32
คืนวันที่สองมิถุนายน
ผมนั่งเตรียมเอกสารสำคัญใส่แฟ้มอย่างตื่นเต้นทั้งๆที่เว็บไซต์เขียนว่าต้องนำบัตรประชาชนตัวจริงกับสำเนาระเบียนผลการเรียนไปเท่านั้นแต่ผมเตรียมสำเนาทะเบียนบ้านและเอกสารอื่นๆไปด้วยเผื่อทางมหาวิทยาลัยขอดูจะได้ไม่ต้องกลับมาเอาที่ลาดพร้าวอีก
หลังจัดของใส่เป้ผมก็ยืนรีดเสื้อผ้าของตัวเองและของพี่อู๋จนเรียบกริบผมแทบไม่ต้องกังวลเลยว่าควรใส่อะไรเพราะคุณอิศรินทร์ผู้มีเซนส์แฟชั่นดีกว่าใครได้เลือกไว้ให้แล้วพรุ่งนี้ผมจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวกางเกงสแลคสีดำและรองเท้าหนังที่พี่อู๋ซื้อให้ ส่วนเขาสวมเสื้อพับแขนสีฟ้ากับกางเกงยีนสีเข้มและรองเท้าผ้าใบ เราจะตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัยพี่อู๋บอกว่าต้องรีบออกหน่อยเพราะวันจันทร์รถค่อนข้างติดดังนั้นเราจึงตกลงกันว่าจะตื่นตีห้าและออกจากบ้านหกโมง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราจะถึงลาดกระบังตอนเจ็ดโมงพอดี
พี่อู๋แซวเมื่อเดินออกจากห้องนอนก็เจอเด็กขี้เห่อยืนรีดผ้าหน้าเตาผมบอกพี่อู๋ว่าเว่อร์ ผมแค่รีดเก็บรายละเอียดแค่นี้เอง ไม่ได้รีดสองรอบเสียหน่อย
“พรุ่งนี้พี่ลางานได้จริงๆใช่ไหมครับ?”
“ได้”
เขาบอกแต่ผมคิดว่าคำว่า ได้ ของพี่อู๋อาจจะทำให้ชิราอิชิซังเคืองอยู่บ้างวันก่อนเขาเพิ่งบ่นว่านายไม่อยากให้ลาเพราะไม่มีคนรับช่วงต่อพี่อู๋ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเขาจำเป็นต้องพานายก้องเกียรติไปมอบตัวจริงๆดังนั้นหน้าที่ล่ามเฉพาะกิจจึงต้องเป็นของน้องฝ่ายจัดซื้อแทนซึ่งทั้งสองคนจะคุยกันรู้เรื่องไหม เดี๋ยวชิราอิชิซังคงโทรมาด่าพี่อู๋อีกที
วันที่สามมิถุนายน เราเดินทางไปสัมภาษณ์ที่ลาดกระบัง
ผมนั่งตื่นเต้นในรถโดยมีพี่อู๋คุยโทรศัพท์สั่งงานกับน้องจัดซื้อที่ออฟฟิศหลังจากนั้นก็คุยเล่นกันฆ่าเวลาระหว่างเดินทางพี่อู๋ถามว่าสัมภาษณ์เสร็จจะไปดูหอพักเลยไหม ผมบอกเขาว่าไม่ต้องดูหรอกครับเพราะผมจะอยู่หอใน มันถูกดี ไม่อยากให้พี่เปลืองตังค์
“หอในมันเก่านะ”
“ไม่เก่าครับ ผมลองหาดูแล้ว”ผมเปิดเฟสบุ๊กเพจชาวหอในให้ผู้ปกครองดูแต่เขาขับรถอยู่เลยไม่ละสายตามามอง “มีห้องแอร์กับห้องพัดลมผมอยู่ห้องพัดลมได้นะ เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านเก่า ผมก็เปิดแค่พัดลม”
“ตอนนี้โลกร้อนอยู่ห้องแอร์เถอะ”
“แต่ห้องแอร์เดือนละห้าพันเลยนะพี่อู๋”
“ก็ตกกะปินิ”
“ปกติ!!!!”
“แต่พี่อยากให้ก้องอยู่หอนอกมันสะดวกกว่า”
“หอในสิครับสะดวกกว่าอยู่ในมอเลยนะ”
“แล้วพี่ขอเข้าไปนอนด้วยได้หรือเปล่าล่ะ?ไอ้เด็กโง่”
พี่จะมานอนด้วยทำไมล่ะครับเอ้อ – ก็อยู่บ้านสบายๆไปสิ
ผมคิดแต่ไม่ได้พูด เพราะถ้าพูดออกไปน่าจะโดนมะเหงกก้อนใหญ่อีกปึ้ก
☁
เราถึงสถานที่สัมภาษณ์เร็วก็เลยมีเวลากินขนมปังดื่มนม กินของจุบจิบให้หายหิว คนรอสัมภาษณ์ไม่ค่อยเยอะเหมือนตอนสอบเท่าไหร่ผมเดาเอาว่าเพราะรอบสี่รับเด็กน้อยลงก็เลยเหลือกันแค่นี้ผมมองบรรยากาศรอบตัวด้วยความตื่นเต้นเห็นคนสวมชุดนักเรียนเดินกันขวักไขว่แล้วอดคิดถึงสมัยมัธยมปลายไม่ได้ จริงๆผมเองก็อยากสวมชุดนักเรียนอีกนะแต่พี่อู๋บอกว่าเรียนจบมาปีกว่า ไม่ใช่เด็กนักเรียนแล้วก็เลยเป็นที่มาของเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวนี้แทน
พอนั่งรอไปซักพักก็มีนักศึกษาเรียกให้เดินต่อแถวเตรียมตัวเข้าสัมภาษณ์ผมกอดพี่อู๋อีกหนึ่งทีราวกับจะจากกันไปรบที่ไหน เขาบอกว่าสัมภาษณ์เสร็จไปหาของอร่อยกินกันไอ้สมาร์ทยังไม่กลับลาดกระบังแต่มันส่งพิกัดของดีมาให้แล้ว ผมพยักหน้าบอกพี่อู๋ว่าครับๆเสร็จตรงนี้ไว้ไปเที่ยวกัน พี่รอก่อนนะ ผมไปไม่นานสัญญาว่าจะตอบคำถามให้ดียิ่งกว่านางงามเลย
ผมต่อคิวรอเข้าห้องสัมภาษณ์ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็เป็นคิวของนายก้องเกียรติผมยกมือไหว้สวัสดีผู้สัมภาษณ์ตามมารยาท แนะนำตัวว่าชื่อก้องเกียรติครับ อายุเท่าไหร่จบจากโรงเรียนอะไร อาจารย์ที่นั่งตรงข้ามถามก้มหน้าอ่านเอกสารและขอดูปพ.หนึ่ง เขาชวนคุยเรื่องทั่วไปเช่นทำไมถึงอยากเรียนวิศวะ ตอบ: เพราะเจ้านายของผู้ปกครองของผมออกแบบเครื่องจักรตัวละยี่สิบล้านครับอาจารย์หัวเราะขำ อยากเป็นวิศวะเพราะเงินหรอกเหรอ ผมไม่ปฏิเสธ ก็มันรวยจริงๆนี่ถ้าผมตั้งใจเรียนและฝึกตัวเองให้เก่ง ผมก็จะมีเงินเยอะๆ พอมีเงินผมจะเอาเงินไปคืนผู้ปกครองครับ เพราะเขาหมดเงินกับค่ากินค่าอยู่ของผมตั้งหลายบาท
“พ่อแม่เขาไม่หวังเงินทองก้อนโตจากลูกหรอกแต่ถ้าได้ก็ดีเนอะ”
อาจารย์พูดยิ้มๆผมจึงบอกเขาว่าผู้ปกครองไม่ใช่พ่อแม่ครับ แต่เป็นคนที่บังเอิญเจอกันแถวบ้านเขาเห็นผมไม่มีใครก็เลยรับมาดูแล
“พ่อแม่เสียหมดแล้วเหรอ?”
