เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ครั้งแรก เหมือนเขาบ้างNarut Sirithip
คอร์สปฏิบัติธรรมครั้งแรก (วันแรก)
  •    เนื่องด้วยในวันที่ 22-26 ตุลาคม 2563 ได้มีโอกาสเข้าคอร์ส จิตภาวนา ที่ สันติภาวนา จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้จัดขึ้นโดย คุณสันติ และ คุณหญิงอรุณี ภิรมย์ภักดี โดยได้รับเมตตาจากพระอาจารย์คม อภิวโร เจ้าอาวาส วัดป่าธรรมคีรี อ.ปากช่อง โคราช มาเป็นพระอาจารย์ให้คอร์สนี้  (รูปพระอาจารย์คม อภิวโร คุณสันติ และ คุณหญิงอรุณี ภิรมย์ภักดี )

      การได้ไปในครั้งนี้เกิดจากการเชิญชวนของพี่สาวทั้ง 2 พี่กิ๊ฟ พี่แก้ว ล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน อันที่จริงลังเลอยู่มากเพราะ ไม่เคยไปร่วมกิจกรรมลักษณะนี้มาก่อน และ เวลาดูนานซึ่งกลัวว่าจะเคลียร์งานไม่ได้ แต่เนื่องด้วยคอร์สรับคนจำกัดกลัวเต็ม และการเข้าคอร์สวิปัสสนานี้เป็น 1 ในเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น จึงตอบตกลงไปทันที ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีงานอะไรรึป่าว แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็พยายามเคลียร์งาน และแจ้งผู้คนที่เกี่ยวข้องให้ทราบ พี่ทั้งสองก็จัดแจงจองตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อย คุณแม่ครอบครัวก็ไม่ติดขัดอะไรและอนุญาติให้ไปแถมยังจะช่วยดูงานช่วงที่ไม่อยู่ให้ด้วย

      ใกล้วันมีการโทรสอบถามพี่ทั้งสองเรื่องการเตรียมตัว ตอนแรกกะว่าจะฝึกนั่งสมาธิไปก่อนบ้าง แต่สรุปไม่ได้นั่งเลย ไม่ใช่เพราะยุ่งแต่เพราะลืมและขี้เกียจเลยคาดหวังกะบุญเก่าเอาหน้างาน นอกนั้นก็จะเป็นการเตรียมตัวจัดกระเป๋าและเสื้อผ้า ซึ่งทางคอร์สขอให้เป็นชุดขาวทั้งหมด ทุกวัน กระทั่งเสื้อกันหนาว ถุงเท้าก็ขอให้เป็นสีขาว

      อนึ่งใจก็แอบคิดว่าไปปฏิบัติ ให้ปล่อยวางแต่ทำไมจะต้องมากำชับว่าต้องเป็นสีขาว ไม่เห็นจะปล่อยวางเลย แต่พอมานั่งนึกดู และคำตอบจากผู้อื่น ก็ได้คำตอบว่า
      1.การที่เราคิดว่าเราไม่ยึดติดว่าควรใส่สีอะไร ดังนั้นเราก็ไม่ควรมีปัญหาหากชุดนั้นต้องเป็นสีขาวเช่นกัน หากไม่มีปัญหาที่จะหาได้เราก็ไม่น่าเดือดร้อนอะไร
      2.การใส่ชุดขาวอาจไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อผู้ปฏิบัติท่านอื่นด้วย ลองนึกภาพเราปฏิบัติ แล้วมีคนหนึ่งชุแดง ชุดดำ อยู่กันคนสองคน ใจเราอาจจะอึดอัดขึ้นมาได้ เพราะไม่แน่ว่าทุกคนจะสามารถรับได้ในระดับที่เท่ากัน ทำให้โฟกัสในการปฏิบัติเสียไป
      3.ชุดปฏิบัติเป็นชุดที่ใส่สบายและเหมาะในการนั่งสมาธิ สวดมนต์
      4.ชุดขาวทำให้เราต้องมีสติ การกิน การนั่ง หากไม่มีสติ ชุดเราก็อาจเปื้อน ( เอาจริงยิ่งเอาไปแค่ 2 3 ชุด ยิ่งต้องระวังเลย )
      5.เหมือนชุดนักเรียน การใส่ชุดนั้นทำให้เรารู้ว่าใครเป็นใคร เพราะในคอร์สก็จะมีทั้งผู้ปฏิบัติ ทั้งพระ ทั้งคนที่คอยช่วยดูแลผู้ปฏิบัติ รวมถึงคนอื่น การเห็นชุดจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้เราสามารถดูแลและจัดการกันได้เรียบร้อยมากขึ้น

