เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
my writings.anonym.
[OS] Goodbye love, you flew right by love.

  • Pairing: Hwang Minhyun x Kim Jonghyun
    Rating: Teen And Up Audiences











    Pictures I’m living through for now
    ความทรงจำเหล่านี้ยังคงอยู่ในหัวของฉัน




    ผมมองเพดานห้องอยู่นาน มันผิดวิสัยของคนอย่างผมไม่น้อยที่เลือกจะนอนเหม่อมองบางอย่างอย่าง
    ไร้จุดหมาย แทนที่จะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาอันมีค่าไม่กี่ชั่วโมงนี้เพื่อพักผ่อนเอาแรง ก่อนที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับงานที่หนักหน่วงอีกครั้ง


    การตัดสินใจที่ผิดพลาดมักจะทำให้เราย้ำคิดวนไปเวียนมาในหัว เอ่ยสบถด่าตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีอะไรน่าตำหนิได้เท่ากับตัวผมอีกแล้ว แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่ผลักดันให้ผมทำทุกอย่างดังใจคิดก็ตาม แต่ถ้าผมปิดกั้นตัวเองมากกว่านี้ เข้มงวดกับความต้องการของตัวเองมากกว่านี้ และใจแข็งกับเขามากกว่านี้... เรื่องบ้า ๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น...


    แม้จะผ่านมาหลายวันนับแต่คืนวันนั้น ทุกคำพูด ทุกการกระทำกลับฝังตรึงในความทรงจำ แม้ก่อนหน้านั้นอาจเลือนรางเพราะสติที่ไม่ค่อยสมปะดีนัก แต่เมื่อคิดถึงมันมากเท่าไรก็คล้ายกับเป็นกรีดสลักทุกอย่างให้ลงลึกจนเด่นชัด เป็นภาพกรอวนไปมาให้หัวใจพองโตสลับเหี่ยวเฉาในคราเดียวกัน


    ควันสีขุ่นจากริมฝีปากไม่อาจระบายความอัดอั้นในใจของผม บุหรี่มวนแล้วม้วนเล่าที่ผมจุดขึ้นมาค่อย ๆ สั้นลงจนเหลือเพียงเศษขยะไร้ค่า กลิ่นขืนฉุนอบอวลไปในห้องรับแขกที่มืดมิดเพราะผมไม่เปิดไฟดวงใดเลยตั้งแต่เดินเข้าบ้านมา มีแต่เสียงทอดถอนหายใจเป็นระยะกับเสียงเข็มนาฬิกาเดินเป็นจังหวะ ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก ดังชัดในหู เป็นจังหวะสม่ำเสมอกับหัวใจของผม


    มือยกขึ้นแตะริมฝีปากอย่างเผลอไผล สัมผัสนุ่มหยุ่นของริมฝีปากคู่นั้นยังคงร้อนผ่าวบนริมฝีปากของผม แค่นึกถึงเท่านั้นหัวใจก็เต้นรัวขึ้นมา ผมลดมือลงในทันทีเมื่อความรู้สึกสะอิดสะเอียนเข้ามาแทนที่ ไม่ได้รังเกียจคนที่ประทับรอยจูบบนริมฝีปากของผม แต่กลับรังเกียจตัวเองที่อ่อนแอและเพ้อฝันเหมือนคิมจงฮยอนคนเดิมอีกครั้ง




    Trying to remember all the good times
    พยายามจดจำในเรื่องดี ๆ ระหว่างเรา





    ลืมเสียสิ้นว่ามือซ้ายที่เข้าประคองใบหน้าของผมไว้ ยามทาบทับริมฝีปาก


    ลืมสัมผัสเย็นเยียบของแหวนสีเงินบนนิ้วนาง ยามยกขึ้นเกลี่ยใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยน


    ผมหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า เปลือกตาหนักอึ้งไม่ช่วยทำให้ผมรู้สึกอยากพักผ่อนอย่างที่ควรจะเป็น มันดึงดันที่จะฝืนลืมขึ้นเช่นเดียวกับความคิดในสมอง


    หยุดได้แล้ว


    ต้องหยุดก่อนที่จะถลำลึกไปกว่านี้


    เสียงกริ่งที่ทำลายความเงียบขึ้นมาทำให้ผมสะดุ้ง ดวงตาลืมขึ้นพลางมองไปทางนาฬิกาติดผนังที่บอกเวลาว่าตอนนี้ปาไปตีสามกว่าแล้ว ใครจะมาหาผมในช่วงเวลานี้


    คงไม่ใช่...


