หนัง coming-of-age ที่ดีเรื่องหนึ่งของปี
ดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่อง “Simon vs. the Homo Sapiens Agenda” ของ Becky Albertalli
กำกับโดย Greg Berlanti เขาเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ซีรี่ส์ตระกูล Arrowverse อย่าง Arrow, The Flash, Supergirl และ Legends of Tomorrow และเป็นโปรดิวเซอร์ของ Riverdale, Blindspot ด้วย)
เขียนบทโดย Elizabeth Berger และ Isaac Aptaker
ความยาว 110 นาที
ฉายครั้งแรกในอเมริกาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2018
ฉายในไทยวันที่ 24 พฤษภาคม 2018 (เฉพาะที่ Paragon Cineplex และ SF World Cinema)
นำแสดงโดย
Love, Simon เล่าเรื่องราวในช่วงปีการศึกษาสุดท้ายของ High School ของ Simon Spier เด็กหนุ่มที่มีชีวิตปกติเหมือนกับทุกคน เว้นแต่ว่าเขามีความลับบางอย่างปิดเอาไว้…
หนังรอมคอมดราม่าเรื่องนี้เอาใจเราไปพร้อมกับน้ำตาบางๆ แม้เส้นเรื่องจะดำเนินไปอย่างเรียบง่าย บางฉากไม่สมูท แต่ก็นำเสนอข้อความออกมาได้อย่างดี
ฉากที่ทำให้เราเสียน้ำตาคือฉากที่แม่พูดกับไซมอน มันสื่ออารมณ์ออกมาได้ดีมากๆ นั่นคือสิ่งที่เราอยากได้ยินจากทุกๆ คนที่อยู่รอบตัวเรา
Simon Spier: การ coming out มันยาก และโคตร awkward เรารู้ เราเข้าใจ และเราจะคิดว่าเมื่อเรา coming out แล้ว คนอื่นจะมองเราต่างจากเดิมมั้ย เรื่องนี้แสดงออกมาให้เราเห็นชัดเจนเลย ว่าก่อนและหลังไซมอน coming out มันจะมีช่วงเวลาสับสน เราได้เห็นพัฒนาการด้านการยอมรับตัวเองของไซมอนว่าตัวเองเป็นอะไร และจะปฏิบัติต่อตัวเองยังไง สำหรับเรื่องเพื่อน การกระทำของไซมอนต่อเพื่อนเราจะไม่พูดถึง แม้จะแอบหงุดหงิด ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น แต่มันยังคงมีอีกหลายทางเลือกให้เลือกทำอะนะไซมอนลูก
เราชอบที่ Nick Robinson สื่อออกมา ทั้งความสับสนของตัวเอง ความกลัว การที่ต้องรู้สึกเหมือนตัวเองจะต้องแบกรับหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างเอาไว้คนเดียว และฉาก coming out ที่เขาแสดงออกมา โคตรได้ใจเลย
Leah Burke: เพื่อนสนิทที่สุดของไซมอน เธอเองก็มีความลับเหมือนกัน และความลับนี้ไม่มีใครรู้
ตัวละครของลีอาห์ค่อนข้างเดาง่าย แต่ก็เป็นหนึ่งในตัวละครที่คอยพยุงไซมอนในวันที่ไซมอนพังสุดๆ เช่นกัน เพื่อนยังไงก็ยังคงเป็นเพื่อนอะเนอะ
การแสดงของ Katherine Langford ก็ถือได้ว่าแตกต่างจากตอนที่แสดง 13 Reasons Why มากๆ (เราชอบการแสดงของแคทเธอรีนในเรื่องนี้มากกว่าอีก)
Nick Eisner: หนึ่งในเพื่อนสนิทของไซมอน เพื่อนที่เป็นเหมือนกำลังใจและแรงผลักดันให้ไซมอน เรื่องของ gentleman เราจะไม่พูดถึงละกัน แต่ว่านิคก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ไม่ทำให้ไซมอนรู้สึก weird หลังจากที่ตัวเอง coming out แล้ว
Abby Suso: เพื่อนในก๊วนเดียวกันกับไซมอนและเพื่อน แอ๊บบี้เป็นตัวละครที่เราเห็นในเทรลเลอร์แล้วรู้สึกว่าเธอต้องมีอะไรแน่ๆ และเธอก็มีจริงๆ แอ๊บบี้เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ที่สุดแล้วในกลุ่มนี้ และเธอเป็นตัวละครสำคัญสำหรับไซมอนด้วยเช่นกัน
Martin: เด็กเวร บอกได้คำเดียวเลย แต่ถ้าไม่มีมาร์ติน เรื่องก็แทบจะไม่เดินเลย
Bram: เพื่อนในโรงเรียนเดียวกันกับไซมอน เป็นตัวละครที่น่าจับตามอง น้องมีอะไรจะโชว์เยอะ
น้อง Keiynan Lonsdale หรือที่หลายๆ คนอาจจะรู้จักจากบท Kid flash (Wally West จากซีรี่ส์ The Flash) เราชอบการแสดงออกของน้อง ทั้งสายตา รอยยิ้ม ท่าทางการพูด โคตรมีเสน่ห์เลย และน้องเองก็ยิ้มน่ารักมากด้วย เราชอบน้องมาตั้งแต่น้องเล่น Tha Flash แล้ว พอน้อง Coming out ว่าตัวเองเป็น Bisexual นะ ยิ่งรักน้องกว่าเดิมเลย น้องบอกว่า สองปีก่อนเขาไม่กล้าบอกใคร แต่ตอนนี้เขา not faking shit anymore และจะไม่ขอโทษด้วยที่รักใครโดยที่ไม่สนใจเจนเดอร์ ไม่ควรมีใครจะต้องรู้สึกไม่ปลอดภัย ละอายใจ หรือกลัวที่ตัวเองเป็นแบบนี้