      ด้วยเหตุผลทั้งมวลนี้จึงไปหาชุดปฏิบัติ ซึ่งก็ไปซื้อมา 2 ชุด และก็ได้เสื้อขาวคอกลมที่มีติดบ้านไว้อยู่แล้ว 2 ตัว ถุงเท้าสีขาว เสื้อกันหนาวก็มีอยู่แล้ว จัดไปจัดมา คิดว่าตัวเองปล่อยวาง แหม่กระเป๋าแน่นกว่าไปเที่ยวอีก สรุปในความเป็นจริงใส่ซ้ำจร้า ผ้าเช็ดตัวอะไรผู้จัดคอร์สก็มีเตรียมให้ อ้อ ในการจัดคอร์สนี้ ทางคุณหญิงไม่ได้มีค่าเข้าเลยแต่งอย่างไร ทั้งค่าสถานที่ ที่พัก พนักงาน อาหาร ทุกอย่างคุณหญิงจัดการทั้งหมด ส่วนใครจะบริจาคอย่างไรนั้นเป็นตามกำลังศรัทธา

      ถึงวันเดินทาง เข้า กทม ด้วยรถทัวร์ ไปถึงตี 4 ขึ้นรถ taxi ไป สุวรรณภูมิ รอขึ้นเครื่องบิน 7 โมง เมื่อถึงเชียงรายก็มีรถของทาง สันติภาวนา มารอรับที่สนามบินเพื่อไปส่งถึงสถานที่ปฏิบัติธรรม เมื่อมาถึง ผู้ปฏิบัติทุกท่านก็จะมาเช็คชื่อที่โต๊ะลงทะเบียน เพื่อรับบัตรป้ายชื่อดูผังที่นั่งและห้องพักที่แต่ละคนได้รับ รวมถึงใบตารางกิจกรรม 1 แผ่น ที่ระบุกฎระเบียนและตารางเคร่าๆในแต่ละวันไว้

                                    (พี่กิ๊ฟ พี่แก้ว ผู้ชวนเข้าปฏิบัติและจัดการให้ทั้งหมดในคอร์สนี้)

       จากนั้นก็เข้าที่พักทำกิจเปลี่ยนชุดขาวปฏิบัติธรรมและทานอาหารเที่ยง รวมถึงรอผู้ปฏิบัติท่านอื่นๆทยอยเดินทางกันเข้ามาเพราะมีผู้เข้าอบรมประมาณ 60 ท่าน มาจากหลากหลายที่ ก่อนจะถึงเวลานัดบ่ายโมง เพื่อเข้าไปอบรมตอนประมาณบ่ายสองพร้อมๆกัน เริ่มต้นด้วยทางคุณหญิงกล่าวต้อนรับและแจ้งระเบียบปฏิบัติให้ผู้อบรมทุกท่านทราบ ซึ่งในคอร์สนี้ จะเป็นผู้อบรมเดิมที่เคยเข้าร่วมมาในครั้งก่อนๆแล้วหลายท่าน จะมีคนใหม่ประมาณ 7 – 8 คน 

      ที่นั่งในการปฏิบัติมีทั้งเป็นเก้าอี้สำหรับบางท่านที่ไม่สะดวกนั่งกับพื้น และเป็นที่นั่งคล้ายๆอาสนะ มีเบาะหลังเพื่อให้นั่งกับพื้นได้สะดวกขึ้น

      จากนั้น ประมาณ ครึ่งชั่วโมงหลังจากคุยข้อปฏิบัติแล้ว ทางพระอาจารย์ก็เข้ามา เนื่องด้วยส่วนมากเป็นผู้เคยเข้าร่วมอบรมแล้ว ท่านจึงไม่ได้แนะนำอะไรมาก มีเพียงการแจ้งว่าการอบรมนี้จะไม่ได้ใช้การปิดวาจา แต่เมื่อถึงตอนเข้าห้องหรือช่วงเวลาที่ท่านให้ปฏิบัติก็ขอให้ตั้งใจตามที่ท่านว่า แปลว่าเมื่อพักเบรกทางเรายังสามารถพูดคุยกันได้ แต่ก็ให้พองามเกรงใจผู้ปฏิบัติท่านอื่นด้วยไม่ให้รบกวน หลังจากให้ศีลบางท่านศีล 5 บางท่าน ศีล 8 เพื่อให้ทุกท่านรักษาศีลตลอดการอบรมใน 5 วันนี้