    ผมสลัดความคิดไร้สาระออกไปจากหัว อาจจะเป็นมินกิก็ได้ หมอนั่นชอบเอามาหาไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว เดินไปตามทางเดินอย่างไม่รีบร้อนเท่าไร มือกดดูอินเตอร์คอมที่หน้าจอปรากฏภาพของชายหนุ่มกำลังยิ้มกว้างพลางโบกไม้โบกมือให้กับกล้อง ผมคิดอยู่นานเลยทีเดียวว่าจะยิ้มกับความบ้า ๆ บอ ๆ หรือหงุดหงิดความไม่รู้จักเวล่ำเวลาของเขาดี


    “มีอะไรเหรอพี่?”


    “จงฮยอนนี่ ให้ฉันเข้าไปก่อนเถอะ ข้างนอกนี้หน๊าวหนาว”


    ด้วยเพราะผมมักจะใจอ่อนกับพี่ชายคนนี้เสมอ จึงรีบเปิดล็อคประตูเพื่อให้คนอายุมากกว่าเข้ามา แต่ร่างที่แทรกตัวเข้ามาทันที่ที่ประตูเปิดออกกลับไม่ใช่พี่อาร่อนอย่างที่ผมคิด...


    ผมมองร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา


    เสียงเอ่ยคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าของคนที่ยังอยู่นอกบ้านไม่เข้าหูของผมเลยแม้แต่น้อย มือของผู้มาใหม่ถือวิสาสะปิดประตู เสียงกดล็อคตามด้วยเสียงสั้น ๆ ยามที่มือของอีกฝ่ายเอื้อมปิดหน้าจออินเตอร์คอมเรียกสติของผมกลับมาอีกครั้ง


    “กลับแล้วนะ” อาร่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงต่างกับบรรยากาศในตัวบ้านอย่างสิ้นเชิง เสียงสตาร์ทรถดังขึ้นก่อนจะค่อย ๆ แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงความเงียบเท่านั้นที่โรยตัวในขณะนี้


    ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกจากปากของผมหรือเขาแม้แต่คำเดียว อันที่จริงผมมีหลายอย่างที่อยากจะพูดออกไป แต่คำพูดเหล่านั้นได้ถูกกลืนหายไปเสียหมดเพียงเพราะเห็นสายตาเว้าวอนของคนตรงหน้า


    ตลกสิ้นดี ความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาของผมพังทลายลงโดยใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน


    ไม่ มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ


    “กลับไปซะ” ผมเอ่ยเสียงเรียบ มือเอื้อมไปหมายจะเปิดประตูและเชิญให้อีกฝ่ายออกจากบ้านของผมไป แต่กลับถูกมือของเขาฉวยไว้ก่อน ผมมองมือข้างนั้นนิ่ง ก่อนจะมองไปยังมืออีกข้างของเขา มือซ้ายตรงนิ้วนางข้างซ้ายนั่น


    มีแหวนสีเงินเกลี้ยงสวมอยู่




    Our life was cutting through so loud
    แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเรานั้นแหลกสลายไม่มีชิ้นดี





    ผมดึงมือของตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมของเขาอย่างรวดเร็ว


    “กลับไปซะ คุณฮวัง”


    “ฉันปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้” ผมมองเท้าของตัวเองนิ่ง ขณะฟังเจ้าของร่างสูงเอ่ยประโยคนั้น ใจความของมันแสดงออกถึงความรั้นอย่างที่เขาเป็นและไม่เคยเปลี่ยน


