ยังไม่หมด! อย่าคิดว่าสกิลเทพของฉันจะหมดลงง่ายๆ สมัยปี 1 ข้อสอบให้ ‘Paraphrase’ ประโยคหรือบทความ ซึ่งการ ‘พาราเฟส’ เนี่ยมันก็คือการเขียนประโยคในรูปแบบที่ต่างแต่ได้ใจความเหมือนเดิม เช่น ฉันตีแมว เราก็อาจจะเขียนใหม่ว่า แมวถูกฉันตี ประมาณนี้
แต่อีนี่ไม่ใช่! ฉันตีแมวก็อ๋อ ถ้าก๊อปคำาเดิมมาเป๊ะๆ อาจารย์จะให้ศูนย์ใช่ไหม ฉันเลยเปลี่ยนคำาให้เป็น “ฉันตีหมา” แทนละกัน แค่นี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ขุ่นพระขุ่นเจ้า!!! ส่วน Copy แปลว่า ลอกเลียน ทำตาม ใช่ไหม พาราเฟสเปลี่ยนศัพท์ไป ฉันก็เปลี่ยนใหม่ให้เป็น ‘Do follow’
ตอนปี 3 สอบวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการเขียนข่าว เวลาสอบเขาก็ให้นั่งแปลข่าวจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โจทย์ก็ประมาณว่า มีโจรมาปล้นบ้านแล้วเอาปืนยิงคุณยายที่อยู่คนเดียวตาย อีนี่ก็แปลไป
ได้ไงไม่รู้ว่า โจรมาปล้นบ้าน คุณยายตกใจมากเลยเอาปืนยิงตัวเองตาย ปัง…ปัง…ปัง…
โจทย์ : A burglar has robbed the house of a grandmother, and shot the poor lady to death.
คำตอบของเจ้เขียนเป็นอังกฤษได้ประมาณนี้ : A poor grandmother was surprised and shot herself to death after being robbed by a burglar.
ปี 3 เทอมต่อมายิ่งแล้วใหญ่ ขนาดอนุญาตให้เอาดิกชันนารีเข้าห้องสอบได้ก็ยังแปล ‘ภาวะโลกร้อน’ หรือ ‘Global Warming’ เป็น ‘Hot World’ คนเอาไปเมาท์กันทั้งคณะภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากรุ่นสู่รุ่น
ด้วยความเป็นสาวน้อยร่างบางที่มี EQ สูง (แต่ IQ อาจจะต่ำ) ทั้งพรสวรรค์ (อันริบหรี่) บวกกับพรแสวง (ที่มีเยอะมาก) กัลยาณมิตร ความเมตตาจากครูบาอาจารย์ จนแล้วจนรอด ในที่สุดดิฉันก็สามารถเรียนจบนิเทศจุฬาฯ ได้อย่างที่หวัง ด้วยผลการเรียน ‘เกือบ’ นิยมอันดับ 2 หรือก็คือขาดอีก 0.02 ก็จะได้เกียรตินิยมแล้วอะค่ะ
ทำให้ดิฉันอยากจะเบ่งและกรี๊ดออกมา ถ้าไม่มีภาษาอังกฤษที่หน่วยกิตบึ้มมากเหมือนนมของเอมมี่ Maxim ที่ต้องเรียนถึงเจ็ดเทอม แถมฉันก็ดันได้ D มาโดยตลอด (หมายถึงเกรดนะคะไม่ใช่ว่าเรียนดี) ฉันจึงรู้สึกว่า โอ๊ยยยยย ถ้าไม่มีวิชานี้เกรดคงพุ่งสูงทะลุดาวพลูโตไปละ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in