     ท่านให้เปลี่ยนตารางเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะสม คือช่วงบ่ายจากเดิมที่จะสอนนั่ง ท่านขอเริ่มด้วยการสนทนาธรรม ตอบคำถามผู้ที่สงสัย เพื่อให้พอรู้จักกันมากขึ้นไปในตัว มีตั้งแต่การทำบุญ การสวดมนต์ การกรวดน้ำ จุดธูป และประวัติบางช่วงบางตอนในพระพุทธศาสนา

       ส่วนตัวมีความสงสัยอย่างเช่นกรวดน้ำจำเป็นมั้ย สวดมนต์ไม่รู้ความหมายได้บุญมั้ย จึงยกมือถามท่าน เมื่อถามสิ่งแรกที่ท่านถามกลับเนื่องจากเราเป็นคนใหม่ ท่านจึงถามว่าชื่ออะไร แปลว่าอะไร เคยปฏิบัติอะไรมั้ย พอท่านถามชื่อแปลว่าอะไร ก็ตกใจ ตอบสั้นๆไม่เป็น จึงอธิบายความหมายแปลแยกบาลี นรุตม์ เกิดจาก นรชน + อุตมะ นรชนแปลว่าคน อุตมะแปลว่าเหนือ จึงรวมเป็น เหนือผู้คน ครับ สรุปใจความได้ดังนั้นท่างจึงจำชื่อเราได้ว่า นอติรุตม์ ตลอดทั้งคอร์ส ทุกคนจำเป็นชื่อนี้หมด ป้ายชื่อไม่ได้มีประโยชน์อันใด เพราะท่านจะเรียกเป็นชื่อนี้ตลอด

      จบภาคบ่าย ทานอาหารเย็น ( สำหรับศีล 8 จะได้แค่น้ำ ) ทำกิจวัตรเสร็จ ประมาณ หนึ่งทุ่มเข้าอบรมต่อ ครั้งนี้มาถึง ท่านว่าไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไร ให้กำหนดพุทโธและนั่งสมาธิเลย ก็ไม่ติดอะไรครับก็นั่งสมาธิทั่วไป นั่งไปดูลมหายใจพุทโธ ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ นั่งไปท่านก็จะมีพูดเทศน์สอนไปบ้าง ทีนี้นั่งๆไป เห้ยเริ่มปวด ในใจก็ว่าไม่ไหวๆ ซักพักท่านก็เรียกชื่อ และบอกให้อดทนดูลมหายใจ อาจเป็นเพราะเราแสดงอาการ แล้วก็มีชื่อคนอื่นถูกเรียกตลอดที่เรานั่งหลับตา พอจะหลุดๆไม่ว่าจะภะวังหรือจะหลับ ก็มาอีกฟิคสติขึ้นหน่อย เสียงท่านก็ดังขึ้นมา

       เป็นการนั่งที่ปวดและทรมาณมาก อาการเจ็บเวทนาขึ้นมาอย่างไม่เคยประสบมาก่อนเพราะทุกครั้งไม่มีใครมาบังคับไม่ต้องนั่งให้ใครดูขาชาก็ลุก คันก็เกา ปวดก็ขยับ อันนี้ท่านว่าให้ดู อย่าขยับ ทีนี้ด้วยความที่กลัวโดนดุและอายเค้าก็ไม่กล้าลุกหรือลืมตา จึงได้แต่ทนกับทน ท่านว่าไม่ต้องสนใจเอาแต่พุทโธก่อน อะไรไม่ใช่พุทโธไม่ใช่งานของเรา แต่พูดก็ไม่ง่ายเหมือนทำหรอกครับก็มีพยายามขยับบ้างเอาแบบเนียนๆนิดๆหน่อยๆก็เอาเพื่อทุเลาอาการ แต่ก็ยังมิหาย ซึ่งนานไปมันก็หายแต่หายปึบก็มาใหม่ทีนู้นที่นี้ไปมา ไม่ได้มีความสงบ สบายอันใดเลย
       และในที่สุดสวรรค์ทรงโปรดท่านบอกอีก 10 นาที ก็อดดีใจไปไม่ได้ลืมความปวดไปชั่วขณะ นึกได้ก็มาปวดต่อ แต่แล้วเสียงสวรรค์ที่แท้ก็มา เอ่าค่อยๆลืมตาได้ เสียงพระอาจารย์พูด ความอึดอัดหายไปขยับตัวเพื่อลดความปวดที่เกิดขึ้นทันที ท่านว่านี่ก็นั่งมาซักพักใหญ่แล้ว เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำอะไรก่อนจะให้มาส่งอารมณ์ เพื่อเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นรู้สึกให้ท่านฟัง ที่ท่านว่าซักพักใหญ่ท่านบอกว่าตอนนี้ สามทุ่มกว่าแล้ว และพวกเรานั่งไปประมาณ สองชั่วโมง รีบหันมองดูนาฬิกาเพราะไม่เชื่อว่าจะนั่งมาแล้ว 2 ชั่วโมง คือรู้ว่ามันนานแต่ไม่คิดว่าจะผ่านมาถึงขนาดนี้ ปกติในชีวิต ครึ่งชั่วโมงก็สุดๆแล้ว นี้คือการนั่งที่นานที่สุดในชีวิต เอาจริงคือส่วนใหญ่ในห้องก็ตกใจ และก็บอกเหมือนกันว่าไม่เคยนั่งนานขนาดนี้และไม่คิดว่าตัวเองจะนั่งได้ด้วย