    ความรั้นที่จะทำให้ทุกอย่างยากขึ้น


    “แต่คุณต้องปล่อยให้เป็นแบบนี้” ตัดสินใจเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา “คุณทำได้มาตลอด แค่ทำมันไปเรื่อย ๆ คงไม่เกินความสามารถของคุณหรอก”


    “นาย— นายไม่รู้หรอกว่าฉัน—” ผมรู้สึกได้ถึงความโกรธในดวงตาคมที่ดูอ่อนล้าคู่นั้น เขามองหน้าผมอยู่นานคล้ายกับกำลังประมวลหาคำพูดที่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้ “มัน... ทรมานมาก จงฮยอน มันทรมานจริงๆ...” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรวดร้าวจนผมรู้สึกได้


    แต่นั่นเทียบไม่ได้เลยกับแววตาที่ฉายชัดในนัยน์ตาสีเข้มคู่นั้น


    ผมรู้ดีว่าเขาต้องการจะสื่อถึงอะไร สำหรับผมแล้ว ดวงตาของเขาก็เหมือนกับหนังสือที่มีแต่ผมเท่านั้นที่สามารถอ่านและเข้าใจความหมายซึ่งซ่อนอยู่ได้


    และทุกครั้งที่ผมรู้ถึงความหมายของมัน มือที่มองไม่เห็นจะยื่นเข้ามาบีบรัดหัวใจของผมให้เจ็บร้าว


    ตอนนี้ก็เช่นกัน


    ผมหลับตาลง


    “สัญญากับผมได้ไหม ว่าคุณ... จะไม่แตะต้องตัวผม” โดยเฉพาะมือข้างซ้ายของนาย


    เขามองหน้าผมด้วยแววตาเศร้าสร้อยอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะเสหลบสายตาของผม “มินฮยอน...” ดวงตาของเขาเบิกกว้าง อาจจะเป็นเพราะชื่อของเขาที่หลุดจากปากของผม หรือเพราะมือที่ยกขึ้นทาบซีกหน้าด้านซ้ายของเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของคนตรงหน้าหยุดที่ผมทั้งหมด สัมผัสสากจากไรหนวดที่ระคายฝ่ามือย้ำให้ตระหนักว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ใช่ความฝัน


    “อย่าแตะต้องตัวฉัน...” ผมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ตัดสินใจยอมให้เขากลับมาเป็นมินฮยอน ไม่ใช่คุณฮวังที่ห่างเหิน... หลังจากนั้นจึงรั้งลำคอของเขาลงมาและค่อย ๆ กดจูบตรงมุมปากอย่างแผ่วเบา ไม่นานนักจึงเลื่อนไปทาบทับบนริมฝีปากอิ่ม ความไม่มั่นคงในจิตใจตอนนี้ทำให้ผมนึกถึงจูบแรกระหว่างผมกับเขา


    อารมณ์คึกคะนองสมัยวัยรุ่นที่อยากรู้อยากลองเพียงเพราะเหตุผลโง่ ๆ ที่เข้ามาในหัวว่า คน ๆ นี้มีอะไรดีนักหนา ผลักดันให้ผมกล้าทำในสิ่งที่ไม่คิดจะทำมาก่อน


    เสียงฝนพรำผสานกลิ่นอายดินยังชัดเจนในความทรงจำ จูบไร้ซึ่งประสบการณ์ประทับอย่างเคอะเขินบนริมฝีปากของเพื่อนร่วมห้องที่ผมทั้งอิจฉาและชื่นชม ในวันนั้นผมคิดว่าไม่มีอะไรที่จะทำให้จูบเช่นนั้นตราตรึงในใจของใครคนหนึ่งได้ ขนาดแฟนสาวของผมยังไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรนักกับรสจูบของผมเลย


    ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนงี่เง่าคนหนึ่งชอบมัน และทำให้เหตุการณ์ในวันนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมและเขาต่างโหยหาในจุมพิตของกันและกัน