“พ่อหายส่วนแม่ตายครับ”
“ใครส่งเสียค่าเทอมล่ะ?เราได้ทำเรื่องกู้กยศ.ไว้บ้างไหม?ถ้าตั้งใจเรียนได้เกรดดีๆที่คณะให้ทุนการศึกษาด้วย เราจะได้ไม่ลำบาก”
ผมบอกอาจารย์ว่าคิดครับคิดทุกวันว่าอยากกู้กยศ. แต่ผู้ปกครองของผมไม่ให้กู้ เขาบอกว่าให้คนที่ลำบากจริงๆดีกว่าเพราะเขาจ่ายได้เขามีเงินส่งผมเรียนจนจบปริญญาตรีเลย
“แล้วผู้ปกครองของเราทำงานอะไรล่ะ?”
“เป็นล่ามครับล่ามญี่ปุ่น”
อาจารย์ร้องอ๋อและพยักหน้าเข้าใจผมว่าเขาคงรู้ว่าล่ามเงินค่อนข้างดียิ่งล่ามญี่ปุ่นเก่งๆอย่างพี่อู๋ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เงินหนาใจป๋าสองหมื่นห้าไม่ระคายขนหน้าแข้งเขาหรอก เราคุยจิปาถะอีกนิดหน่อยก่อนอาจารย์จะอนุญาตให้กลับเขาบอกว่าอย่าลืมติดตามกำหนดการต่างๆในเพจของมหาวิทยาลัยนะจริงๆในเอกสารที่ให้ไปก็มี แต่ถ้าสงสัยอะไร ทักแชทถามเจ้าหน้าที่ในเพจได้ทุกคนยินดีตอบคำถามให้
ผมยกมือไหว้และขอตัวกลับจังหวะที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ อาจารย์ก็โพล่งออกมาว่านามสกุลของผมคุ้นๆจังเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จักเลย ผมตอบเขาว่าไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับนามสกุลผมค่อนข้างโหลก็เลยซ้ำกับของคนอื่นแน่ๆ
“บ้านเราอยู่ไหนนะ?”
“ลาดพร้าวครับ”
“ไม่ๆก่อนหน้าที่จะเจอผู้ปกครองน่ะ”
“อ๋อ –
“คุณแม่ชื่ออะไรเหรอ?”
“ภัทราพรครับ”
“คุณพ่อล่ะ?”
ผมจำชื่อพ่อจากใบเกิดของตัวเองได้แต่จำนามสกุลไม่ได้ก็เลยหยิบสำเนาสูติบัตรออกมาจากแฟ้ม อ๋อ – พ่อชื่อสมปราชญ์ครับ ผมบอกและทวนนามสกุลของพ่อให้อาจารย์ฟังเขาเงียบไปพักนึงก่อนจะพยักหน้ารับรู้แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก ผมจึงขอตัวกลับแล้วก็วิ่งหน้าระรื่นไปหาผู้ปกครองที่กำลังรออยู่ข้างล่างเราคุยกันว่าควรทำอะไรต่อไปดีระหว่างตระเวนหาหอพักหรือซื้อชุดนักศึกษาพี่อู๋บอกว่าซื้อชุดเรื่องเล็กเพราะเราจะซื้อที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้มาตกลงเรื่องห้องก่อนดีกว่า สรุปก้องจะอยู่หอในหรือหอนอก ผมตอบทันทีว่าหอใน
“หอในมันถูกแต่กฎระเบียบเขาเข้มงวดนะ”
พี่อู๋กอดอกมองกอริลลาก้องและพูดต่อว่าหอในกำหนดเวลาเข้าออกถ้าวันไหนต้องทำงานกลุ่มจะลำบากเพราะไม่ต้องกลับก่อนไม่งั้นไม่ได้เข้าห้องส่วนค่าน้ำค่าไฟไม่ได้ต่างจากข้างนอกเลย หน่วยละแปดบาทพอๆกัน แถมค่าห้องก็สูสีมากห้องติดแอร์เดือนละห้าพันบาท หารกับรูมเมทเหลือสองพันห้า น้ำไฟจ่ายแยก แบบนี้เช่าหอนอกอยู่คนเดียวดีกว่าสะดวกกว่า มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า เชื่อพี่เถอะก้องพี่เคยเรียนมหาวิทยาลัยมาก่อน บางครั้งเราต้องทำงานจนดึกดื่นจริงๆถ้าโดนจำกัดเวลาเข้าออกมันลำบากนะ
“แต่ผมไม่มีเงิน”
“เดี๋ยวพี่จ่ายให้ไง”เขาพูดประโยคเดิมๆ “อยู่หอเดียวกับสมาร์ทดีกว่ามีอะไรจะได้ช่วยกัน”
“หอสมาร์ทแพงไหมครับ?”
“โอ้ย – ไม่แพงหรอก”
พี่อู๋บอกระหว่างเดินนำไปที่รถเขาพาผมไปหาหอพักในซอยที่ชื่อเกกีงามและเราก็ได้เข้าไปดูหอของสมาร์ทที่คุณอิศรินทร์คอนเฟิร์มว่าราคาไม่แพง หอนี้เป็นระบบสแกนด้วยลายนิ้วมือประตูรั้วคีย์การ์ด เฟอร์นิเจอร์ครบเซ็ตแถมเตียงขนาดหกฟุตอีกหนึ่งหลังถ้าจะเอาตู้เย็นกับทีวีพร้อมจานดาวเทียมจ่ายเพิ่มอีกห้าร้อย – อืม ท่าทางไม่แพงเลยไม่แพงจริงๆ
“สนใจจองไว้เลยไหมครับ?ตอนนี้ห้องเหลือว่างไม่ถึงห้าห้องแล้วนะคะ”
พี่เจ้าของหอถามยิ้มๆผมบอกเขาว่าขอคิดดูก่อนครับแต่พี่อู๋หยิบโทรศัพท์เตรียมทำอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งแล้ว
“พี่อยากให้ก้องอยู่หอใหม่ๆนะแต่ก้องไม่มีมอเตอร์ไซค์ อยู่ซอยนี้ไปก่อนก็แล้วกัน สะดวกดี ใกล้คณะของก้องด้วย”พี่อู๋อธิบาย “เดี๋ยวช่วงใกล้เปิดเทอมพี่จะซื้อจักรยานให้ขับมอเตอร์ไซค์คล่องเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”
ผมบอกพี่อู๋ว่าครับครับ ผมเข้าใจ ไม่เป็นไรเลย แค่หอที่พี่อู๋เลือกให้ก็ดีมากๆแล้วระบอบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด เฟอร์นิเจอร์ครบ มีแอร์ มีทีวี มีตู้เย็นมีสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากๆแล้ว แต่มันคงดีกว่านี้ถ้ามีเมทมาแชร์ด้วยพี่จะว่าไหมครับถ้าผมหาเพื่อนมาอยู่ด้วยซักคน พี่อู๋ส่ายหน้าและบอกว่าอย่าหาเลยมีรูมเมทต้องอยู่กันแบบเกรงใจ ไม่มีความเป็นส่วนตัว อยู่ไปเดี๋ยวก็ทะเลาะกันเปล่าๆรูมเมทเนี่ยถ้าจูนกันไม่ติดอาจจะเกลียดกันถึงขั้นเอาแปรงสีฟันจุ่มโถส้วมเลยนะ
ผมเกรงใจพี่อู๋จะแย่เพราะค่าเทอมที่นี่ตั้งสองหมื่นห้าค่าห้องเดือนละห้าพันห้าไม่รวมน้ำไฟ ค่ากินค่าอยู่ ค่าอุปกรณ์การเรียนค่าหนังสือรายวิชา ค่าชุดนักศึกษาอีก สารพัดค่าใช้จ่ายตีเลขกลมๆแล้วเกือบครึ่งแสน พี่อู๋ก็แสนดีเหลือเกินหยิบยื่นคุณภาพชีวิตดีๆให้นายก้องเกียรติทั้งๆที่ผมไม่มีอะไรตอบแทนเขาเลยไม่มีซักอย่าง