                                                                ( บรรยากาศในการปฏิบัติ)

     เมื่อถึงการส่งอารมณ์ ท่านก็เรียกถาม ส่วนตัวก็ได้แต่บอกไปว่าเจ็บ ซึ่งจำไม่ได้ว่าท่านตอบอะไรบ้าง แต่ที่เห็นจากการส่งอารมณ์คือทุกคนไม่ว่าคนที่เราคิดว่าน่าจะนั่งมานาน ฝึกมานาน เด็ก แก่ เก้าอี้ หรือพื้น ทุกคนก็เกิดทุกขเวทนาทั้งสิ้น ทุกคนบอกว่าปวด บอกว่าเจ็บ เพียงแต่อารมณ์แต่ละคนเท่านั้นที่ต่าง บ้างก็ว่าก็มองดู บ้างก็ว่าทนไม่ได้ บ้างก็ว่าหลับ แตกต่างกันไปในแต่ละคน ท่านได้อธิบายแก้ไขแต่ละคนที่ท่านถาม ก่อนจะอธิบายอานิสงส์และเล่าเรื่องผลบุญและการแผ่นส่วนบุญเพิ่มเติม

      พระอาจารย์มีเล่าว่ามีเปรตมารวมกันที่นี่อยู่มากมายในวันก่อน อาจเพราะพวกเขามารอส่วนบุญจากการอบรมครั้งนี้ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่พอดีตัวเองเชื่อด้วยสิ) ที่เกิดจากผู้ที่มาร่วมปฏิบัติ และหลายท่านก็เพิ่งไปงานกฐินมา เอาจริงฟังแล้วจิตใจก็ไม่ได้เป็นกุศลเลย เป็นกลัวซักมากกว่ากับเรื่องเล่าในวันแรกนี้ แล้วคืนนี้ฉันจะหลับตาลงได้อย่างไร คือปกตินอนดึกและพอมาอบรมก็ปล่อยนอนเร็วด้วย คืนแรก สวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จก็ปล่อยนอนสามทุ่มครึ่ง

     ถึงห้องพักอาบน้ำ เตรียมพร้อมนอน ถึงจะไม่ใช่เวลานอนปกติแต่ส่วนหนึ่งอาจล้ากับการเดินทางและนั่งสมาธินี้ ทำให้สามารถหลับลงได้ แต่ก็มาตื่นเอากลางดึก ความกลัวจากจิตปรุงแต่งเรื่องเปรต เรื่องผีก็วิ่งเข้ามา ปรุงแต่สนุกเชียว คือตำแหน่งนอนเลือกก่อนก็ไปเลือกจุดมุมอับเพราะรู้สึกปลอดภัย ไม่ติดหน้าต่าง มองไม่เจอประตู แต่ก็ใต้แอร์ คือร้อนก็ร้อน พอจะถีบผ้าห่มออกก็กลัว สุดท้ายความกลัวชนะ คลุมโปงนอน ร้อนกะได้ไม่เป็นไร ก่อนจะหลับลงไปเพื่อจะได้ตื่นทันตีสี่ครึ่ง ในวันรุ่งขึ้น

      เนื่องด้วยพยายามเล่าให้ละเอียด แต่เอาจริงๆก็มีรายละเอียดมากกว่านี้มากยิ่งเรื่องที่พระอาจารย์เทศน์สอนและสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนั่งปฏิบัติ แต่ที่พอนึกได้นี้ก็ว่าเขียนมายาวแล้ว จึงขอจบวันแรกเพียงเท่านี้ก่อน เพราะต้องไปทำเงินเดือนต่อให้เสร็จ ไว้จะมาเขียนบันทึกเพิ่มเติมอีกครับ ขอบคุณครับ
     (ทั้งหมดนี้คือความคิดเห็น และเรื่องที่ประสบโดยส่วนตัวนะครับ) 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in