33
คำถาม
ก. เป็นลม
ข. ร้องไห้
ค.ก้มลงกราบเท้าพ่อ
ง.โผเข้ากอดพ่อ และบอกรักพ่อ
และคำตอบที่ถูกต้องคือ--
“กลับบ้านกันเถอะครับพี่อู๋ผมหิวข้าวแล้ว”
ผมหันไปบอกผู้ปกครองตัวจริงคุณอิศรินทร์ดูงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจว่านายก้องเกียรติมาไม้ไหน แต่ก็ส่งบัตรประชาชนคืนคุณลุงแปลกหน้าแล้วเปิดประตูรถให้ชายที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อรีบรั้งเราเอาไว้ไม่ให้ไปไหน เขาขอให้คุยกันดีๆก่อนได้ไหมป๊าอยากเจอก้องมานานหลายปี ทำไมก้องไม่หันมามองหน้าป๊าหรือพูดอะไรกับป๊าบ้างผมงงหนักกว่าเดิมอีกว่าจะให้พูดอะไรคนเป็นพ่อที่ไม่เคยทำหน้าที่ตัวเองมาตลอดสิบเก้าปีหวังว่าลูกชายจะอยากพูดด้วยเหรองง
“ไปอยู่ไหนมาก้องป๊าตามหาแทบแย่” ลุงที่บัตรประชาชนระบุชื่อว่าสมปราชญ์ร้องไห้น้ำตาไหลเขาทำท่าจะโผเข้ามากอดผมแต่พี่อู๋ไม่อนุญาต บรรยากาศซึ้งๆเหมือนละครจึงหายวับในพริบตา“ก้อง ม้าพาก้องไปอยู่ไหน?”
“จรัญสนิทวงศ์ครับ”
ผมตอบรู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่มีคนแทนตัวเองว่าป๊า และเรียกแม่ว่าหม่าม้าผมโตมาจนอายุสิบเก้าโดยไม่ได้ใกล้ชิดอะไรกับความเป็นจีน ดังนั้นผมจึงไม่อินหรือซาบซึ้งกับสรรพนามเรียกพ่อแม่ขนาดนั้น
“ตอนนี้ม้าไปไหน?ม้าไม่ได้อยู่กับก้องเหรอ?”
“แม่ตายไปสองปีแล้วครับ”
“ม้าเป็นอะไรตาย?”
“ป่วยครับ”
“ป่วยเป็นอะไร?”
“ไม่ทราบครับแม่ไม่เคยบอก”
“ตอนม้าตาย ทำไมก้องไม่มาหาป๊า?”
ว้อท เดอะ ฟัคแม๋น
ผมสบถในใจตามเสียงไอ้โบ้ททำไมคุณสมปราชญ์ถึงกล้าถามอะไรโง่ๆแบบนี้ออกมาได้ผมจะไปตามหาเขาที่ไหนในเมื่อตั้งแต่เกิดมา พ่อหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้บ้านอยู่ไหนก็ไม่รู้ เป็นคนเชื้อสายอะไรก็ไม่รู้ นอกจากชื่อในใบสูติบัตรระบุว่าเป็นพ่อผมไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะหาตัวเขาเจอและไม่มีความจำเป็นต้องตามหาเพราะแม่คือครอบครัวคนเดียวของผม แม่ตายก็คือจบทำไมต้องดิ้นรนหาคนที่ไม่เคยสนใจเลี้ยงเราด้วย
“ก้อง –ก้องไม่คิดถึงป๊าบ้างเหรอ?”
“ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อหน้าตายังไง”
“แต่ตอนเด็กๆก้องติดป๊ามากเลยนะ”
ลุงสมปราชญ์พูดอีกแกหยิบรูปถ่ายซีดจางจากกระเป๋าเสื้อให้นายก้องเกียรติดูในรูปมีเด็กทารกนั่งบนตักลุงสมปราชญ์ตอนยังหนุ่ม ใบหน้าแกยิ้มกว้างจนถึงหูดูมีความสุขที่ได้อยู่กับลูกชายผมไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรมากมายจนกระทั่งเห็นภาพใบที่สอง ภาพนั้นเป็นภาพของแม่เป็นตอนที่แม่สวมชุดสวยๆอุ้มผมด้วยรอยยิ้ม