“อย่าคิดมากมันไม่เท่าไหร่หรอก” พี่อู๋บอก แต่ผมหยุดกังวลรายจ่ายไม่ได้ “
“พี่จะขับมาถึงลาดกระบังทำไมล่ะพี่ก็อยู่ลาดพร้าวสิ อย่ามาให้เหนื่อย”
“เผื่อวันไหนพี่อยากเจอ”
“ยังไงผมก็กลับบ้านไปหาพี่อยู่แล้วพี่ไม่ต้องมา”
“พี่จะมา”
“ไม่ต้องมา”
“มา”
“ไม่มา”
เราเถียงกันว่ามาไม่มา ไม่ต้องมา อยากมา อยากเจอ ไม่ต้องขับมาให้เปลืองเถียงกันอย่างนั้นไม่จบไม่สิ้นจนผมยอมแพ้ เออ จะมาก็มา อยากมาก็มารวยนักก็ขับมาเลย พี่อู๋ได้ทียิ้มชอบใจใหญ่ เขาไม่แน่ใจว่าสะดวกช่วงไหนแต่ถ้าผมไม่กลับบ้านเกินสองสัปดาห์ เขาจะขับรถมาดักรอหน้าตึกเลยคอยดู
หลังจ่ายเงินมัดจำค่าหอพี่อู๋ก็พากอริลลาก้องไปเดินเล่นเมกาบางนาตอนแรกเราตั้งใจจะไปร้านชาบูที่สมาร์ทแนะนำ แต่โชคร้ายเพราะร้านปิดก็เลยอดตามระเบียบเราสองคนแวะฉลองวันดีๆด้วยร้านขายอาหารในอีเกีย ผมสั่งฟิช แอนด์ ชิพส์ส่วนพี่อู๋กินข้าวน่องไก่อบ ผมว่าราคาอาหารค่อนข้างแรงเอาเรื่องส่วนรสชาติพอกินได้ ไม่ได้อร่อยจนสายรุ้งออกจากปากแต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องเอากระดาษทิชชู่เช็ดลิ้นเพราะไม่อร่อย
“วันนี้อาจารย์ที่สัมภาษณ์บอกว่านามสกุลของผมคุ้นๆเขาถามชื่อพ่อกับแม่ผมด้วย”
พี่อู๋เลิกคิ้วประหลาดใจผมจึงเล่าต่อว่าเขาก็ไม่ได้อะไรนะ แค่ถามเฉยๆ พอพูดจบผู้ปกครองของผมดูสงสัยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยผ่านเพราะมันอาจเป็นคำถามทั่วไปก็ได้ เมื่ออาหารถูกจัดการจนเกลี้ยงเราจึงเดินเล่นในเมกกาบางนาอีกพักใหญ่ถึงกลับลาดพร้าว ผมหลับหมดสภาพตลอดทางเพราะตื่นนอนแต่เช้าก็เลยไม่ได้คุยกับพี่อู๋หลังจากนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ไม่เคยถูกพูดถึงอีกเลย
ผมจดกำหนดการสำคัญเอาไว้ในปฏิทินวันที่สิบเก้ามิถุนานี้ผมต้องไปตรวจสุขภาพที่สำนักหอสมุด ข้ามไปวันที่สามกรกฎาต้องเตรียมเอกสารหลายอย่างมากเพื่อรายงานตัวและทำบัตรนักศึกษา– เตรียมเงินสองร้อยบาทจ่ายค่าบัตรด้วย วันที่แปดมีปฐมนิเทศผู้ปกครองตอนเช้าแต่พี่อู๋ไม่ว่าง วันที่เก้าคือ Pre Engineering Camp วันที่สิบถึงยี่สิบสามมีเรียนปรับพื้นฐานยี่สิบเก้ากรกฎาถึงหนึ่งสิงหามีค่ายของภาควิชา วันที่สองสิงหามี Open Room
“ไหนลองขยับแขนซิ”ผมทำตามคำสั่งเขา “เหยียดแขนไปข้างหลังหน่อย”ผมเปลี่ยนอิริยาบถตามที่ผู้ปกครองสั่งทันทีพี่อู๋ใช้สายตาพินิจพิจารณาแค่ชั่วครู่ก็บอกว่าตัวนี้ไม่ได้ รัดแน่นเกินไป ปลิ้นเหมือนแหนม
“แขนเสื้อยาวพอดี”พี่อู๋พูดงึมงำๆคนเดียว “ชุดนักศึกษาต้องใส่ในกางเกงให้เรียบร้อยชายเสื้อต้องยาวประมาณ --” เขาใช้นิ้ววัดความยาวตั้งแต่ช่วงเอวจนสุดชายเสื้อก่อนจะพยักหน้าพออกพอใจ“เอาไซส์นี้แหละ”
“ผมแค่ใส่ไปเรียนหนังสือเอง”
“แล้วไง?”
“ที่นี่เขาตัดเกรดจากคะแนนสอบนะครับไม่ใช่เสื้อผ้า”
ผมกลอกตาแต่ก็ยืนเป็นหุ่นลองเสื้อตามใจผู้ปกครองสมาร์ทบอกว่าชุดนักศึกษาไม่ต้องซื้อเยอะเพราะเทอมสองจะได้ใส่เสื้อช็อป ไว้วันที่รายงานตัวค่อยไปสั่งที่คณะส่วนเข็มขัดไม่ต้องเพราะสมาร์ทมีตั้งสี่เส้น มาเอาไปได้เลย เอ้อ – เนกไทก็ไม่ต้องซื้อนะช่วงเดือนสิงหา มหาวิทยาลัยมีพิธีมอบเนคไทและเข็มประดับไม่ต้องรีบซื้อให้เปลืองสตางค์รอรับของฟรีในวันนั้นดีกว่าเพราะเนกไทใส่แค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็หายแล้ว
ตอนแรกผมบอกพี่อู๋ว่าไม่ต้องรีบเซ็นสัญญาหอเพราะผมจะไปค้างที่ลาดกระบังเดือนสิงหาทีเดียวแต่กิจกรรมมันแน่นมากพี่อู๋ก็เลยเป็นห่วงไม่อยากให้ผมเดินทางไปกลับดึกๆดื่นๆก็เลยต้องย้ายของเข้าไปก่อนจะอยู่กี่วันค่อยว่ากัน น่าเสียดายที่พี่อู๋ไม่ว่างไปรับไปส่งเพราะต้องทำงานดังนั้นผมจึงเดินทางไปมหาวิทยาลัยคนเดียวเรียกมันว่าการผจญภัยครั้งใหญ่ของนายก้องเกียรติก็ได้เพราะครั้งนี้ไม่มีสมาร์ทคอยช่วยผมต้องนั่งเอ็มอาร์ทีไปลงสถานีจตุจักร ต่อบีทีเอสไปพญาไท ต่อแอร์พอร์ต เรล ลิงค์ไปสถานีลาดกระบังนั่งรถสองแถวที่เขียนคำว่าเทคโนฯเข้ามหาวิทยาลัย จากนั้นเดินหาอาคารที่คนเดียวหลงหน่อย เหนื่อยหน่อย ป้ำๆเป๋อๆหน่อยแต่ก็สนุกดี
ผมไม่ได้คาดหวังว่าต้องมีเพื่อนเยอะแต่อย่างน้อยถ้ามีซักคนก็คงดีจะได้ช่วยๆกันตอนเรียน วันรายงานตัวและทำบัตรนักศึกษาผมเจอกลุ่มเพื่อนที่เข้าหาชวนคุยประมาณสองสามคนแต่พอหมดวันเราก็แยกย้ายเพราะจูนกันไม่ติดผมจึงยังไม่มีเพื่อนที่คุยกันได้เลยซักคน
วันนี้มี
“เอาสิ”
ผมผายมือเชิญให้เธอนั่งเพื่อนใหม่ที่ห้อยป้ายชื่อเหมือนๆกันวางกระเป๋าเป้ลงบนพื้นแล้วนั่งกินเป็นเพื่อนผมแอบเหลือบมองเธอหลายหน มองอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะเธอเป็นคนสวยลำพังแค่เพื่อนผู้หญิงก็เข้าหาลำบากแล้ว ทำไมต้องสวยด้วย รู้ไหมมันกดดัน
“ชื่อไรอ่ะ?”
