-Win ด้วยกันทั้งสองฝ่ายจึงเผลอตอบพ่อไปว่า “โอเค ไม่อยากทำางาน แต่อยากไปเรียนต่อโทที่เมืองนอกค่ะ”
    ...กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด อารมณ์ชั่ววูบมากๆ

    สรุปจากวันนั้นก็กลายเป็นว่าฉันจะต้องไปเรียนโทที่เมืองนอกโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกเมืองอะไร คณะอะไรเลยค่ะ ให้มันได้อย่างนี้สิ!

    แต่ยังไงก็ตาม เมื่อตระหนักแล้วว่าการไม่ถนัดเรื่องภาษาทำให้ชีวิตลำบากขึ้น และต้องสูญเสียโอกาสและความก้าวหน้าในชีวิตไปอีกมากมาย ฉันเลยรู้สึกวัลลาบี มีแรงผลักดัน อยากพัฒนาตัวเองให้ได้ และสัญญากับตัวเองไว้ว่าวันหนึ่งฉันจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ก้าวไปถึงจุดจุดนั้น (ดราม่าเวอร์)

    ฉะนั้นฉันจึงใช้วิธี ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่า หญิงไทยจากเมืองดอกบัวคนนี้จะโกอินเตอร์ได้หรือไม่ และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้เริ่มต้นขึ้น…

    หมายเหตุ : เนื่องจากหนังสือเล่มนี้มีความหลากหลายสูงจนถึงสูงมาก ตั้งแต่ระดับภาษา (สุภาพยันหยาบนิดๆ) คำแทนตัวที่ใช้ (ฉัน ดิฉัน เจ้ น้องก๊อย และอีกมากมาย) ไปจนถึงเพศของผู้แต่ง (สาว สาวหวาน
    สาวแกร่ง (?)) ผู้อ่านจึงควรใช้สติ วิจารณญาณและฌานในการอ่านเป็นอย่างสูง จึงแจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

    รัก

    ปลื้ม Skoii

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in