ผมหยิบภาพนั้นมาดูอดน้ำตาคลอคิดถึงแม่ไม่ได้เพราะเสียใจที่แม่ไม่มีโอกาสเห็นผมใส่ชุดนักศึกษาพี่อู๋ที่ยืนอยู่ข้างๆทำลายบรรยากาศด้วยการถามว่าคราบอะไรตรงกางเกงของเด็กเป็นปื้นๆลุงสมปราชญ์ชะโงกหน้าเข้ามาดูก่อนจะบอกว่า อ๋อ อึก้องเกียรติอึแตกตอนแกกดชัตเตอร์พอดี
“ขี้แตกว่ะเรา”
“ทำไมพี่แม่งชอบทำลายบรรยากาศจังเลยวะ”
ผมบ่นผู้ปกครองก่อนจะส่งภาพทั้งหมดคืนเจ้าของแต่ลุงยังไม่ยอมแพ้ งัดเอาคอลเลคชั่นต่างๆมาให้ดูอีก มีรูปผมตอนนั่งบนรถหัดเดินตอนกินข้าวมูมมามจนเลอะทั้งหน้า ตอนร้องไห้จนหน้ายับเมื่อนักแสดงงิ้วมายืนถ่ายรูปข้างๆเขามีรูปถ่ายของผมจนกระทั่งผมอายุประมาณน่าจะเกือบๆสองขวบแล้วภาพบันทึกความทรงจำก็หมด ไม่มีนายก้องเกียรติอยู่ในชีวิตของเขาอีก
“แต่เด็กในรูปอาจจะไม่ใช่ผมก็ได้ไม่แน่นะ แม่อาจจะมีลูกหลายคน”
“คนเดียว”
ต่อให้มีรูปร้อยใบหรือขนเครือญาติของแม่มาเป็นพยาน ผมก็คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่น่าเป็นไปได้ผมบอกปฏิเสธคุณสมปราชญ์ไปว่าน่าจะเข้าใจผิดมากกว่านะครับแล้วเปิดประตูขึ้นรถเตรียมหนีแต่แกก็ยื้อบานประตูไว้ไม่ปล่อยผมไป แถมยังพยายามขอร้องให้ผมเชื่อแกซักครั้งว่าแกเป็นพ่อของนายก้องเกียรติจริงๆเราดึงกันไปมาอยู่แค่แป๊ปเดียว แป๊ปเดียวเท่านั้นเพราะพี่อู๋เข้ามาจัดการไม่ให้พ่อแอบอ้างได้แตะผมแม้แต่ปลายนิ้ว
“บัตรประชาชนใบเดียวมันพิสูจน์อะไรไม่ได้หรอกครับ”ผู้ปกครองของผมบอกคุณสมปราชญ์ที่กำลังผิดหวัง “
ลุงสมปราชญ์คงไม่มีตัวเลือกแกจึงยอมแพ้และขอเบอร์โทรของผม แต่พี่อู๋ไม่ให้เขาบอกว่ามีอะไรให้ติดต่อผ่านเขาเท่านั้น เพราะเขาคือผู้ปกครองของก้องเกียรติ
“แต่ผมเป็นพ่อของก้องนะ!”
“ผมต่างหากที่มีสิทธิในตัวก้องผมเป็นผู้ปกครองของเขา!” พี่อู๋เถียงกลับ “
เงียบกริบมีแต่เสียงกลองกับกิจกรรมรับน้องเท่านั้นที่ดังคั่นบทสนทนาผมมองสลับไปมาระหว่างพ่อแอบอ้างกับพ่อสาขาสองด้วยความเครียดหลังจากยืนด่ากันทางสายตานานเกือบนาที คุณสมปราชญ์ก็ยอมแพ้เขียนเบอร์ตัวเองส่งให้พี่อู๋
“แล้วผมจะติดต่อกลับไป”
พี่อู๋บอกห้วนๆก่อนจะปิดประตูรถแล้วมุ่งหน้าสู่ลาดพร้าวบ้านของเรา
☁
ตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัยผมยังไม่พูดอะไรซักคำ พี่อู๋เองก็ขับรถเงียบๆไม่ชวนด่าคุณสมปราชญ์ราวกับรู้ว่าเขาไม่ได้โกหกถ้าถามว่าคิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น บอกได้แค่ว่าใจผมมันต่อต้านไม่ยอมรับ ผมไม่ได้รู้สึกดีหรือตื้นตันเหมือนในละครมันมีแต่ความหงุดหงิดและเจ็บใจมากกว่า ตอนคุยกันต่อหน้าผมยังช็อกอยู่จึงไม่ค่อยได้พูดอะไรแต่พอเวลาผ่านไปจนความคิดตกตะกอน มันมีคำด่ามากมายลอยว่อนเต็มหัว
หายไปไหนตั้งสิบกว่าปี?
ไม่คิดจะออกตามหาผมกับแม่บ้างเลยเหรอ?
ทำไมพูดเหมือนเป็นความผิดของผมที่ไม่ยอมสืบหาว่าพ่อเป็นใคร?
กลับมาตอนนี้มีประโยชน์อะไร?กลับมาทำไมให้ช้ำใจวะ?