“อ๋อ เราชื่อก้องนะ”ผมแนะนำตัวพร้อมชูป้าย เธอชูของตัวเองบ้างและบอกว่าชื่อทราย
“ทำไมนั่งคนเดียว?”
“ไม่รู้จะนั่งกับใคร”
“แล้วนี่เรียนภาคอะไร?”
“แมคคา”
“อาจารย์พูดไรไม่รู้แม่งง่วงว่ะ” ทรายบ่นงุบงิบตามประสาท่าทางเหมือนลูกคุณหนูขี้รำคาญที่ไม่ค่อยชอบยุ่งกับใครผมถามเธอว่าทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ ไม่นั่งกับกลุ่มผู้หญิงฝั่งโน้นเหรอ
“อ๋อ เห็นยายนั่นไหม?”ทรายเอาส้อมชี้ไปที่ผู้หญิงผมหยักศกใส่แว่นเธอกำลังฉีกยิ้มหัวเราะร่ากับกลุ่มเพื่อนด้วยท่าทางสนุกสนาน “
“เขาไปทำอะไรให้อ่ะ?”
“เรามาจากโรงเรียนเดียวกับมันอีนั่นมันตีสองหน้า” ทรายด่าพลางใช้ช้อนสับไก่ในกล่องโฟมจนแทบแหลก“มันชอบเสี้ยมให้คนเกลียดกัน แล้วตัวเองก็รับบทนางฟ้าสวยๆ”
“ถ้าไม่อยากมีเพื่อนเก่งๆทรายจะอยู่กับเราก็ได้นะ”
“โอ๊ยเราก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอก เกรดมอปลายได้แค่สองจุดเจ็ดเอง”
โอเค –ผมจะไม่พูดเรื่องเกรดกับทราย
“เออก้องเป็นคนที่ไหนอ่ะ?”
ทรายชวนคุยแล้วเราก็ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกัน ผมบอกทรายแค่ว่ามาจากลาดพร้าว อาศัยอยู่กับผู้ปกครองสองคนในคอนโดขนาดกลางส่วนทรายเป็นลูกสาวคนที่สามของร้านทำเบเกอรีนอกจากจะต้องมาเรียนแล้วยังต้องกลับไปช่วยที่บ้านทำขนมทุกวันหยุดอีกผมถามทรายว่าร้านชื่ออะไรเหรอ ถ้ามีโอกาสก็อยากลองชวนพี่อู๋ไปกินบ้างทรายบอกว่าไม่มีชื่อหรอกบ้านทรายแค่ทำขนมแล้วขายต่อให้แต่ละเจ้าไปแปะสติ๊กเกอร์เป็นแบรนด์ตัวเอง
“นี่ถ้าเราสนิทกันเร็วนะเย็นนี้จะชวนไปตีแป้งที่บ้าน ขี้คร้านจะทำ”
“บ้านทรายอยู่ไหนเหรอ?”
“บางพลี”
“เขาบอกว่าปีหนึ่งไม่ต้องลงรอลงวิชาเลือกวันที่ห้าเดือนหน้า”
“เออ เค”
“อื้อ ได้สิ”
เราแลกคอนแท็คกันพอเห็นรูปโปรไฟล์ของผมทรายก็ถามว่าทำไมใช้รูปนารูโตะ ผมบอกเธอว่าผมชอบ สนุกดีแต่ไม่ได้อ่านต่อนานมากแล้วเพราะต้องอ่านหนังสือสอบ
“จริงๆไลน์ควรเป็นรูปก้องนะเวลาคนอื่นอยากคุยจะได้หาแชทง่ายๆ”
“เราไม่มีรูปตัวเองในมือถือเลย”
“ไม่ถ่ายบ้างเหรอ?”
“ถ่ายนะแต่อยู่ในโทรศัพท์พี่อู๋อ่ะ”
“งั้นถ่ายดิ มาเราถ่ายให้”
ผมไม่ค่อยมั่นใจแต่พอทรายยกไอโฟนของตัวเองจะถ่ายให้ ผมจึงยิ้มแหยๆทรายบอกว่าถ้ายิ้มเหมือนถูกบังคับให้กินอึ๊ก็ทำหน้าบึ้งไปเลยเถอะจะได้ไม่ต้องครึ่งๆกลางๆ ผมจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มมุมปาก ไม่รู้ว่าถูกใจคุณนายทรายไหมแต่พอเธอส่งรูปมาให้ทางไลน์ มันค่อนข้างออกมาดูดีเลย
“ใช้แอปอ่ะถ่ายออกมาไม่หล่อให้ถีบยอดหน้าเลย”
ผมหัวเราะและเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ทันทีหลังจากนั้นไม่นานพี่อู๋ก็ทักมาถามว่าเปลี่ยนรูปใหม่เหรอ ใครถ่ายให้ มีเพื่อนใหม่หรือยังผมจึงบอกทรายว่าขอเซลฟี่ด้วยหน่อยสิ พี่อู๋อยากเห็นหน้าเพื่อน ทรายจัดให้ตามคำขอเธอชูสองนิ้วแนบแก้มทำปากจู๋ ท่าทางดูกวนตีนมากกว่าให้ออกมาแอ๊บแบ๊วน่ารัก
“พี่อู๋ถามว่าทำไมเพื่อนสวย”
“ขอบคุณนะคะพี่แต่หนูมีแฟนแล้ว” ทรายจีบปากจีบคอพูดผมอยากเอาน้ำจิ้มฉีดใส่หน้ามันจริงๆ “เอ้อ -- พี่อู๋ที่เป็นผู้ปกครองนี่คือพี่ชายหรือญาติของก้องเหรอ?”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างอ่ะแค่บังเอิญเจอกัน”
“จริงจัง? เรื่องมันอะไรยังไงไหนเล่าซิ?”
