เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
UK & Me เมื่อคิดให้ดีปลื้มนี้ประหลาดBANLUEBOOKS
01: จุดเริ่มต้น



  • หลังจากที่หลวมตัวตกปากรับคำาพระบิดาว่าจะไปต่อโทที่เมืองนอก สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่ออัพเกรดตัวเองคือขอพ่อไปเรียนภาษาที่อังกฤษเพื่อปูพื้นฐานก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่า “ขนาดรุ่นพี่ที่เก่งกว่า 10 เท่าเขาก็ยังไปเรียนเลย (นั่งเทียนพูดขึ้นมา) ขนาดอาจารย์ที่จุฬาฯ ยังแนะนำว่าให้ไปเรียนก่อนเลย เพราะสังคมกับวิธีเรียนที่นั่นมันไม่เหมือนกันกับที่นี่ ต้องปรับตัว...” บลาๆๆ กับอีกสารพัดเหตุผลที่จะหยิบยกขึ้นมาได้

    โชคดีที่สายรหัสที่คณะต่อโทเมืองนอกกันเกือบทุกคน แถมพี่รหัสแท้ๆ ที่เคยเป็นพี่โรงเรียนหอวังมาก่อนก็เพิ่งกลับจากไปเรียนภาษาที่ประเทศอังกฤษกับเดอะแก๊งมา 5 เดือน…ฉันซึ่งตอนนั้นยังไม่มีความรู้อะไรเลย ตัดสินใจเลือกเอเจนซี่ที่เดียวกัน พนักงานคนเดียวกัน เลือกไปเรียนที่ประเทศเดียวกัน เมืองเดียวกัน โรงเรียนเดียวกัน คอร์สเดียวกันไปให้หมดเลยละกัน จะได้ไม่ต้องคิดเยอะ (สบ๊ายยย) จึงเลือกไปเรียนที่ Anglo Continental School ที่เมือง Bournemouth ประเทศสหราชอาณาจักร

    ยังไงก็ตาม สาเหตุที่ตัดสินใจเลือกประเทศอังกฤษเพราะคิดว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัย ขนาดพื้นที่ก็กำลังพอดี มีชื่อเสียงมากด้านการศึกษา ถ้าเบื่อก็สามารถไปเที่ยวที่ประเทศเพื่อนบ้านแถวยุโรปได้ แถมถ้าต่อยอดได้เรียนต่อปริญญาโทที่นี่ก็จะใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น ไม่เหมือนกับอเมริกา แคนาดา หรือประเทศอื่นๆ ที่ใช้หลักสูตร 2 ปี เหมือนประหยัดเวลาไปปีนึงว่างั้นเถอะ แถมตอนนั้นคนรอบตัวยังบอก
    ว่า “ถ้าไปแล้วได้ British Accent กลับมามันจะอลังฯ มากเลยนะ ดูหรู ดูแพง” ฉันก็เชื่อหมดทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าความแตกต่างของสำเนียงแต่ละแบบมันอยู่ที่ตรงไหน (ตอนนี้ก็ยังไม่รู้)
  • สำหรับเมือง Bournemouth ที่เลือกไปอยู่ ตอนนั้นพี่รหัสบอกว่าเป็นเมืองตากอากาศชายทะเล ซึ่งหมายความว่าฉันจะได้เห็นผู้ชายที่มาจากทั่วทุกมุมโลกมานอนอาบแดดด้วยท่วงท่าอันซาบซ่านพร้อมกับซิกแพกเรียงตัวอย่างสวยงาม ให้ฉันได้ฝึกภาษาด้านการนับเลข! แถมไปเสิร์ชดูในวิกิพีเดียก็บอกว่า Bournemouth เป็นเมืองที่มีอาชญากรน้อยที่สุดในประเทศอังกฤษจนแทบจะเป็นศูนย์ ซึ่งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ใสซื่อบริสุทธิ์อินโนเซนต์อย่างฉันจะต้องอยู่รอดปลอดภัยแน่นอน เพราะขนาดอยู่เมืองไทยที่เต็มไปด้วยอันตรายและมีความเสี่ยงสูงกว่าฉันยังรอดมาสบายๆ

