เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แอดเวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี ฉบับ TAIPEI PANIC เพียงชายคนนี้ไปไทเปSALMONBOOKS
มึงจะไปไต้หวันทำไม






  • ตอบตามตรงว่าตอนที่ตัดสินใจจะไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไต้หวันมีดีอะไร หรือผมจะไปทำอะไรที่นั่น (อ้าว!)

    มันไม่เหมือนตอนไปเกาหลีใต้ที่มีจุดมุ่งหมายแน่นอนว่า ฉันจะไปติ่ง ฉันจะไปดูคอนเสิร์ตวง Big Bang หรือตอนญี่ปุ่นที่ฉันจะไปตามหาทุ่งอีเธอร์ในหนังเรื่อง All About Lily Chou-Chou เพราะมันคือหนังในดวงใจของฉัน บลา บลา บลา

    แต่ผมตั้งต้นทริปไต้หวันครั้งนี้ ด้วยความว่างเปล่าจริงๆ ครับ

    เอาเข้าจริงแล้ว ผมเอง (และอาจจะรวมถึงหลายๆ คน) แทบไม่รู้จักประเทศไต้หวันเลย แม้แต่วัฒนธรรมป๊อปของเขาอย่างเพลง หนัง ละครทีวี ผมก็รู้สึกว่ามันลับแลมาก ต่างจากพวกญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่เราต่างก็รู้จัก โดราเอมอน ดราก้อนบอล ต้องเคยได้ยินเพลงของวง Girls’ Generation หรือ Super Junior

    ถ้าถามว่าพูดถึงไต้หวันแล้วคิดถึงอะไร ให้นึกคำตอบแบบเร็วๆ ก็คงเป็น เจย์ โชว (Jay Chou หรือนักร้องที่ชอบถูกล้อว่าหน้าเหมือนพี่เท่ง) ทาเคชิ คาเนชิโร่ (Takeshi Kaneshiro) ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นคนญี่ปุ่น แต่ที่จริงพี่เขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-ไต้หวัน หรือ อั้งลี่ (Ang Lee) ผู้กำกับ Life of Pi (ซึ่งหลายคนก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าพี่แกเป็นคนไต้หวัน)

    ...หมดแล้วครับ คิดออกแค่นี้แหละ  

    หรือถ้าลองไปเดินตามร้านหนังสือ ไกด์บุ๊คนำเที่ยวไต้หวันนี่มีแทบนับเล่มได้เลย ต่างจากไกด์บุ๊คของประเทศญี่ปุ่นที่แทบจะออกใหม่กันรายสัปดาห์ มีเจาะลึกทุกจังหวัดทุกภูมิภาค แถมมีทุกสไตล์ เที่ยวแบบแมส เที่ยวแนวแดกล้างโลก เที่ยวน้ำพุร้อน แช่ออนเซ็น เที่ยวแบบป่าเขาธรรมชาติ หรือกระทั่งสำนักพิมพ์แซลมอนมันยังออกหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นทุกงานหนังสือเลย (อ้าว จะแว้งกัดสำนักพิมพ์ตัวเองทำไม)

    และอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ตอกย้ำความลับแลของไต้หวันได้มากที่สุดคือ ผมเคยเห็นป้ายโปรโมตการท่องเที่ยวของไต้หวันแปะอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ป้ายใหญ่เบ้อเริ่ม ชนิดว่าทุกคนที่เดินผ่านต้องเห็นแน่นอน แต่ความเซอร์คือมันมีแค่รูปกราฟิก แล้วก็คำโปรยว่า Let’s go to Taiwan อะไรประมาณนี้แล้วจบเลย ไม่มีเว็บไซต์ ไม่มีเฟซบุ๊ค ไม่มีลิงก์ให้ไปดูข้อมูลต่อ ตกลงว่ามึงอยากให้กูไปหรือไม่ไปเที่ยวกันแน่วะเนี่ย

    มาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าเดิมทีก็ไม่มีแผนจะไปเที่ยว การโปรโมตการท่องเที่ยวก็โคตรเซอร์ แล้วทำไมผมถึงอุตริจะไปไต้หวันขึ้นมา ขอบอกว่าทริปไต้หวันของผมเกิดขึ้นอย่างมักง่ายมากเลยครับ

    เรื่องมีอยู่ว่าผมเล่าเรื่องตอนไปเที่ยวฮ่องกงให้รุ่นพี่คนหนึ่งฟัง แล้วบ่นว่าไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ รู้สึกไม่ชินกับความอีโมของคนที่นั่น เสิร์ฟข้าวก็วางดัง โครม! หรือเวลาเก็บจาน พี่แกก็วางใส่รถเข็นดัง เพล้ง! ก็รู้นะว่ามันเป็นไลฟ์สไตล์บ้านเขา แต่แบบไม่ชินอะ กูทำผิดอะไรเหรอ ทำไมต้องอีโมใส่กูด้วย (ร้องไห้)