ผมนึกด่า ด่าด่า ด่าพ่อ ตำหนิพ่อ โมโหพ่อ โกรธแค้นพ่อ ไม่มีหรอกความรู้สึกซาบซึ้งโหยหามีแต่อยากด่าว่าหายหัวไปไหนมา เสนอหน้ามาทำไมตอนนี้ มันไม่สายไปหน่อยเหรอความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งจุกบีบจนเผลอร้องไห้ ตอนพี่อู๋วางมาม่าชามใหญ่บนโต๊ะผมเอาแต่นั่งน้ำตาไหล ไม่ยอมหยิบตะเกียบคีบเส้นซักคำเดียว
พี่อู๋เห็นแล้วว่าผมเสียใจแต่เขาไม่ออกความเห็นใดๆนอกจากปล่อยให้ผมร้องไห้คนเดียวอยู่นานพอนายก้องเกียรติคงไม่หยุดง่ายๆก็ย้ายตัวมานั่งบนเบาะข้างๆแล้วโอบไหล่ผมหลวมๆผมร้องหนักกว่าเดิมอีก ร้องจนหายใจไม่ออก ร้องจนคอแห้งจึงต้องจิบน้ำแก้กระหายไม่งั้นคงแห้งตายก่อน
“อย่าเพิ่งคิดอะไรเลยไว้เราไปตรวจดีเอ็นเอก่อนแล้วค่อยว่ากันเนอะ”
คุณอิศรินทร์ปลอบแต่ผมก็ยังหยุดร้องไห้ไม่ได้เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าต้องใช่แน่ๆรูปที่คุณสมปราชญ์เอาให้ดูเป็นรูปของแม่ ผมจำหน้าแม่ตอนสาวๆได้ จำชุดกระโปรงลายดอกที่อยู่ในรูปถ่ายได้เพราะมันคือชุดเดียวกับที่แม่ใส่ตอนแขวนคอผมไม่เข้าใจเลยว่าเขากลับมาทำไมโผล่มาแสดงความรับผิดชอบอะไรในเมื่อทุกอย่างมันสายไปแล้ว ผมไม่ต้องการพ่ออีกแล้ว
“ถ้าผลออกมาว่าเขาเป็นพ่อของผมจริงๆล่ะ?”
“ก็เป็นพ่อต่อไปเพราะในสูติบัตรก้องมีชื่อเขาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?เขาแค่โผล่หน้ามาให้ก้องรู้เองว่า อ๋อ – นี่พ่อนะแต่ก้องจะยอมให้เขามีส่วนในชีวิตมากแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับก้องไม่อยากให้เขามายุ่งก็ไม่เป็นไร ก้องอายุสิบเก้าแล้วก้องไม่จำเป็นต้องมีพ่อคอยดูแลแล้ว เข้าใจไหม?”
ผมพยักหน้าแทนคำตอบพลางเช็ดน้ำมูกน้ำตาที่ไหลมาเลอะเทอะรวมกันบนหน้านาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มแปดนาทีผมเริ่มเทความโกรธไปยังแม่เพราะเสียใจที่แม่ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลยซักคำ
☁
หนึ่งสัปดาห์หลังพบกันครั้งแรกเรานัดเจอกันที่โรงพยาบาล
ผมไม่ค่อยอยากเห็นหน้าพ่อเท่าไหร่เพราะทำตัวไม่ถูกแต่ถึงคราวเลี่ยงไม่ได้มันก็จำใจต้องเจอ ผมยกมือไหว้คุณสมปราชญ์ในฐานะผู้ใหญ่ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด วันนี้แกแต่งตัวเป็นกันเองกว่าวันก่อนที่เจอในมหาวิทยาลัยแถมยังมีผลไม้เกรดพรีเมียมมาฝากด้วย ผมบอกขอบคุณแบบส่งๆไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะยังไงผมก็ยกทั้งหมดให้พี่อู๋กินอยู่ดี
หลังเดินเรื่องกรอกเอกสารและให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปเรียบร้อยผมกับคุณสมปราชญ์ก็นั่งข้างกัน อ้าปากกว้างๆเพื่อเก็บตัวอย่างเซลล์ในกระพุ้งแก้มถ้าคุณสมปราชญ์ไม่โผล่มา ผมคงไม่รู้เลยว่าค่าตรวจดีเอ็นเอไม่ใช่เล่นๆ อย่างกรณีของผมกับคุณสมปราชญ์คิดค่าตรวจคนละหกพันห้าร้อยบาทโชคดีที่แกควักเงินจ่ายเองคนเดียวไม่เบียดเบียนพี่อู๋ ผมจึงไม่รู้สึกติดลบกับชายผู้น่าจะเป็นพ่อไปมากกว่านี้
“เปิดเทอมอาทิตย์แรกเป็นไงบ้าง?เรียนรู้เรื่องไหม?”