    ยัง! ยังไม่พอ โรงเรียน Anglo Continental ที่จะไปเรียน ติดอันดับ 1 ใน 10 โรงเรียนสอนภาษาที่ดีที่สุดในประเทศอังกฤษอีกด้วย เอาล่ะ! ทุกอย่างลงตัว งั้นหนูขอเลือกที่นี่ค่ะ สาวน้อยใจกล้าตอบกับพี่ตัวแทนเอเจนซี่อย่างมั่นใจ

    แต่ก่อนที่จะไปเรียนภาษาที่ Bournemouth ด้วยความที่ว่างมว้ากกก!!!! เพราะต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำวีซ่า ติดต่อโรงเรียนที่จะไป เตรียมเอกสารรับรองทางการเงินจากธนาคาร บลาๆๆ ด้วยความเพียรพยายาม (จริงๆ รู้ตัวว่าโง่) จึงตัดสินใจไปเรียนภาษาคร่าวๆ ก่อนที่สถาบัน British Council (ขอค่าโฆษณาด้วยค่ะ) โดยการจะไปเรียนที่นี่ไม่ใช่มีแค่เงินแล้วจะไปเลือกคอร์สเรียนเองสวยๆ ได้เลยนะคะ แต่เราต้องไปสอบวัดระดับก่อน (เอาอีกละ -_- #เบ้ปาก #มองเอียง) ซึ่งการสอบวัดระดับนั้นก็มีทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ค่ะ (กลัวมากอยากร้องไห้ 4 ปีก่อนได้เลเวล 2 ถ้า 4 ปีต่อมาได้เลเวล 1 จะทำยังไง!!?) สุดท้ายก็โทร.ไปจองวันเวลาสาขาที่จะไปสอบ นัดกับพี่พนักงานไว้ก็เป็นอันเรียบร้อย

    และแล้ววันมหาวิปโยคของดิฉันก็มาถึงค่ะ เริ่มวันสอบแบบชิวชิวด้วยการวิ่งสี่คูณร้อยมาสอบ เพราะแท็กซี่ดันจอดให้ลงซะไกล สุดท้ายเหลือเวลาก่อนสอบเพียงแค่ 5 นาที

    การสอบมาถึง พนักงานเรียกชื่อฉันพร้อมกับคนที่ต้องสอบในรอบเดียวกันเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง บรรยากาศตอนนั้นสำหรับคนอื่นคงชิวมาก แต่สำหรับฉันคือเครียดมาก ไม่ใช่เพราะต้องสอบภาษาอังกฤษหรอกนะคะ แต่เพราะเหนื่อย! เนื่องจากวิ่งมาไกลจนนึกว่าตัวเองเป็นยูเซนโบล์นักวิ่งเหรียญทองโอลิมปิก เข้าไปนั่งหอบสักพักก็เริ่มทำข้อสอบ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง สอบเสร็จ นั่งรอข้างนอกสักพัก นาทีกระชากวิญญาณก็มาถึง เมื่อพนักงานเรียกชื่ออีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการสอบสัมภาษณ์กับฝรั่ง ซึ่งเมื่อ 4 ปีก่อนนั้น ตอบได้แค่คำถามที่ว่า What is your name? กับ How old are you? แต่คราวนี้เอาวะ! ฉันเตรียมมาดี นั่งท่องบทสนทนาจากในกูเกิลมาค่อนคืน จะมาตายที่นี่ไม่ได้

  • ปลื้ม       : (เดินเข้าห้องมาด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ฉีกยิ้มกว้างแบบป้าจูเลีย โรเบิร์ต ก่อนจะนั่งลง
    Teacher : What’s your name? (คุณชื่ออะไร)
    ปลื้ม       : My name is Pongthon. You can call me Pleum. (แพตเทิร์นเป๊ะเวอร์)
    Teacher : How do you do? (ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะ)
    ปลื้ม       : I am a student. “ไอ แอม อะ สติวเด้นถึ (ใส่ตัวลงท้ายไปด้วยตามหลักการอ่านออกเสียงที่ถูกต้อง)
    Teacher : …[DEAD AIR]…


    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด!!!!!