ผมอ้ำอึ้งพูดไม่ออกไม่ค่อยอยากเล่าเพราะเราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นสามารถแชร์เรื่องทุกอย่างให้ฟังทรายยังคงนั่งหลังตรงและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจแต่ผมไม่ได้เล่าผมไม่พูดอะไรซักคำจนกระทั่งหมดเวลาพัก เราจึงเดินไปทิ้งข้าวกล่องลงถังขยะและแยกย้ายไปเข้าห้องน้ำก่อนขึ้นหอประชุมอีกครั้ง
ผมบอกทรายว่าจะรอตรงตู้กดน้ำเธอตอบแค่โอเคแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำหญิงผมมองเพื่อนร่วมคณะเดินขึ้นบันไดกันเป็นกลุ่มพวกเขาส่งเสียงคุยจอแจเพราะคงกำลังทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ถ้าเป็นก่อนหน้าผมคงเศร้านิดหน่อยที่ไม่มีใครเข้าหาแต่ตอนนี้ผมมีทรายแล้ว คิดว่าน่าจะไม่ต้องกังวลอะไรเท่าไหร่ล่ะมั้ง
“เอ่อ – หนู”
เสียงเรียกจากข้างหลังทำให้ผมตกใจผมรีบตอบครับโดยอัตโนมัติเมื่อพบคุณลุงที่ดูมีอายุคนหนึ่ง รูปร่างค่อนข้างท้วมหน้าตาออกจีนๆ ผิวขาวซีด สวมเสื้อคอปกแขนสั้นกับกางเกงขายาวสีดำโดยรวมแกแต่งตัวดีมาก แต่ดูเงอะงะเหมือนไม่ใช่อาจารย์ที่นี่น่าจะเป็นผู้ปกครองที่รอรับลูกหรือไม่ก็หลานกลับบ้าน
“ห้องน้ำอยู่ไหนเหรอ?”
“ทางนี้ครับข้างหลังนี้เลย”
ผมชี้นิ้วไปด้านหลังคุณลุงมองตามก่อนจะบอกขอบอกขอบใจแต่ไม่รีบเดินไปไหน แกยืนยิ้มอย่างนั้นอยู่นานมากและเอาแต่จ้องนายก้องเกียรติตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนเจอของแปลก
“ให้ผมพาไปไหมครับ?”
“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวลุงไปเอง”
เขายิ้มแล้วยอมเดินจากไปสวนทางกับทรายที่เดินสะบัดมือออกมาพอดี ทรายถามว่ารอนานไหม พอดีปวดขี้ก็เลยแวะหย่อนระเบิดหน่อยผมบอกว่าไม่นานหรอก แค่ตอนนี้เราเรียนจบแล้ว ผมกำลังส่งเรซูเม่สมัครงานพอดี
“เว่อร์ว่ะ”
ทรายหัวเราะแล้วเดินข้างผมกลับเข้าหอประชุม การมีเพื่อนเป็นคนที่หน้าตาดีมากๆมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือเรากลายเป็นจุดสนใจโดยไม่ต้องพยายามทุกคนหันมองทรายจนคอแทบเคล็ดเพราะทรายสวยจริงๆแต่เบื้องหลังความสวยคือการบอกเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันว่าไปขี้มา จะดมไหมไม่ได้ใช้เจลล้างมือนะ มันหมด
“โสโครก”
ผมด่าทีเล่นทีจริงแต่ทรายไม่ยักโกรธ ตกบ่ายเราจึงย้ายมานั่งข้างกันกิจกรรมที่รุ่นพี่จัดให้ไม่ได้ต่างจากที่คิดเท่าไหร่แน่นอนว่าทรายย่อมเป็นจุดสนใจเพราะเป็นคนสวย พอทรายมาอยู่กับผมเราก็เริ่มมีเพื่อนชวนคุยขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ผมรู้จักมิว เต้ โบ้ท อาร์ท และเชอร์รี่มีอีกคนที่เข้ามาทักพวกเรา เขาแนะนำตัวเองว่าชื่อออกัสแล้วนั่งจับกลุ่มกับผมกลายเป็นกลุ่มใหญ่พวกเพื่อนๆพูดกันลับหลังว่าออกัสเป็นเน็ตไอดอล น่าจะได้เป็นเดือนคณะหรือไม่ก็เดือนมหาลัยของปีเราเลย
“ตอนเช้ายังเก๊กไม่คุยกับใครพอเห็นทรายก็เสนอหน้ามาเลย หน้าหม้อชิบหาย ไอ้หม้อราชบุรี”
โบ้ทแอบกระซิบด่าออกัสให้นายก้องเกียรติฟังผมบอกโบ้ทว่า บ้า มึงอ่ะคิดมาก เขาอาจจะเป็นคนขี้อายก็ได้เลยไม่กล้าเข้าหาใครก่อน ถึงจะมีซุบซิบกันบ้างแต่เพื่อนกลุ่มแรกของผมค่อนข้างเฟรนลี่ก็เลยโอเคถูๆไถๆกันไป เรานั่งด้วยกันจนหมดชั่วโมงกิจกรรมจึงชวนกันไปหาข้าวกิน ออกัสเสนอว่าอยากกินชาบูโบ้ทบอกอยากกินบะหมี่เกี๊ยว มิวอยากกินของเบาๆราคาไม่แพงเพราะเพิ่งซื้อบ้องไฟเกาหลีมานายก้องเกียรติอะไรก็ได้ ตามใจทุกคน ส่วนทรายไม่กินจะกลับบ้านไปทำขนมเพราะป๊าโทรตามแล้ว
“งั้นกินอาหารจานเดียวก็ได้ทรายจะได้กลับไวๆ” ออกัสเสนอ
“กูบอกแล้วว่าไอ้เหี้ยนี่มันหม้อราชบุรี”โบ้ทกระซิบอีก ผมจึงบอกโบ้ทว่าถ้ามึงยังไม่เลิกเอาจังหวัดราชบุรีต่อท้ายคำว่าหม้อ กูจะฟ้องผู้ว่า
ทรายกระอักกระอ่วนพูดไม่ออกเพราะส่วนหนึ่งอยากกินข้าวกับเพื่อนด้วยอีกส่วนก็ต้องรีบไปช่วยที่บ้านทำขนมด้วย แต่สุดท้ายความใจแตกของทรายก็เลือกบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงกับเพื่อนๆนาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสิบเจ็ดนาที เราแยกย้ายกันตรงคิวรถตู้
“จริงๆถ้าทรายรีบ เราไปส่งทรายก็ได้นะเรามีรถยนต์”
“อย่าเลยออกัสเสียเวลาเปล่าๆ บ๊ายบายนะทุกคน”
เธอเดินดุ๊กดิ๊กๆขึ้นรถเก๋งคันนึงแล้วออกไปโดยเหลือผมกับกลุ่มชายฉกรรจ์ไว้เบื้องหลัง
“กูอยู่ซอยเกกีสองมึงอ่ะก้อง?”
“เกกีหนึ่ง”
“งั้นไปมอไซค์กับกูเดี๋ยวกูไปส่ง”
โบ้ทอาสาผมจึงกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ร้ายๆของมันจนถึงหอ ผมขอบใจมันก่อนจะบอกว่าพรุ่งนี้มีเรียนปรับพื้นฐานนะอย่ามาสายล่ะ มันตอบเออๆแล้วขับรถจากไป นายก้องเกียรติจึงขึ้นห้องวางกระเป๋าเป้บนโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะกระโดดนอนบนเตียงคืนนี้เป็นคืนแรกที่ผมอยู่คนเดียวโดยไม่มีพี่อู๋และต้องอยู่ที่นี่อีกสามวันกว่าจะได้กลับลาดพร้าวไปเจอเขาว่าแล้วก็โทรหาคุณอิศรินทร์หน่อย อยากรู้จังว่าบ้านที่ไม่มีนายก้องเกียรติเงียบเหงาบ้างไหม
“พี่กำลังขับรถกลับบ้านเลยเนี่ย”พี่อู๋บ่นเซ็งๆ ไม่แปลกใจที่ป่านนี้เขายังไม่ถึงบ้านการจราจรช่วงเลิกงานไม่เคยน่ารักสำหรับเรา “วันนี้เป็นไงบ้าง?นอกจากทรายแล้วมีเพื่อนคนอื่นอีกไหม?”