    พอพี่แกฟังผมระบายความช้ำใจจนเสร็จสรรพก็แนะนำกลับมาว่า “ไม่ลองไปไต้หวันดูล่ะ ดีกว่าฮ่องกงนะ ผู้คนไนซ์กว่า คล้ายๆ ญี่ปุ่นน่ะแหละ” พอได้ยินคำว่าญี่ปุ่นผมก็หูกระดิกทันที ความที่เป็นคนชอบอะไรญี่ปุ่นๆ อยู่แล้ว เลยคิดได้ว่า เอ้อ น่าสนใจดีแฮะ ประเทศแถบเอเชียก็เก็บไปหลายอันแล้ว เหลือไต้หวันนี่แหละที่ยังไม่ได้ไป (ส่วนจีนแผ่นดินใหญ่ไม่ไปเด็ดขาด แค่เจอทัวร์จีนบนรถไฟฟ้าก็แทบวิ่งหนีข้ามโบกี้แล้ว กูจะส่งตัวเองไปตายทำไม)

    นับจากนั้นผมเลยแพลนทริปไปไต้หวันอย่างเงียบๆ กะว่าไปแค่ไทเปก่อนแล้วกัน สักเจ็ดวันกำลังดี แต่ทริปครั้งนี้ต่างจากทริปก่อนหน้าของผมนิดหน่อย ตรงที่ปกติผมมักเอาคอนเสิร์ตเป็นตัวตั้งในการไปต่างประเทศ (เช่น ตอนเกาหลีใต้ไปดู Big Bang ตอนญี่ปุ่นไปดู Luna Sea) แต่คราวนี้ผมจะยึดการเที่ยวเป็นหลักบ้าง คอนเสิร์ตอะไรช่างมัน เดี๋ยวไปหาเอาดาบหน้า (ยังไม่วาย…)

    สาเหตุก็คือการเที่ยวโดยเอาคอนเสิร์ตเป็นตัวตั้ง ทำให้ผมต้องไปประเทศนั้นๆ ในฤดูภัยพิบัติหรือเจอกับความซวยบางอย่างอยู่เสมอ เช่น ไปโตเกียวแล้วเจอหิมะตกหนักที่สุดในรอบเจ็ดปี หรือว่า
    ไปฮ่องกงก็ดันเจอไต้ฝุ่นเบอร์แปดเกือบกลับบ้านไม่ได้ (คือก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปัญหามันอยู่ที่อากาศหรือตัวกูเองกันแน่) ถึงขั้นเคยเจอคนอ่านพิมพ์ในทวิตเตอร์ว่า “เวลาเมอฤดีไปประเทศไหนต้องระวังตัวนะ อย่าไปช่วงเดียวกับนางล่ะ” (เจ็บแค้นเคืองโกรธ โทษฉันไย...)

    ทริปไต้หวันของผมเลยเลือกช่วงเวลาที่มันน่าจะปลอดภัยและเที่ยวสบายหน่อยอย่างเดือนมีนาคม ซึ่งเขาว่าเป็นช่วงที่เปลี่ยนจากฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็กำลังชิล แถมไม่ใช่ช่วงมรสุมด้วย อาห์ เราจะได้เที่ยวอย่างปกติสุขแบบชาวบ้านเขาเสียที (แต่แน่นอน...เดี๋ยวจะได้พบว่าผมคิดผิด)

    ถึงอย่างนั้น ผมก็ขอสารภาพว่าทริปไต้หวันของผมค่อนข้างโฉดชั่วพอสมควร คือตอนจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม ผมยังเขียน เพียงชายคนนี้เป็นอาจารย์พิเศษ หนังสือเล่มก่อนหน้านี้ไม่เสร็จเลยครับ และทันทีที่ต้นฉบับชิ้นสุดท้ายถึงมือสำนักพิมพ์ ผมก็บอกทีมงานว่า “เออ มะรืนนี้พี่ไปไต้หวันเจ็ดวันนะ บายยยย” (ทีมงานคงด่าในใจว่า สัส ส่งงานแล้วมึงหนีไปเที่ยวสบายใจเฉิบเลยนะ)

    ก่อนหน้าวันเดินทาง ทุกอย่างก็ราบรื่นดี ขอวีซ่าได้มาโดยง่าย เช็กข่าวแล้วที่ไต้หวันไม่มีเหตุวิปลาสอะไร ข้าวของอะไรก็เตรียมพร้อมแล้ว มันปกติและสงบสุขจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นทริปของเมอฤดี จนกระทั่ง...