    ขุ่นพระขุ่นเจ้า คือ “How do you do?” มันแปลเหมือนกับคำว่า “Nice to meet you” ประมาณว่า “ยินดีที่ได้รู้จักคุณจ้า” ส่วนมากใช้ในการทักทายกับคนที่เจอกันครั้งแรกและค่อนข้างเป็นทางการ ฉันไปจำสลับกับ “What do you do?” ที่แปลว่า “หนูทำงานอะไรจ๊ะ?” สรุปคือฝรั่งเอ๋อไปเลยค่ะ เพราะบอกว่า “ยินดีที่ได้รู้จักเธอนะ” แล้วฉันก็ตอบว่า “อ๋อ ค่ะ หนูเป็นนักเรียน” (เขาคงคิดในใจว่า ใครถามแก?)

    ยังไม่จบ การสนทนายังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ฮีก็ถามประมาณว่าเรียนอะไร ที่ไหน จบอะไรมา เวลาว่างชอบทำอะไร อยากเป็นอะไรในอนาคต และก็มาอีกแล้วคำถามแปลกๆ

    “If you have a chance to travel, what place would you like to go to?”
  • ตายละ สดมาก เพราะไม่มีในคำถามที่เตรียมมา เลยแถไปว่า เชียงใหม่ค่ะ เขาก็ถามว่าทำไมถึงเลือกที่นี่ เลยตอบไปว่า “เพราะเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีช้างเยอะ และหนูก็ชอบช้าง ช้างเป็นสัตว์ประจำประเทศไทยค่ะ”

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด!!!!!

    ตอบได้ไร้ตรรกะมาก แถมเชียงใหม่ก็ไม่ได้ช้างเยอะขนาดนั้นไหม? มันควรจะเป็นสุรินทร์รึเปล่า? และหลังจากที่เจอคำตอบน้องช้างไป ครูฝรั่งก็คงคิดได้ว่า พอกันทีกับอีนี่ เลยตัดบทบอกโอเค โชคดีนะ “Thank you for coming, see you soon.”

    และแล้วผลสอบก็ออกมา พี่พนักงานบอกว่าน้องอยู่เลเวล 3 นะคะ (ว้ายย อัพขึ้นมาตั้ง 1 เลเวล) แต่ก็นั่นแหละค่ะ ชีให้ไปลงเรียนคอร์ส Pre-Intermediate I

    วันแรกของการเรียนเริ่มต้นขึ้น ไปถึงตรงเวลาเป๊ะ รับหนังสือแต่ไม่กล้าเข้าห้อง กลัว ไม่มั่นใจ รู้สึกว่าทุกคนจะต้องเก่งและมีพื้นมาพอสมควรแน่ๆ

    แต่โชคดีตอนที่เข้าไปนั่งเห็นเก้าอี้ว่างอยู่ตัวนึงที่โต๊ะหน้าสุด (ล่อซะหน้าห้องเลยคุณ) เลยต้องไปนั่ง โต๊ะนั้นมีแต่ฝรั่ง โอ๊ยยย ฉันจะทำยังไงดี และแล้วเสียงหนึ่งก็พูดขึ้น “สวัสดี เธอชื่ออะไรอ้ะ เราชื่อบี” (จำตัวละครนี้ไว้ให้ดีนะคะ เพราะต่อมาคนคนนี้ได้กลายมาเป็นเพื่อนที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อชีวิตฉันหลังจากวันนั้นเลยค่ะ)