ผมตอบว่ามีและเล่าให้ฟังยาวเหยียดว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างมีกิจกรรมอะไร อาจารย์พูดถึงเรื่องอะไร รุ่นพี่ใจดีหรือเปล่าผมเล่าเชิงนินทาให้พี่อู๋ฟัง ผมบอกเขาว่าคนที่ชื่อออกัสหน้าหม้อมาก ท่าทางคงจะชอบทรายจริงๆถึงพยายามตื๊อขนาดนี้แต่ทรายบอกผมว่ามีแฟนแล้ว ไม่รู้ว่าออกัสรู้ไหม เขาควรรู้นะจะได้ไม่เจ็บหนักมาก
“ก้องเรียนปรับพื้นฐานถึงวันไหน?”
“วันที่สิบสองนี้ครับ”
“เดี๋ยวเลิกงานพี่ขับรถไปรับนะ”
ผมรีบปฏิเสธและบอกพี่อู๋ว่าอย่ามาเลยลาดกระบังช่วงเลิกงานรถติดหนักไม่แพ้ลาดพร้าว อีกอย่างกำหนดการเลิกสี่โมงครึ่งถ้าผมนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านน่าจะถึงไวกว่ารอพี่มารับ ไว้เจอกันที่ลาดพร้าวนะครับผมจะซื้อบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงไปฝาก หน้าตลาดมีร้านนึงอร่อยมาก ผมกินแล้วคิดถึงพี่เลยผมอยากให้พี่มากินด้วยกัน
“ไว้คราวหน้าก้องพาพี่ไปกินบ้างนะ”
ผมตอบครับแล้วคุยกันเรื่องอื่นต่อสิ่งที่พี่อู๋ค่อนข้างกังวลคือเรื่องรับน้องเพราะได้ยินมาตลอดว่าวิศวะรับน้องโหดผมบอกให้ผู้ปกครองสบายใจว่าที่นี่ไม่น่าจะรุนแรงเหมือนที่เป็นข่าวเพราะยังไม่เจอพี่คนไหนหน้าหงิกหรือขึ้นเสียงใส่อีกอย่างผมอายุพอๆกับรุ่นพี่ด้วย ถ้าว้ากมาก็ว้ากกลับไม่โกง พี่อู๋หัวเราะชอบใจเขาบอกว่าให้มันจริงเถอะ บทสนทนาของเราเงียบไปครู่หนึ่งเพราะไม่มีอะไรจะคุยต่อผมจึงโพล่งบอกพี่อู๋ว่าผมคิดถึงเขา คืนนี้เป็นคืนแรกที่ต้องนอนคนเดียวผมกลัวผีมากเลย
“อยากกลับบ้านไหม?เดี๋ยวพี่ไปรับ”
“พี่อย่ามาเลย มันดึกแล้วอีกอย่างพรุ่งนี้พี่ต้องทำงานแต่เช้า”
“ก็ก้องบอกว่าเหงา”
“ผมไม่ได้พูดว่าเหงาผมพูดว่าคิดถึงพี่ต่างหาก”
พี่อู๋เถียงขาดใจเขาบอกว่าประโยคก่อนหน้าที่ผมพูดมันหมายความว่าเหงานะจ๊ะพ่อรูปหล่อขับรถมาหาหน่อยสิ ผมแว้ดใส่พี่อู๋ว่าเขาจะตีความสิ่งที่ผมพูดผิดๆเพี้ยนๆไม่ได้ผมคิดถึงก็บอกว่าคิดถึง ไม่ได้พูดอ้อมๆขอให้มาหา ถ้าผมอยากให้พี่มา ผมจะบอกเอง
“คืนนี้ก้องจะหลับไหมเนี่ย”พี่อู๋พึมพำลอยๆ ผมให้คำตอบเขาไม่ได้เหมือนกันว่าจะนอนหลับไหม “
ผมตอบเขาว่าคงต้องทำแบบนั้นแหละเราคุยกันอีกชั่วโมงกว่าๆผมถึงบอกให้พี่อู๋วางสาย เขาควรอาบน้ำเข้านอนได้แล้วผมเองก็จะไปอาบน้ำนอนเหมือนกัน
เราบอกลาทางโทรศัพท์ครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำหลังทำความสะอาดตัวเองเสร็จก็ออกมานั่งจัดกระเป๋าเตรียมตัวสำหรับเรียนพื้นฐานผมเช็กปากกาดินสอ เช็กว่ามีสมุด มีแฟ้มใส่เอกสารหรือยังพรุ่งนี้ทางคณะอนุญาตให้สวมชุดสุภาพผมจึงรีดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแลคสีดำแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมก็กระโดดขึ้นเตียงไม่รู้ก่อนเจอพี่อู๋ผมอยู่คนเดียวได้ยังไงเป็นเดือนๆ มีทีวีเครื่องเดียวก็ผ่านวันไปได้แต่คืนนี้กลับไม่ง่ายเหมือนที่คิดจากที่เคยล้อพี่อู๋ว่าอย่าร้องไห้คิดถึงผมนะ กลับกลายเป็นว่านายก้องเกียรติคือฝ่ายร้องไห้เสียเองเพราะคืนแรกที่ไม่ได้นอนด้วยกันมันโหวงในอกมากๆผมอยากให้พี่อู๋มารับกลับบ้านตอนนี้เลยจริงๆ
☁
กว่าจะปรับตัวเข้ากับชีวิตเด็กหอได้ก็เกือบสิ้นเดือนต้องขอบคุณเพื่อนๆที่ชวนกันไปกินข้าวและเที่ยวเล่นหลังหมดกิจกรรมจนเราค่อยๆคุยกันรู้เรื่องมากขึ้นผมไม่เหงาเท่าเมื่อก่อนเพราะต้องทำนั่นทำนี่ตามตารางที่พี่ๆจัดวางไว้ เมื่อวานเป็นวันOpen
ทีแรกผมตั้งใจรอกินข้าวกับพี่อู๋แต่รถติดหนักมากเขาก็เลยบอกให้ไปหาอะไรกินก่อน ผมเดินออกไปซื้อข้าวแถวนี้คนเดียวขณะรอข้าวในร้านตามสั่ง ผมก็เจอคุณลุงที่เคยถามทางไปห้องน้ำอีกครั้งผมไม่รู้ว่าเขาจำผมได้หรือเปล่าเลยไม่ยกมือไหว้ทักทาย แต่ดูเหมือนแกจะจำได้เลยถามผมว่าอยู่แถวนี้เหรออยู่กับใครล่ะ กับเพื่อนใช่ไหม ผมบอกว่าเปล่าครับ อยู่คนเดียวในเกกีหนึ่ง
“ลุงมารอรับหลานเหรอครับ?”