คุณสมปราชญ์ชวนคุยระหว่างรอเซ็นเอกสารอีกนิดหน่อยผมตอบห้วนๆไปแค่ว่าครับ สนุกครับ เรียนรู้เรื่องครับ มีเพื่อนครับ พอเห็นกอริลลาก้องไม่ค่อยอยากคุยด้วยแกก็เปลี่ยนเป็นถามว่าได้เงินค่าขนมวันละเท่าไหร่ ผมตอบไปว่าสองร้อยพี่อู๋ให้เงินผมอาทิตย์ละหนึ่งพัน แต่ถ้าจะซื้อของหรือต้องทำงานก็เบิกเพิ่มได้ พอรู้ว่าผู้ปกครองยังคงส่งเสียเลี้ยงดูนายก้องเกียรติอยู่แกจึงควักเงินอีกห้าพันออกจากกระเป๋าสตางค์และบอกให้ผมเก็บไว้นี่เป็นเงินค่ากินค่าอยู่ ป๊าให้แค่นี้ก่อนนะ ป๊าพกเงินสดมาไม่มาก
“ไม่เป็นไรครับพี่อู๋ให้ผมยืม เดี๋ยวเรียนจบผมก็ทำงานคืนเขา”
“แต่เงินนี่ป๊าให้ก้องเลยไม่ต้องคืน”
“ผลยังไม่ออกเลยบางทีผมอาจจะไม่ใช่ลูกของลุงก็ได้”
คุณสมปราชญ์หน้าเสียแกคงเสียใจจริงๆที่ไม่ว่าจะเอาอะไรมายืนยัน นายก้องเกียรติก็ไม่ยอมรับ ไม่เชื่อเราไม่ใช่พ่อลูกกันอยู่นั่นแหละ สุดท้ายฤทธิ์ดื้อเงียบของผมก็ทำให้แกยอมแพ้คุณสมปราชญ์หยุดอ้างเรื่องพ่อลูกแล้วบอกว่าไว้ผลออกชัดๆเมื่อไหร่เรามาคุยเรื่องนี้กันอีกที
ผมไม่พูดมากนอกจากขานรับว่าครับแล้วเดินไปหาพี่อู๋คุณสมปราชญ์ตามมาติดๆเพื่อบอกเราว่าผลน่าจะออกเดือนหน้าระหว่างนี้แกอยากโทรหาผมบ้างก้องจะว่าอะไรไหม ผมมองพี่อู๋เป็นเชิงว่าไม่โอเคผมไม่อยากคุยกับคุณสมปราชญ์เท่าไหร่เขาจึงบอกพ่อแอบอ้างว่าไว้ผลตรวจชัดเจนแล้วค่อยตกลงเรื่องก้องเกียรติกันนะครับ
☁
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมไม่ค่อยมีความสุขเลย ช่วงที่ได้เรียนได้เล่นกับเพื่อนก็พอลืมเรื่องกังวลได้บ้างแต่อยู่ห้องคนเดียวเมื่อไหร่มักจะฟุ้งซ่านจนไม่เป็นอันทำอะไรการบ้านก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง ตอนเรียนมีเผลอหลับบ้าง แอบแชทกับพี่อู๋บ้างเหมือนผมใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวทั้งๆที่ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ไม่รู้จริงๆว่าถ้าผลออกมาว่าคุณสมปราชญ์เป็นพ่อแท้ๆแล้วมันจะยังไงมันจะแย่ตรงไหน หรือผมแค่กังวลมากไปเองเท่านั้น
“นั่งเหี่ยวเป็นผักขายไม่ออกเป็นอะไรของมึงเนี่ยก้อง?”
ทรายถามหลังหมดคาบดรอว์อิ้งผมไม่บอกเพื่อนว่าเป็นอะไร บอกแค่ว่าเบื่อๆเซ็งๆไม่ค่อยอยากเรียนหนังสือ
“วันนี้มึงจะเข้าห้องเชียร์ไหม?”
“ไม่เข้า”
ผมตอบด้วยคำตอบเดิมๆและออกัสก็ทำหน้าเซ็งเหมือนเดิมเพราะกลุ่มเราไม่มีใครเป็นเด็กกิจกรรมเลยไอ้โบ้ทเอาเวลาหลังเลิกเรียนไปหาของกิน มิวนอนไถทวิตเตอร์เหงาๆไร้ผัวคนเดียวในหอทรายรีบกลับบ้านไปเทแป้งเทน้ำตาลใส่เครื่องผสม ไม่สนตำแหน่งดาวคณะที่ใครๆใฝ่ฝันส่วนผมนอนอืดเป็นลิงเน่าพองลมในห้อง แทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครนอกเวลาเรียนคนที่เอนจอยกับกิจกรรมจึงมีแค่คนเดียวคือออกัส ผมว่ามันคงชอบการเป็นจุดเด่นเอาเรื่องได้ยินคนเขาลือกันว่าคณะจะส่งมันเข้าประกวดเฟรชชี่บอยด้วยถ้าออกัสอยากไปให้สุดแล้วหยุดที่เดือนมหาลัยก็คงต้องเดินสายกิจกรรมเต็มตัวแล้วล่ะ
หลังเรียนเสร็จเราแยกย้ายกันไปคนละทางวันนี้วันศุกร์กลุ่มเราไม่มีนัดเปิดตี้ต่อกันแถวไหนเพราะต่างคนต่างรีบกลับบ้านผมตั้งใจว่าจะปั่นจักรยานกลับเกกีคนเดียวแต่จู่ๆออกัสก็ขอตามมาด้วยมันบอกว่าวันนี้ไม่เข้าห้องเชียร์ก็ได้ แต่ผมต้องไปกินข้าวเป็นเพื่อน
“กูอีกละ?”