    Memories are playing in my dull mind
    หลากความทรงจำยังวนเวียนไปมาในสมองแสนทึมนี้





    ผมตกใจไม่น้อยที่เขาถอนริมฝีปากออกไปอย่างรวดเร็ว


    “ฉันขอโทษ” เขาเอ่ยพลางดันร่างของผมจนแผ่นหลังชิดติดกับผนัง ไม่แปลกใจเท่าไรนักที่คนตรงหน้าเลือกที่จะละเลยสัญญาเมื่อครู่ ขนาดผิดสัญญาที่จริงจังกว่านี้เขาก็เคยทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับลมปากแค่นี้... ผมมองเขาที่ยกมือขวาสัมผัสใบหน้าของผมอย่างแผ่วเบา “ฉันขอโทษ..." คล้ายกับรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยย้ำมันอีกครั้ง และลดระยะห่างระหว่างเราด้วยจุมพิตที่ล้ำลึกกว่าที่ผมมอบให้เขาในคราแรก


    ผมค่อยๆหลับตาลงและตอบรับทุกสัมผัสอย่างเต็มใจ



    หากมีคำว่า ‘เริ่มต้น’ ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องมีคำว่า ‘สิ้นสุด’


    จุดจบของความสัมพันธ์แปลกประหลาดของเรานั้นมาเร็วและรุนแรงเกินกว่าที่ผมจะรับได้ ก่อนหน้านั้นเราสามารถจูบกันได้ด้วยความรู้สึกที่ดี แม้แต่ละคนจะมีแฟนสาวก็ตาม แต่ในที่สุดเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงจุดที่ผมไม่อาจทำใจเข้าใกล้เขาได้อีกต่อไป


    เว้นแต่...


    ผมค่อย ๆ เลื่อนมือมากอบกุมมือซ้ายของเขาที่วางทาบผนังไว้ “ครั้งสุดท้าย...” ผมเอ่ยแผ่วขณะที่เขาไล้ริมฝีปากไปตามสันกรามของผม สัมผัสที่โหยหามาตลอดทำให้ผมหลับตาลง พลางรูดแหวนวงนั้นออกจากนิ้วนางข้างซ้ายของเขา




    I hate this part paper hearts
    ฉันเกลียดที่ตัวเองอ่อนแอและเปราะบางเช่นนี้





    “ครั้งสุดท้าย” เขากระซิบเสียงพร่าชิดริมฝีปากของผมและกดจูบที่ริมฝีปากของผมอีกครั้ง ครั้งนี้มือซ้ายของเขาสามารถสัมผัสร่างกายของผมได้อย่างอิสระ ผมหย่อนแหวนลงนั้นลงในกระเป๋าเสื้อของเขาและยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอของอีกฝ่ายจนไม่เหลือช่องว่างใด ๆ ระหว่างเราอีก


    ครั้งสุดท้าย...


    คำว่า รัก ออกจากปากของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า


    เช่นเดียวกับแววตาของเขาที่มองผม


    เช่นเดียวกับความรู้สึกของผมที่มีให้เขา...


    ช่างน่าเศร้าที่ผมไม่สามารถเอ่ยคำ ๆ นี้กับเขาได้ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม




    And I’ll hold a piece of yours
    ฉันจะเก็บรักษาหัวใจของคุณไว้





    เรานอนกอดกันบนโซฟา บางทีการแสดงออกถึงความรักไม่จำเป็นที่จะต้องจบลงด้วยเซ็กซ์เสมอไป ใช่ ความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นอย่างนั้น หากเป็นเมื่อก่อนเราจะนอนคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องส่วนตัว ชีวิตการทำงาน คนที่เราชอบหรือไม่ชอบ หรือแม้กระทั่งแฟนสาว


    แต่ครั้งนี้กลับมีแต่ความเงียบ ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง


    เสียงหัวใจเต้นอย่างสม่ำเสมอของเขาดังอยู่ข้างหูของผม แม้จะมีความสุขแค่ไหนที่ตัวเองคือคนที่ได้ครอบครองมัน ในความเป็นจริงนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาเดินออกจากบ้านของผมไปหลังจากนี้ ถึงผมจะยังคงได้ครอบครองมันอยู่ แต่ไม่มีทาง... ไม่มีทางที่ผมจะมีความสุขกับมันอีก...