    ผมจะออกเดินทางวันพุธ ปรากฏว่าวันจันทร์ท้องเสียอย่างแรงครับ ท้องไส้ปั่นป่วนราวกับมีพายุทอร์นาโดในท้อง เครียดมากว่ากูจะไปไหวมั้ยเนี่ย เครื่องบินโรงแรมอะไรก็จองไปแล้ว ถ้าไม่ไปจะได้เงินคืนมั้ยวะ หรือถ้าทำเรื่องรีฟันด์คงยุ่งยากไปถึงชาติหน้า แต่โชคดีว่ารีบไปซื้อยามากิน วันรุ่งขึ้นเลยดีขึ้นหน่อย

    พอถึงวันเดินทาง เห็นว่าบินไฟลต์เจ็ดโมงเช้า และไม่เคยไปไฟลต์เช้าขนาดนี้มาก่อน ผมเลยตื่นมาเตรียมตัวเพื่อจะไปให้ถึงสนามบินราวๆ ตีสี่ตีห้า แต่จะให้เดินออกจากบ้านเรียกแท็กซี่ก็จะดู
    เสี่ยงภัยไป ผมเลยลองใช้บริการแอพฯ Grab Taxi เป็นครั้งแรก รอไม่นานนัก คุณพี่คนขับก็มารับถึงหน้าบ้าน

    โอเค งานนี้คงรอดปลอดภัยดีล่ะนะ

    แต่เพียงปิดประตูรถ เสียงปังยังไม่ทันหาย พี่คนขับก็เอ่ยว่า “น้องครับ พอดีพี่เผลอไปกดรับงานที่ลาดพร้าวซ้อนสองอัน พี่ต้องไปส่งน้องที่สุวรรณภูมิก่อน แล้วตีรถกลับมาลาดพร้าวใหม่ ดังนั้นพี่ขอซิ่งหน่อยนะ” จบคำเท่านั้น รถก็ออกตัว ตู้มมมม ประหนึ่งหนังเรื่อง The Fast and the Furious เร็ว...แรงทะลุนรก ผลคือผมมาถึงสนามบินตั้งแต่ตีสามครึ่งครับ อีบ้า! จะพากูมาเร็วขนาดนี้ทำไม! 

    ความที่ผมเพิ่งเคยมาสุวรรณภูมิตอนดึกๆ แบบนี้ ทำให้ผมเพิ่งรู้ว่าบรรยากาศมันเหมือนหนังซอมบี้มาก เงียบๆ ร้างๆ มีคนเดินไปมาหน้าตาง่วงๆ ร้านรวงก็เปิดน้อยมาก พอจะไปหาที่นั่งก็ยากอีก เพราะมีคนยึดเป็นที่นอนไปหมดแล้ว ซึ่งพี่นอนกันจริงจังมาก บางคนเอาเก้าอี้ไปสามตัวเลย นี่มึงจะสร้างแลนด์มาร์กกันเลยใช่มั้ย

    หลังจากฆ่าเวลาสี่ชั่วโมงอันว่างเปล่าไปได้ ในที่สุดก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องสักที คราวนี้ผมนั่งการบินไทย (เพราะมันมีโปรฯ พอดี) ผู้โดยสารไม่เยอะมาก โซนข้างหลังนี่ว่างเชียว ตอนแรกว่าจะย้ายไปนั่ง แต่ดันมีกลุ่มทัวร์คุณลุงคุณป้าชาวไทยมาตัดหน้าไปก่อน แถมลุงป้าก็คุยกันเสียงดังพอดู (แต่ถือว่าทนได้ อย่างน้อยก็ไม่ร้ายแรงเท่าทัวร์จีนที่เคยเจอๆ มา)

    สามชั่วโมงครึ่งผ่านไป ในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงสนามบินเถาหยวน (Taiwan Taoyuan International Airport) ประเทศไต้หวัน ตอนแรกก็งงมากว่าทำไมคนเขาไม่ลุกกันเลยวะ ถึงแล้วนะ พวกมึงจะไม่ไปเที่ยวกันหรือไง ต่อมาถึงรู้ว่ามันเป็นเส้นทางกรุงเทพฯ > ไทเป > โซล (เกาหลีใต้) มีคนลงไทเปไม่กี่คน ชาวบ้านชาวช่องเขาไปลงที่โซลกันหมด

    เจอแบบนี้เข้าไปผมก็เหวอเหมือนกัน แต่ก็ตั้งจิตมั่นคงว่า เราเลือกทางนี้แล้ว จงเชื่อมั่นต่อไป (นี่มึงมาเที่ยวนะ ไม่ใช่เลือกคณะตอนเอ็นทรานซ์) เตรียมตัวออกไปรับอากาศเย็นสบายของการเปลี่ยนผ่านจากฤดูหนาวสู่ฤดูใบไม้ผลิเถอะ ยะฮู้วววว

    ลงจากเครื่องปุ๊บ มองออกไปด้านนอก
    ...ฝนตก

    มันเริ่มแล้วครับ
    แอดเวนเจอร์ ออฟ เมอฤดี!  




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in