“มึงก็รู้ว่าไอ้โบ้ทไม่ชอบกู”
“ไม่ใช่ไม่ชอบมันแค่เหม็นความหล่อของมึงเฉยๆ” ผมปลอบใจไม่ให้ไอ้ออกัสคิดมากเพื่อนกันแท้ๆจะเคืองกันไปทำไม “สรุปมึงได้เป็นตัวแทนประกวดเดือนมหาลัยไหม?”
“ก็คงงั้นแหละถ้าไม่ใช่กูแล้วจะเป็นใครวะ” คำพูดคำจาน่าหมั่นไส้ชิบหายไม่แปลกใจที่ไอ้โบ้ทเกลียดมึงอ่ะออกัส “กูเสียดายที่ทรายไม่ลงสมัครว่ะถ้ามันลงนะ ปีนี้วิศวะแดกรอบวงทั้งเดือนทั้งดาว เสียดายจริงๆ”
“อีทรายมันกลัวโดนพ่อเฆี่ยนหลังลายพ่อมันไม่ชอบเวทีประกวดนางงาม”
“แต่มันเคยบอกว่าแม่มันเป็นนางงามสวนแตงโมไม่ใช่เหรอ?”
“เออ”
ผมหัวเราะขำก่อนจะจดเมนูข้าวเพิ่มอีกหนึ่งวงเล็บไว้ว่าใส่กล่อง ออกัสคงสงสัยว่าผมจะกินเยอะแยะอะไรตั้งสองจานผมจึงบอกว่าสั่งให้พี่อู๋ เดี๋ยวเขามาค่ำๆแล้วไม่มีอะไรกิน
“คนที่ชื่อพี่อู๋นี่พี่ชายมึงเหรอ?”
“เปล่าอ่ะ ผู้ปกครอง”
“ผู้ปกครองต้องเป็นญาติกันไม่ใช่เหรอ?หรือกูเข้าใจอะไรผิด?”
ผมไม่รู้จะตอบอะไรเลยยักไหล่เป็นเชิงว่าไม่เห็นแปลกแต่ออกัสเป็นคนขี้เสือกกว่าทราย มันจึงถามอยู่นั่นแหละว่าคนไม่ได้เป็นญาติกันมีสิทธิ์เป็นผู้ปกครองได้ด้วยเหรอแล้วมึงไม่มีพ่อมีแม่หรือไงถึงให้คนอื่นเป็นผู้ปกครอง เขาโอเคเหรอที่ลูกชายไปเป็นของคนอื่นสรุปพี่อู๋เป็นคนดูแลหรือแฟนกันแน่ ผมชักรำคาญจึงตัดบทว่าซักเรื่องนะออกัสมึงจะถามอะไรเกี่ยวกับกูก็ได้ แต่เรื่องส่วนตัวอย่างพ่อแม่ไปไหน อยู่กับใครพี่อู๋เกี่ยวข้องอะไร ขอร้อง – อย่าถาม กูไม่อยากตอบ
ออกัสอึ้งไปพักนึงเพราะไม่คิดว่าผมจะหงุดหงิดอารมณ์เสียใส่มันบอกขอโทษก่อนจะนั่งใบ้ใส่นายก้องเกียรติที่กำลังเครียดกับการฟังผลดีเอ็นเอพรุ่งนี้ใจของผมโหยหาคิดถึงแต่พี่อู๋ อยากให้วีออสร้ายๆบินได้เหมือนรถของรอน วีสลีย์เขาจะได้บินลัดจากอโศกมาจอดสวยๆที่ลาดกระบังโดยไม่ต้องฝ่ารถติดนาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงเจ็ดนาที ผมกินข้าวเกือบหมดจานและเตรียมตัวกลับไปนอนกกผ้าห่มคนเดียวในห้องแต่ออกัสบอกว่าไปซื้อน้ำปั่นเป็นเพื่อนหน่อย
“ถามจริงมึงไปคนเดียวไม่ได้เหรอวะ?”