ครอบครัว Spier: เราชอบครอบครัวนี้มาก ซัพพอร์ตทุกอย่าง ทั้งด้านภายนอกและภายใน ตอนแรกแอบกลัวพ่อมาก แต่ว่าพ่อนี่แหละคือตัวละครที่โคตรน่ารักเลย อิจฉามากๆ แม่ก็เป็นคนนึงที่เปิดพื้นที่ให้ลูก ไม่เข้าไปละลาบละล้วงลูกจนเกินไป รอให้ลูกเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา เราชอบพ่อแม่คู่นี้ตรงที่เขาให้พื้นที่ลูกจริงๆ ไม่ใช่แค่ปาก แต่มีการกระทำด้วย จะเห็นได้จากการที่เขาเปิดใจให้กับการกระทำต่างๆ ของไซมอนและนอร่า รวมถึงให้ลูกเลือกทางเดินของลูกเองด้วย เราชอบตรงนี้มาก ส่วนนอร่า ลูกสาวคนเล็กของบ้าน Spier เราชอบการแสดงออกของน้องมากเลยนะ แม้บทจะไม่เยอะก็เถอะ แต่น้องน่ารักมากๆ เลย
Ethan: อีธานเป็นตัวละครที่เราชอบมาก ในหนังเล่าถึงเรื่องราวของอีธานอยู่พอควร เราชอบที่เล่าถึงอีธาน เพราะตอนแรกเราคิดว่าหนังแค่เอามาให้ดูเฉยๆ การที่ไซมอน coming out แล้วได้ไปพูดคุยกับอีธาน ทำให้ไซมอนได้อะไรดีๆ กลับไปเยอะอยู่เหมือนกัน
Blue: บุคคลปริศนาที่ส่งอีเมล์โต้ตอบกับไซมอน เราชอบการโต้ตอบระหว่างบลูกับไซมอน และการเลือกใช้คำของบลูเพื่อไม่ให้กระทบกระทั่งความรู้สึกของไซมอนมากจนเกินไป
เราอยากให้ทุกคนได้ดูหนังเรื่องนี้มากจริงๆ นะ อันที่จริงพาไปดูทั้งครอบครัวเลยก็ได้ เพราะหนังไม่ได้เน้นเรื่องความหลากหลายทางเพศ แต่เน้นเกี่ยวกับการค้นหาตัวเองและการแสดงออกของวัยรุ่น การเปิดใจยอมรับของผู้ใหญ่ การอยู่ร่วมในสังคมหลังจาก coming out ด้วย
ประโยคที่เราชอบที่สุดจาก Love, Simon คือคำพูดของไซมอน "I'm still me"
สำหรับเรา I’M STILL ME ฉันก็ยังคงเป็นฉันอยู่วันยังค่ำ ได้โปรดแสดงออกกับฉันเหมือนที่เคยทำมา ไม่ว่าฉันจะรักผู้หญิงหรือรักผู้ชาย ฉันก็ยังคงเป็นฉันคนเดิมสำหรับทุกคน
ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตาม ทุกคนคือมนุษย์เหมือนกันหมด ฉันก็ยังคงเป็นฉัน เธอก็ยังคงเป็นเธอ คุณเองก็ยังคงเป็นคุณคนเดิม ทุกๆ อย่างคงเดิม แม้จะเป็นเพศอะไรก็ตาม
เราเคยคิดเหมือนไซมอนนะ ว่าทำไมคนที่เป็น LGBTQ+ ถึงต้อง coming out ทำไมมันถึงไม่เป็นปกติเหมือนที่ straight เป็น ทำไมคนเราต้องมากังวลกับการที่คนอื่นรู้ว่าเราเป็น LGBTQ+ แล้วเขาจะปฏิบัติต่อเราต่างออกไปจากเมื่อก่อน รวมถึงบังคับให้เราเป็น straight (ซึ่งไม่มีทางจ้า) ไม่รู้สิ เราแค่อยากถามทุกคนว่าปฏิบัติต่อเราเป็นเหมือนมนุษย์ปกติไม่ได้หรอ เราก็ยังคงเป็นเราเหมือนเดิมนะ ทุกๆ อย่างที่เราทำ ทุกๆ อย่างที่เราเป็นก็ยังเหมือนเดิม
เราชอบคำพูดของอีธานที่พูดกับไซมอนมากๆ และเห็นภาพชัดมากขึ้นจากสังคมปัจจุบันที่หลายๆ คนมองว่าเกย์คือความตลกของสังคม เห้ย เกย์ไม่ใช่เรื่องตลกนะ เกย์ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง เหมือนกับทุกคน เหมือนกับ straight
แอบเสียดายนะ ที่ Love, Simon จะฉายในไทยแค่ที่พารากอนซินีเพล็กซ์กับที่เอสเอฟเวิร์ลด์ เราอยากให้ทุกคนได้ดูหนังเรื่องนี้มากๆ
หวังว่า ทุกๆ คนที่ได้ดูจะบอกต่อ
หวังว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้คนเข้าใจและสามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ทุกคนรวมถึงปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
Love, Simon มีให้ทำ Quote ด้วยนะ ที่ dear world love, simon
I’M QUEER
and YES! I’m STILL ME!
be PRIDE and PROUD
love, Tez
?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in