“มารอลูกชายน่ะ”
“อ๋อ – ครับ”
ผมพยักหน้ายิ้มๆว่าจะถามถึงลูกแกหน่อยแต่กลัวว่าดูสาระแนเกินไปเลยไม่ถามดีกว่าหลังยืนรอข้าวผัดเกือบสิบนาที คุณป้าเจ้าของร้านก็ใส่ถุงส่งให้นายก้องเกียรติผมควักเงินเตรียมจ่ายค่าข้าวแต่คุณลุงกลับบอกว่าไม่ต้องหรอก เดี๋ยวแกจ่ายให้ ผมรีบปฏิเสธเพราะไม่เข้าใจว่าจะจ่ายค่าข้าวให้ผมทำไมในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกันผมแค่บอกทางไปห้องน้ำเองนะ ไม่เห็นต้องดีกับผมขนาดนี้เลย
เมื่อเถียงไม่ทันผมจึงรับถุงข้าวกลับมาถืองงๆยกมือไหว้ขอบคุณคุณลุงก่อนจะหันหลังเดินกลับหอ ระหว่างทางเจอออกัสเดินสวนมาพอดีเขาถามผมว่าจะไปกินข้าวที่ไหน พอบอกว่ากินในห้อง เขาก็ชวนไปกินข้าวเป็นเพื่อน
“แต่เราซื้อข้าวมาแล้วนะ”
“งั้นรอเราซื้อข้าวแป๊ปเดี๋ยวไปกินใต้หอเราก็ได้”
ผมเป็นคนปฏิเสธใครไม่เก่งก็เลยปล่อยตามน้ำยอมนั่งกินข้าวใต้ของออกัสตามคำชวนเพื่อนใหม่ บางทีผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันจะชวนผมมากินด้วยทำไมในเมื่อมาแล้วก็นั่งใบ้ใส่ไม่มีเรื่องอะไรให้พูดนอกจากเหลือบมองคนที่ผ่านมาเจอเราสองคนแอบซุบซิบคุยกันว่านั่นน้องออกัสออกัสวิศวะที่หล่อๆ ออกัสในทวิตเตอร์ไง มากินข้าวกับใครอ่ะ ไม่เคยเห็นหน้าเลย
อ่า – ขอโทษนะครับที่ทำให้ทุกคนเห็นภาพออกัสกินข้าวกับลิงเดี๋ยวหมดกล่องนี้กอริลลาก้องจะรีบกลับห้องตัวเองเลยครับ ขอโทษจริงๆที่ทำให้ตกใจกอริลลามันก็ไม่ได้อยากโผล่มาแถวนี้หรอก แต่ปฏิเสธคำชวนออกัสของทุกคนไม่ได้ต่างหาก
หลังกินข้าวเสร็จผมก็ขอตัวกลับกลับได้ง่ายๆเลยแค่เอากล่องโฟมไปทิ้งแล้วบอกว่าไปละ ก็คือจบนาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มเจ็ดนาที พี่อู๋น่าจะยังไม่ถึงลาดกระบังเร็วๆนี้ผมก็เลยนอนไถโทรศัพท์ เล่นไปซักพักก็เจอประกาศด่วนจากสำนักงานกิจการนักศึกษารายละเอียดประกาศเรื่องยกเลิกกิจกรรมรับน้องรถไฟ แต่ให้เข้าร่วมกิจกรรม
ผมรีบกดโทรศัพท์บอกพี่อู๋ว่าพรุ่งนี้เราไม่ต้องตื่นเช้าไปสถานีหัวลำโพงแล้วนะทางมหาวิทยาลัยเพิ่งประกาศยกเลิกเมื่อกี๊เอง คุณอิศรินทร์ถามต่ออย่างมีความหวังว่ายกเลิกกิจกรรมทั้งวันเลยใช่ไหมผมบอกว่าไม่ใช่ พรุ่งนี้ผมก็ยังต้องเข้ามอเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไปสายได้นิดหน่อยรุ่นพี่นัดเจอตอนเจ็ดโมงเช้า
“พี่อู๋ถึงไหนแล้วครับ?”
“ใกล้แล้วล่ะ”
ผมตอบครับๆและนอนอ่านข่าวในอินเทอร์เน็ตต่อพอสี่ทุ่มเสียงโทรศัพท์ก็ดัง ผู้ปกครองของผมมาถึงแล้ว มาพร้อมกับของกินเต็มสองมือผมช่วยเขาขนของขึ้นห้องและนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน วันนี้มีเรื่องให้คุยเยอะแยะเลยเริ่มจากระเบิดกลางกรุงก่อน แต่ผมขอตัดคำหยาบที่พี่อู๋ด่ารัฐบาลออกก็แล้วกันนะหลังจากนั้นตามด้วยเรื่องกิจกรรมจับสายรหัสวันนี้ พี่อู๋ถามว่าเป็นไงมีคนเข้าหาเยอะไหม ผมบอกว่าไม่เลย ไม่มีใครเข้าหาผมตรงๆทุกคนเข้ามาชวนคุยเพราะผมอยู่กับทรายและออกัสเท่านั้นแต่ผมไม่รู้สึกน้อยใจเท่าไหร่ ดีเสียอีกที่ไม่ค่อยเป็นที่จดจำของใคร เวลาโดดกิจกรรมจะได้ไม่มีใครจำได้
“พี่ทำงานเหนื่อยไหม?”
“เหนื่อยสิ”
ดังนั้นหลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและทาแป้งเย็นจนหอมฟุ้งนายก้องเกียรติก็นวดให้ผู้ปกครองตามคำขอ ทั้งบีบ ทั้งขยำและทำมือสับๆเหมือนที่เคยเห็นในหนังทุกกระบวนท่าพี่อู๋เหมือนคนแก่ที่ต้องให้ลูกหลานบีบนวดให้เปี๊ยบเลยเขาร้องอาๆอย่างพอใจเมื่อผมสับมือตรงจุดปวดเมื่อย อายุเพิ่งจะสามสิบต้นๆเองทำไมชอบทำตัวแก่จัง
นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนสิบแปดนาทีนายก้องเกียรติปิดไฟเตรียมตัวเข้านอนพร้อมผู้ปกครองเพราะวันนี้พี่อู๋เหนื่อยมามากแล้วผมก็เลยไม่ได้เล่าเรื่องคุณลุงแปลกหน้ากับออกัสให้ฟังผมตั้งใจว่าพรุ่งนี้หลังเสร็จกิจกรรมจะพาพี่อู๋ไปดูสถานีรถไฟ ถึงตอนนั้นค่อยเล่าก็แล้วกันว่ามีเรื่องประหลาดเกินขึ้นตอนที่เขาไม่อยู่คุณอิศรินทร์ต้องน้ำลายฟูมปากแน่ๆถ้ารู้ว่ามีผู้ชายหล่อๆชวนผมไปกินข้าวด้วยผมล่ะอยากให้เขารู้จัง ผมอยากเห็นจริงๆว่าเขาจะปั้นสีหน้ายังไง
☁
วันนี้ผมสวมเสื้อสีส้มของกิจกรรมFirst Step
ผมยืนหน้าเป็นตูดให้พี่อู๋ถ่ายรูปส้มก้องเกียรติอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนจะปัดเศษใบไม้ออกจากหัวเราเดินหยอกล้อกันไปจนถึงอาคารจุดนัดพบพอเห็นคนใส่เสื้อสีส้มนับร้อยเดินกันขวักไขว่ เขาก็บอกว่าเหมือนสวนส้มเดินได้นั่นก็ส้ม นี่ก็ส้ม ก้องก็ส้ม ส้มส้ม ฝ้มฝ้ม ฝ้มบ้าอะไร จะส้มก็ส้มอย่ามาฝ้มให้เพี้ยนสิ
“เสร็จแล้วโทรหาพี่นะ”