    “มินฮยอน...” ผมเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบใบหน้ายังคงอิงซบแผ่นอกของเขาไว้และไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่กอดร่างของผมไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหนีหายไปไหน “นายเข้าใจใช่ไหมว่า นี่เป็นครั้งสุดท้าย”


    หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น นานเลยทีเดียวที่เขาจะเอ่ยคำว่า “เข้าใจ...” ออกมาได้


    ผมมองรอยนูนตรงกระเป๋าเสื้อของเขาแล้วแค่นยิ้มออกมา


    “เข้าใจก็ดีแล้ว”




    Don’t think I would just forget about it
    ฉันไม่อาจลืมเรื่องราวระหว่างเราได้





    “ฉัน......” ผมเงียบไปต่อสู้กับจิตใต้สำนึกของตัวเองว่า จะเอ่ยความต้องการนี้ออกไปดีหรือไม่ แต่แล้วความเห็นแก่ตัวของผมก็ชนะ


    นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะรู้สึกผิดในเรื่องนี้


    “ฉันอยากให้นาย... จำวันนี้เอาไว้...” ผมเงยหน้ามองเขา “นายจะต้องจำมันไปตลอดชีวิตของนาย จำมันเป็นเพื่อนฉัน...” ผมยิ้มให้เขาทั้งๆที่ขอบตาช่างร้อนผ่าว ก่อนจะเอื้อมมือโน้มใบหน้าของเขาลงมา


    “อย่าทิ้งให้ฉันเป็นคนที่จำมันได้แค่คนเดียว...”




    Hoping that you won’t forget
    หวังว่าคุณก็คงไม่ลืมเช่นกัน





    รสชาติของ จูบลา มันขมปร่าและหวานหอมแบบนี้นี่เอง







    Goodbye love, you flew right by love
    ลาก่อนที่รัก แด่คุณที่จากฉันไปแล้ว









    End














    ? ขอบคุณเพลง Paper Heart ของ Tori Kelly สำหรับความหมายและเนื้อหา และ Please Don’t Go ของ Barcelona ที่มอบอารมณ์อกหักแบบขุ่นมัวให้ ถ้าอารมณ์ของจงฮยอนคือเพลง Paper Heart อารมณ์ของมินฮยอนก็คือ Please Don’t Go นี่แหละ /แนะนำให้เปิด Please Don't Go ฟังตอนช่วงกลาง-ท้ายของเรื่อง

    ? ธีมหลักของเรื่องนี้คือ ‘จงฮยอนไม่มีทางยอมให้คนที่นิ้วนางข้างซ้ายใส่แหวนคนอื่นอยู่แตะต้องตัวเขา แม้ว่าเขาจะรักอีกฝ่ายมากขนาดไหนก็ตาม’

    ? Pictures I’m living through for now ตามความหมายในเพลงก็คือรูปถ่าย แต่เราอยากให้เข้ากับเนื้อเรื่องหน่อย เลยแปลเป็นความทรงจำแทนค่ะ

    ? Goodbye love, you flew right by love นี่แปลให้สวยยากแหะ พยายามสุดได้แค่นี้จริงๆ ถ้าอธิบายก็จะประมาณว่า ลาก่อนที่รัก คุณจะบินหนีไปแล้ว อุปมาอุปมัยได้ว่า ความรักของเราจบเร็วชะมัด ในเรื่องมีช่วงหนึ่งที่เราใช้ประโยคนี้อยู่

    ? คุณคิดว่าครั้งสุดท้ายที่เขาพูดกันนี่จริงหรือไม่?

    ❤️ สุดท้ายนี้มีอะไรติชมได้ที่ #anonymfics นะคะ ขอให้สนุกกับการอ่านค่ะ



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in