ผมกระฟัดกระเฟียดโมโหไม่เข้าใจว่ามันจะติดเพื่อนอะไรขนาดนั้นวะแค่น้ำปั่นแก้วเดียวมึงเดินไปซื้อเองไม่ได้หรือไง มึงเป็นอะไรถึงต้องหนีบกอริลลาที่กำลังหงุดหงิดติดตัวตลอดเวลาด้วยแต่ผมก็ยอมปั่นจักรยานพามันไปซื้อสรุปว่าคนที่ประสาทแดกที่สุดก็คือนายก้องเกียรติเอง
นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงตรงโกโก้ปั่นเพิ่มวิปกับเกล็ดน้ำตาลของไอ้ออกัสยังไม่ลงเครื่องปั่น ผมกดมือถือไปด่ามันไปอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน เมื่อไหร่ไอ้วีออสร้ายๆจะขับเข้ามาในซอยเสียทีผมทนรอไม่ไหวแล้วนะ ผมอยากคุยกับพี่อู๋เดี๋ยวนี้เลยว่าถ้าผลมันออกมาใช่ผมควรทำยังไง
“เอ้า -- เอาไป”
ออกัสส่งโกโก้ปั่นเพิ่มวิปครีมโรยด้วยเกล็ดน้ำตาลมาให้ผมถามมันว่าให้ทำไม มันตอบว่าแทนค่าจ้างที่ปั่นจักรยานพามากินข้าวผมที่กำลังเครียดไม่พูดพร่ำทำเพลงนอกจากคว้าเอาแก้วเครื่องดื่มติดมือแล้วรีบปั่นกลับหอไอ้ออกัสที่ซ้อนท้ายอยู่ข้างหลังถามอีกว่ามึงเป็นอะไรเนี่ย ทำตัวเหมือนคนเมนส์มาผมบอกมันว่ากูยิ่งกว่าเมนส์มาอีก ถ้ามึงรู้ว่าชีวิตกูกำลังเจอเรื่องเหี้ยอะไรมึงจะไม่เซ้าซี้ให้กูรำคาญแบบนี้
“ก็เล่ามาดิวะกูรอฟังอยู่”
ผมไม่รู้ว่าออกัสมันคิดว่าเราสนิทกันระดับไหนแต่สำหรับนายก้องเกียรติ เรื่องในครอบครัวและความเฮงซวยที่เกิดขึ้นจะไม่ถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนตอนพบจิตแพทย์ผมจะไม่เท้าความว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน แม่ตายเพราะอะไร ไปอยู่กับพี่อู๋ได้ยังไงจะไม่เล่าด้วยว่าเจอพ่อคนใหม่เมื่อตอนเปิดเทอม และผลตรวจดีเอ็นเอจะออกพรุ่งนี้ผมไม่เล่าเด็ดขาด ยังไงก็ไม่เล่า ผมจะฝังกลบความบัดซบทุกอย่างให้ตายไปพร้อมตัวเองไม่ต้องมีใครรับรู้อีก
ผมบอกออกัสว่าไม่ต้องรู้หรอกก่อนจะเข็นรถไปจอดในหอปล่อยทิ้งเพื่อนร่วมภาคให้ยืนหล่อกลางเกกีเพียงลำพัง ผมบอกมันว่าเดินกลับเองนะหอมึงอยู่ไม่ไกล จำทางกลับหอได้ใช่ไหม มันตอบงงๆปนอึ้งว่าจำได้ผมจึงรีบขึ้นบันไดเข้าห้อง พอปิดประตูห้องก็กระโดดขึ้นเตียงกรี๊ดอัดหมอนแก้เก็บกดอยู่เกือบนาทีจนเหนื่อยพอเริ่มเจ็บคอก็คลานกลับไปหยิบโกโก้ปั่นที่วางบนโต๊ะมาจิบตอนแรกกะจะกินสามสี่คำแล้วทิ้งเพราะเบื่อของหวานแต่ต้องยอมรับว่าโกโก้แก้วนี้อร่อยมาก อร่อยจนผมดูดหายไปครึ่งแก้วในเวลาไม่ถึงนาที
เสียงโทรศัพท์สั่นเรียกความสนใจจากกอริลลาที่กำลังชื่นชมเครื่องดื่มแสนอร่อยไอ้ออกัสส่งไลน์มาถามว่าเป็นไง ชอบไหม ผมรีบตอบทันทีว่าชอบมันจึงถามต่อว่าพรุ่งนี้วันเสาร์ไปไหนหรือเปล่า ถ้าว่างจะไปดูมันถ่ายงานในมอไหมผมถามว่าถ่ายอะไร มันบอกถ่ายวล็อก
วล็อกเหี้ยอะไรอี๊ก
ผมสงสัยแต่ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดเลยบอกว่าไม่ไป พรุ่งนี้กูมีนัดสำคัญกับพี่อู๋ออกัสตอบเออๆก่อนจะเงียบไป พอดีกับจังหวะที่พี่อู๋โทรมาพอดีผมจึงบอกมันว่าไว้คุยกันวันหลังนะ วันที่กูไม่ยุ่งและมีเวลาไอ้ออกัสบอกว่าคงไม่มีวันนั้นหรอก เพราะยังไงมึงก็ไม่เคยว่างสำหรับกูอยู่ดี
☁