ผมโบกมือบ๊ายบายผู้ปกครองก่อนจะวิ่งไปหาทรายที่ยืนเอวเอสสวยๆอยู่กลางดงผู้ชายผมทักทายเพื่อนทุกคนแล้วเริ่มต่อแถวลงทะเบียน เราถูกแบ่งกระจายไปตามกลุ่มแต่โชคดีที่ทรายได้อยู่กลุ่มเดียวกับผมอ้อ – มีออกัสอีกคน ดังนั้นเราสามคนจึงเกาะติดกันเป็นกลุ่มเล็กๆทำกิจกรรมตลอดทั้งวันแน่นอนว่าจุดรวมสายตาย่อมเป็นทรายกับออกัสรุ่นพี่หลายๆคนชอบแกล้งให้ทั้งสองคนเต้นคู่กันตอนแรกพวกเขาแซวว่าทรายกับออกัสมีลับลมคมในอะไรหรือเปล่าเพราะเคมีดูเข้ากั๊นเข้ากันทรายจึงดับฝันบรรดาคู่จิ้นด้วยการบอกว่ามีแฟนแล้วค่ะเสียงดังฟังชัด และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครจับคู่ทรายกับออกัสอีกเลยออกัสจึงเว้นระยะห่างไม่ให้ดูน่าเกลียดด้วยการพยายามมาเต้นกับผมบางทีตอนร้องเพลงแจวก็ลากผมออกไปยืนข้างหน้า
เฮ้ย
เฮ้ย
เฮ้ย
เฮ้ย –
ไอ้ห่าออกัส
ผมด่ามันในใจทุกรอบที่ถูกดึงมือให้ออกไปเต้นด้วยกันก็บอกแล้วไงว่าไม่ชอบเต้น ไม่ชอบเต้น แต่จังหวะมันบีบขนาดนี้ก็ต้องขยับตัวหน่อยหรือเปล่าวะเดี๋ยวพี่ๆเสียใจ
พอถึงเวลาพักกินข้าวเที่ยงเรานั่งกินข้าวกับเพื่อนๆคณะอื่นเป็นกลุ่มใหญ่มีการพูดคุยทำความรู้จักบ้างตามมารยาทแต่ผมไม่ค่อยสนใจระหว่างที่นั่งฟังเพื่อนคณะอื่นเล่าเรื่องผีที่หอ(ห้ามผวน –ออกัสมันกล้าเล่นมุกนี้ด้วย ไอ้ชาติชั่ว) ผมก็เห็นคุณลุงคนเดิมยืนคุยกับอาจารย์ที่เคยสัมภาษณ์ผมเข้ามหาวิทยาลัยพวกเขาคุยกันด้วยสีหน้าจริงจังและหันมามองนายก้องเกียรติ พอโดนจับได้ว่าลิงตัวหนึ่งกำลังมองสำรวจอยู่พวกเขาก็เดินหนีไปอีกทาง ปล่อยให้ผมสงสัยว่าจริงๆแล้วลุงคนนั้นเป็นใครกันแน่ แต่สงสัยได้ไม่นานก็ลืมเพราะต้องแจวเรือกับไอ้ออกัสต่อบักห่านี่ – สงสัยแม่งเป็นแฟนพันธุ์แท้เพลงแจว
หลังเสร็จกิจกรรมผมบอกทรายและเพื่อนๆว่าวันนี้ไม่ไปกินข้าวเย็นเพราะพี่อู๋มารอรับแล้ว ผมโบกมือลาทุกคนก่อนจะเดินไปหาพี่อู๋ที่นั่งหาวอยู่บนม้านั่งพอเห็นกอริลลาหน้าเลอะแป้ง เขาก็หัวเราะแล้วใช้มือเช็ดออกให้
“สนุกไหม?”
“สนุกครับ มีแต่คนเต้นตลกๆ”
ผมตอบพี่อู๋เขาบอกว่าเอาเป้มาสิเดี๋ยวถือให้ แต่ผมปฏิเสธและบอกว่าเป้เบาเหมือนนุ่น ผมสะพายได้แล้ววันนี้เป็นไงบ้าง ได้เต้นไหม พี่เดินผ่านเห็นคนเต้นกันมันเลยผมหัวเราะแล้วบอกว่าโดนบังคับเต้นมากกว่าจริงๆไม่มีใครสนใจนายก้องเกียรติหรอกแต่บังเอิญในกลุ่มดันมีทรายกับออกัสอยู่ด้วยก็เลยโดนเรียกไปแกล้งตั้งหลายฐานพี่อู๋ถามว่าเขาบังคับให้เต้นท่าสองแง่สามง่ามบ้างไหม ผมตอบว่าไม่ไม่มีการบังคับหรือว้ากอะไร มีแต่การเต้นที่ผมเห็นแล้วเขินแทน แหะ
เราสองคนเดินคุยกันจนเกือบถึงที่จอดรถจังหวะที่หันไปตามเสียงกลองจากไกลๆ ผมเหลือบเห็นลุงคนนั้นอีกแล้วแกเดินตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้และท่าทางจะยังตามเรื่อยๆเพราะเมื่อผมลองหยุดเดินเขาก็หยุด พอผมจูงมือพี่อู๋ให้เดินเร็วขึ้น เขาก็วิ่งเหยาะๆผมรู้สึกว่าเรื่องมันชักไม่เข้าท่าแล้วก็เลยบอกพี่อู๋ว่ามีคนแอบตามผมครับ เขาเคยตามไปจนถึงเกกีตอนนี้กำลังเดินห่างๆอยู่ด้านหลัง คุณอิศรินทร์หน้าดุทันทีเมื่อเด็กในปกครองฟ้องเขาหมุนตัวกลับไปจ้องคุณลุงจนแกตกใจ หยุดตามอยู่พักหนึ่งก่อนพี่อู๋จะจับมือผมแน่นและดันหลังให้เดินนำทาง
“เขายังตามอยู่เลยอ่ะพี่อู๋”
ผมกระซิบบอก พี่อู๋เพิ่มเลเวลความโหดด้วยการดึงหน้าส่งสัญญาณเตือนว่าถ้าลุงเข้ามาใกล้เขาจะกระโดดถีบให้หน้าหงายจริงๆด้วยแต่ลุงโรคจิตก็ยังเดินตามราวกับพยายามจะเข้าถึงตัวผมให้ได้เมื่อเราเดินจนถึงรถและไม่มีทางเลือกพี่อู๋จึงดันผมไปหลบข้างหลังและถามว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าครับด้วยน้ำเสียงขึงขังที่สุดเท่าที่นายก้องเกียรติเคยได้ยินมา
“ผมมีธุระอยากคุยกับก้องหน่อยครับ”
“คุยกับผมดีกว่าครับผมเป็นผู้ปกครองของก้อง”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยพี่อู๋นี่ฝากชีวิตไว้ได้จริงๆ นอกจากให้อาหารและความรักเขายังสามารถปกป้องผมจากเรื่องอันตรายได้ด้วย พี่อู๋กับคุณลุงจ้องหน้ากันอยู่พักใหญ่จนแทบได้ยินเสียงชิ้ง
“ถ้าไม่มีอะไรก็อย่าตามก้องอีกนะครับไม่งั้นผมจะแจ้งความ”
ลุงหน้าเสียไปเลย
“ผมว่าพูดกับคุณมันไม่เป็นส่วนตัว”
“คุยกันตรงนี้แหละครับก้องไม่อยากคุยกับคุณแบบส่วนตัว”
ผมพยักหน้าอีก หวังว่าคราวนี้ลุงจะบอกเหตุผลเสียทีว่าที่เจอๆกันตลอดเกือบเดือนนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหมลุงหน้าตี๋ดูเครียดหนักอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจแกหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วส่งบัตรประชาชนของตัวเองให้พี่อู๋
“ผมเป็นพ่อของเด็กคนนี้”
เขาบอกเสียงอ่อย
“ก้องเกียรติเป็นลูกชายของผมครับ”
TBC
_____________________________
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in