    บรรยากาศการเรียน 3 ชั่วโมงผ่านพ้นไป คือดีมาก ผิดกับภาพที่วาดไว้ในหัวตอนแรก ชอบตรงเพื่อนในห้องมาจากทุกช่วงอายุ สาขาอาชีพ บ้างยังเรียนอยู่ บ้างทำงานแล้ว บ้างมีคนแนะนำมา บ้างลูกบังคับให้มาเรียน แต่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการที่ต้องการพัฒนาทักษะทางภาษาของตนไปในระดับที่สูงขึ้น

    ครูคนแรกที่สอนที่นี่ชื่อ Lisa (ลิซ่า) เป็นผู้หญิงที่ดูโก๊ะๆ เอ๋อๆ ความแรงคือชีเคยอาศัยอยู่ที่เมือง Bournemouth ด้วยตอนเด็ก เลยช่วยแนะแนวให้ฉันเยอะมาก

    ครูฝรั่งอีกคนเป็นผู้ชาย ชื่อ Alan (อลัน) ผมหยิกๆ หน้าเหมือนมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก

    เพื่อนฝรั่งในคลาสนี้มีทั้งหมด 2 คน คนแรกเป็นชาวฮังการี มีนามว่า ‘ชังก้า’ ทำงานอยู่กับคู่หมั้นอยู่ที่สถานทูตเช็ก ประจำประเทศไทย (สุดท้ายก็ได้แต่งงานกัน) อีกคนเป็นคนซีเรียชื่อ ‘วัคซีม’ เป็นคนที่ดื่มเหล้าเก่งมากเพราะพ่อเอาเหล้าผสมลงในขวดนมให้ลูกกินตั้งแต่ 3 ขวบ (บ้าไปแล้ว) บรรยากาศการเรียนที่นี่เป็นอะไรที่มีความสุขมากๆๆๆๆ อาจารย์สอนดีมาก มีกิจกรรมหลากหลายให้ทำตลอด คือเป็นการเปิดโลกสุด ไม่ได้เรียนแค่แบบในตำราอย่างที่เคยเป็นมา แต่เรียนจากประสบการณ์ตรง ทั้งแกรมม่า คำศัพท์ การพูด การฟัง การเขียนอีเมล การอ่าน การบอกทิศทาง การสัมภาษณ์งาน การคุยโทรศัพท์ กับอีกมากมายที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ในชีวิตจริง
  • ทุกคนในคลาสสนิทกันเร็วมาก โชคดีที่ได้เจอแต่คนดีๆ ไม่เสแสร้ง อาจจะเป็นเพราะว่าภาพในหัวที่เราวาดไว้ในตอนแรกคือลบ พอพบว่าความจริงมันเป็นบวกเลยรู้สึกว่าตัวเองโชคดี ณ ตอนนั้น สกิลทางภาษาของฉันก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด รวมตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่เรียนที่นี่ ก็ได้เรียนทั้งหมด 5 คอร์สด้วยกัน คือ Pre-Intermediate 3.1, 3.2, 3.3 และคอร์ส IELTS 1.1, 1.2 (เรียนมากกว่านี้ไม่ได้แล้วเพราะใกล้วันไปอังกฤษเต็มที)

    โดยสรุปแล้ว ช่วงระยะเวลาเกือบ 2 เดือนครึ่งที่ผ่านมา เราใช้เวลาอยู่ที่ British Council มากกว่าบ้าน อยู่มันตั้งแต่เช้ายันเย็น จนกระทั่งพอจะฉลาดขึ้นมานิดหน่อย