เช้าวันเสาร์ผมตื่นนอนตอนเจ็ดโมงหลังล้างหน้าแปรงฟันผมก็ลงไปซื้อข้าวให้พี่อู๋ที่นอนกรนอยู่ในห้อง เมื่อคืนเขาคงเหนื่อยมากทำงานทั้งวันแถมยังต้องปลอบใจกอริลลาจิตตกอีกผมร้องไห้เป็นชั่วโมงเพราะทำใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้แต่พี่อู๋ก็พูดให้คิดได้ด้วยการถามว่าผมกลัวอะไร ลึกๆสิ่งที่ผมวิ่งหนีไม่อยากให้มันเกิดขึ้น คือเรื่องอะไร
ผมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ว่าทำไมถึงไม่อยากให้ผลตรวจออกมาว่าผมเป็นลูกชายของคุณสมปราชญ์หนึ่งคือผมกลัวว่าต้องย้ายไปอยู่กับเขาสองผมกลัวว่าจะไม่ได้ยุ่งกับพี่อู๋อีกเพราะพ่อมีสิทธิ์ขาดในตัวลูกชาย สาม –ผมกลัวว่าจะไม่เป็นที่ต้อนรับ ผมไม่เคยคลุกคลีฝั่งครอบครัวของคุณสมปราชญ์เลยถ้าวันหนึ่งเขาพาผมเข้าบ้านแล้วถูกต่อต้านผมไม่รู้ว่าควรรับมือกับความเกลียดชังนี้ยังไง
พี่อู๋ฟังกอริลลางึมงำร้องไห้อยู่นานจึงพูดว่าก้อง สถานะพ่อมันตัดทิ้งไม่ได้ ถ้าคุณสมปราชญ์เป็นพ่อของก้องจริงๆสิ่งที่ก้องทำได้คือยอมรับว่าเขาเป็นพ่อ ส่วนเรื่องอื่นๆไม่ต้องกังวลถ้าผลมันออกมาใช่เราค่อยตกลงกันก็ได้ อย่าเพิ่งคิดไกลเลยว่าเขาจะพาก้องไปไม่แน่เขาแค่มาแสดงตัวและขอทำหน้าที่พ่อ แต่ก้องจะยอมให้เขาเข้ามาในชีวิตมากแค่ไหนมันขึ้นอยู่กับตัวก้องเอง ต่อให้คนในครอบครัวคุณสมปราชญ์ไม่ชอบก็ไม่เป็นไรพี่ชอบก้อง พี่ยังรักก้องเหมือนเดิม เขาไม่เอาก็ช่าง พี่เอา พี่ดูแลก้องเอง
พอได้ฟังคำพูดของพี่อู๋ผมก็เริ่มทำใจได้นิดหน่อยผลจะออกมาว่าใช่หรือไม่ใช่ก็ช่างมันเพราะผมคือคนตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อไปที่แน่ๆไม่ควรคิดไกลว่าเขาจะพาผมไปจากพี่อู๋ไม่แน่เขาเองก็อาจมีปัญหากับที่บ้านหากรับกอริลลาหลุดฝูงไปดูแลเพิ่มอีกหนึ่งตัวก็ได้เพราะฉะนั้นอย่าคิดไกล อย่าคิดไกล อย่าคิด –
“ก้อง!
เสียงของออกัสดังขึ้นข้างหลังผมจึงหมุนตัวกลับไปทักทายเพื่อนแต่ก็พูดไม่ออกเพราะรอบตัวมันมีกล้องถ่ายทำอยู่มีคนติดตามอยู่หลังตากล้องอีกคน ส่วนมันสวมเสื้อยืดกิจกรรมสีส้มกับกางเกงยีน ยืนกวักมือเรียกให้เข้าหาแต่ผมไม่เดิน
“มานี่หน่อยสิ”
ออกัสเรียกอีกแต่ผมลังเล ไม่อยากโผล่เข้าไปในเฟรมกล้องเพราะไม่รู้ว่าหน้าตัวเองจะโผล่ในสื่อช่องทางไหนบ้างพอเห็นนายก้องเกียรติเลิ่กลั่กไม่เดินไปหาเสียทีออกัสจึงเดินตรงมาทางนี้โดยมีกล้องตามติดมาด้วย
“คนนี้เพื่อนผมครับภาคแมคคาเหมือนกัน ชื่อก้อง” มันยิ้มกว้างท่าทางดูเฟรนด์ลี่กว่าปกติ “เฮ้ย ทำไมตื่นเช้าจังอ่ะ”
“อ๋อจะไปซื้อข้าวให้พี่อู๋”
ไอ้ออกัสหน้าเสียนิดหน่อยก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการชวนคุยเรื่องอื่นผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบกล้องเพราะไม่รู้ว่ากำลังถ่ายรายการอะไรผมแค่รู้สึกไม่สะดวกใจที่จะโผล่บนจอโทรทัศน์หรือโซเชียลมีเดียไว้หลังจากนี้ผมจะไลน์ไปด่ามันให้เซ็นเซอร์หน้านายก้องเกียรติออกทำเป็นภาพเบลอเหมือนเบลอหัวนมโงกุนหรือคาดตาดำเหมือนอาชญากรก็ได้ แต่ห้ามให้เห็นว่าเป็นหน้ากูเด็ดขาดเข้าใจไหม
“ไว้เจอกันใหม่ ไปทำงานก่อนละ”