    แต่ก็ยังมีความโง่เป็นเพื่อนหลงเหลือ เช่นการที่ครูฝรั่งเรียกไปสัมภาษณ์ตัวต่อตัวเพื่อประเมินหลังเรียนจบถามว่า “How are you?” แล้วฉันตอบว่า “I’m 22 years old!” (สงสัยจะนอนน้อย) ภาพเหล่านี้ฉายเข้ามาในหัวเหมือนวิดีโอที่เล่นซ้ำ…ตรงนั้นฉันเคยทำอย่างนี้ ตรงนี้ฉันเคยเล่นกับเพื่อนแบบนั้น เราเจอคนดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตเรามากมายเหลือเกิน และพวกเขาก็เดินจากไปเมื่อจบคอร์ส


    พอคิดว่าจะไม่ได้มาที่นี่อีกแล้วก็รู้สึกโหวงๆ ฉันรู้สึกว่าทุกคนที่นี่รักและเป็นห่วงฉันมากๆ ไม่รู้ภาพแบบนี้จะอยู่ในใจนานอีกแค่ไหน เพราะเมื่อเวลาผ่านไปต่อให้รักกันมากแค่ไหนแต่อะไรๆ มันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปตามวิถีของมัน ยอมรับว่าเป็นคนที่สวยแต่ไม่เคยเอาชนะเวลาได้ ซึ่งความจริงคือไม่มีใครเอาชนะมันได้! อีกครึ่งปีกลับมาที่นี่จะยังมีคนจำาฉันได้ไหม? คุยกับคนที่เคยสนิทจะยังรู้สึกสนิทเหมือนเดิมไหม? ผูกพันกับอะไรง่ายๆ จึงกลัวในสิ่งที่ยังไม่ทันเกิดซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ ฉะนั้น ทุกครั้งที่มีความสุขฉันจึงมักรีบเก็บเกี่ยวตักตวงมันเอาไว้ เผื่อวันข้างหน้ามันไม่เหมือนเดิมแล้ว ภาพดีๆ จะยังคงอยู่ในใจว่านี่ไง

    “ครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน”

    // ดาขอเสียงทุกคนหน่อยคะ โบกมือรัวๆ


  • Do you Know?
    By ปลื้ม Skoii

    เคล็ดลับพัฒนาภาษาอังกฤษ ฉบับเริ่มต้นจากติดลบ (แบบเจ้) อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเคล็ดลับของการพัฒนาทางภาษาอย่างก้าวกระโดดในตอนนั้นก็คือการที่เจ้สร้างบรรยากาศรอบตัวให้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดค่ะ ไม่ว่าจะเป็น...

    ปกติเป็นคนที่ชอบดูคลิปในยูทูบก็พยายามดูเป็นคลิปภาษาอังกฤษ (ไม่ว่าจะดูรู้เรื่องหรือไม่ก็ดูไป) เลื่อนลงไปอ่านคอมเมนต์ใต้คลิปที่เป็นภาษาอังกฤษ

    ตั้งฟังก์ชันภาษาในมือถือให้เป็นภาษาอังกฤษ โหลดแอปพลิเคชั่นข่าวของ BBC มาอยู่ในหน้าแรกของมือถือให้ทุกครั้งเราปลดล็อกมาก็จะเจออันนี้เป็นอันแรก

    Top Secret คือการที่เราเปิดวิทยุคลื่นเพลงฝรั่งที่จะมี BBC News สั้นๆ ทุกต้นชั่วโมง และตลอดเวลาดีเจก็จะพูดภาษาอังกฤษ ข่าวยาวตอนเช้า เที่ยง เย็น ที่นานเกือบชั่วโมงก็เป็นภาษาอังกฤษ เราเปิดไว้ทั้งคืนแม้กระทั่งตอนนอนเพราะตื่นมากลางดึกเราก็ยังได้ยินภาษาอังกฤษ คือทำบรรยากาศทั้งหมดเลยให้เหมือนกับว่ามันเป็นภาษาแม่ เช้าก็เรียนภาษาอังกฤษคอร์สธรรมดา บ่ายก็เรียนภาษาอังกฤษคอร์สไอเอล (เพราะต้องใช้คะแนนในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย) กลับบ้านก็ยังได้ยินภาษาอังกฤษจากสื่อรอบตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนนอน

    ผลคือเพียงแค่ระยะเวลา 2 เดือน จากที่แต่เดิมเวลาฝรั่งเดินมาคุยด้วยเราต้องมานั่งเรียบเรียงก่อนว่าเขาพูดหรือถามว่าอะไร (และส่วนใหญ่มักจะฟังไม่ออก) ก่อนที่จะมาแปลเป็นไทย คิดคำตอบเป็นภาษาไทย แปลคำตอบเป็นภาษาอังกฤษ และพูดสื่อสารออกไป ซึ่งมันใช้ระยะเวลานานมากๆ แต่การที่เราใช้มันบ่อยๆ มันช่วยย่นระยะเวลากระบวนการตรงนั้น สัญชาตญาณจะทำให้เราตอบคำถามเหล่านั้นไปแบบอัตโนมัติ เพราะบทสนทนาในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องเดิมๆ ประโยคเดิมๆ ศัพท์เดิมๆ เหมือนกับตั้งแต่เด็กต่อให้ไม่เก่งแค่ไหนแต่ถ้าหากฝรั่งถามว่า “What is your name?” ทุกคนก็จะตอบได้โดยที่ไม่ต้องมานั่งแปลก่อนว่า คุณชื่ออะไร? ประโยคอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน ขอแค่เพียงเราได้ใช้มันบ่อยๆ ไหวพริบ สัญชาตญาณ ความคุ้นชิน ก็จะเป็นตัวช่วยอย่างมากให้เราคุยกับฝรั่งรู้เรื่องเช่นเดียวกัน

    นอกจากนี้ การที่เราฟังบ่อยๆ จะช่วยพัฒนาทักษะทางด้านการพูด เพราะสมองของคนเราจะจำระบบความคิด การเรียงประโยค การใช้คำและสำเนียงของเจ้าของภาษาไปแบบอัตโนมัติ (แม้จะใช้ระยะเวลานานหน่อยไปถึงนานมาก) เหมือนที่เวลาเราเกิดมาทุกคนย่อมฟังได้ก่อนที่จะพูดได้ เราจำภาพภาพนี้แล้วใส่ข้อมูลลงไปว่ามันเรียกว่าสิ่งนี้ แต่พอโตมา เวลาเราเรียนภาษาที่สาม การที่เรารู้สึกว่ามันยากเพราะเราไม่ได้จำจากภาพอีกต่อไป แต่เรามีคำคำหนึ่งซึ่งใช้เรียกเจ้าสิ่งนี้ในหัวอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่จะเพิ่มคำเรียกลงไปอีกคำ

    ตัวอย่าง ตอนเด็กเราเห็นภาชนะใส่น้ำทรงกลม แม่บอกอันนี้เรียกว่า ‘แก้ว’ เราก็จำในครั้งต่อไปว่า อันนี้เรียกว่าแก้ว (ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอาจจะยังเขียนอ่าน ก-ฮ ไม่ได้ด้วยซ้ำ) แต่พอโตมาเราเรียนภาษาอังกฤษ เราก็จำเพิ่มไปว่า แก้ว คือ ‘Glass’ ไม่ได้จำจากภาพหรือการใช้ในชีวิตประจำวัน เราเลยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยาก เพราะยิ่งโตขึ้น สมองก็ยิ่งใช้พื้นที่เพิ่มมากขึ้นให้เราไปจำสิ่งอื่นๆ (ที่ส่วนใหญ่มักจะไร้สาระ) มากพออยู่แล้ว จนไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้จำคำใหม่ๆ แถมคำศัพท์ต่างๆ ในภาษาอังกฤษก็นับว่ามีมากโขนับไม่หวาดไม่ไหวกันเสียด้วย (ขนาดภาษาไทยเองเรายังไม่รู้ความหมายของคำทุกคำเลย)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in