ผมตอบเออๆแล้วโบกมือหนีพอเดินห่างออกไปได้ซักพักก็รีบหันหลังไปดูอีกว่ามันยังถ่ายอยู่ไหม ก็ยังถ่ายอยู่เหมือนรายการเรียลลิตี้ตามติดชีวิตเน็ตไอดอลไม่มีผิดระหว่างนึกสงสัยว่าทำไมไอ้ออกัสถึงมีตากล้องมาถ่ายถึงที่จู่ๆพี่อู๋ก็โทรเข้ามาว่าอยู่ไหน ทำไมไปซื้อนานจัง ผมบ่นผู้ปกครองว่านานอะไรเพิ่งลงมาไม่ถึงห้านาทีเอง
“เร็วๆเลยเดี๋ยวเราต้องรีบไปโรงพยาบาลอีก”
“ครับๆ”
ผมกรอกเสียงลงในสายแล้วเดินไปร้านข้าวเจ้าประจำตัดเรื่องไอ้ออกัสออกจากสมองก่อนเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเราจะได้รู้กันว่าคุณสมปราชญ์เป็นพ่อแท้ๆของนายก้องเกียรติหรือไม่
☁
“ผลออกมาว่าเป็นพ่อลูกกันนะครับ”
คุณหมอพูดและอธิบายผลตรวจอย่างละเอียดผมไม่ได้สนใจหรอกว่าตรวจออกมาแล้วเรามีค่าอะไรเหมือนกันตรงไหนยังไงผมมัวแต่รู้สึกแย่จนปล่อยให้คำอธิบายเหล่านั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาคนที่ดีใจที่สุดในห้องน่าจะเป็นคุณสมปราชญ์เพราะแกเอาแต่ยิ้มและขอบคุณคุณหมอที่ช่วยอธิบายให้กระจ่างในขณะที่ลูกชายของเขานั่งใบ้ ไม่พูดอะไรซักคำ
หลังออกจากห้องตรวจพี่อู๋ก็เดินมาหาผมเขาคงรู้อยู่แล้วว่าผลเป็นยังไงเลยไม่เซ้าซี้ถามให้มากความคุณสมปราชญ์หรือพ่อของนายก้องเกียรติถือโอกาสนี้ชวนเราไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันแกบอกว่าขอเป็นเจ้ามือเอง ไม่ว่าก้องอยากกินอะไร แพงแค่ไหนก็ได้ แกจะพาไปกิน
ผมไม่มีอารมณ์เพราะยังสับสนอยู่ว่าควรรู้สึกยังไงดังนั้นพี่อู๋จึงให้ไปเจอกันที่พารากอน ส่วนจะกินร้านไหนค่อยตกลงกันอีกทีเดี๋ยวเขาจะถามนายก้องเกียรติให้ว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
ผมไม่พูดไม่จาเลยจนกระทั่งถึงรถพออยู่กันสองคนผมก็บอกพี่อู๋ว่าผมกลัวมากเลย ผมไม่รู้ว่าพ่อจะเอายังไง ไม่รู้ว่าหลังไปกินข้าวกับเขาต้องแยกกับพี่เลยไหมถ้าพ่อให้ผมไปอยู่ด้วยเราจะทำยังไงกันดี ผมไม่อยากไปจากพี่ ผมอยากอยู่กับพี่ผมไม่อยากเป็นลูกชายเขา
“ก้องอย่าเพิ่งคิดไกลบางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
พี่อู๋ปลอบแต่ผมรู้ว่าเขาเองก็กลัวสุดท้ายนายก้องเกียรติต้องทำเป็นใจดีสู้เสือด้วยการทำตัวไร้ความรู้สึกพ่อโทรมาถามซ้ำอีกครั้งเมื่อถึงลานจอดในพารากอนเพราะอยากรู้ว่าลูกชายจะกินอะไรผมตอบไปว่าเอ็มเคก็ได้ และจงใจพูดย้ำให้เขารู้ว่าแม่ของผมชอบกินเอ็มเค
หลังวนหาที่จอดเกือบยี่สิบนาทีผมกับพี่อู๋ก็เดินไปทานมื้อเที่ยงกับพ่อเขามาถึงก่อนนานแล้วก็เลยสั่งอาหารพลางๆเป็นการฆ่าเวลา ทันทีที่เห็นหน้าผมพ่อก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจก่อนจะหยิบถุงกระดาษสีเหลืองนวลมาให้พ่อบอกว่านี่คือทาร์ตสับปะรดจากไต้หวัน พี่ชายคนโตของผมซื้อมาฝากไว้มีโอกาสป๊าจะพาไปหาเฮียนะผมถามคุณสมปราชญ์ว่าพี่ชายที่พูดถึงคือพี่ชายแท้ๆของผมใช่ไหม เขาบอกว่าไม่ใช่เฮียเป็นลูกของพี่ชายคนโตที่เสียไปนานแล้ว แกรับมาเลี้ยงเป็นลูกตั้งแต่เด็กส่วนผมคือลูกชายคนเดียวของคุณสมปราชญ์
ผมตอบเหรอครับแล้วเงียบอีก พ่อคงรู้แหละว่าผมไม่ยินดียินร้ายกับการได้เจอพ่อแท้ๆในรอบหลายสิบปีแกจึงพยายามเอาอกเอาใจกอริลลาด้วยการสั่งติ่มซำเพิ่มให้แต่ผมไม่กินไม่กินก็คือไม่กิน ต่อให้เอาติ่มซำจากใต้มากองตรงหน้าผมก็ไม่กินพอเห็นว่านายก้องเกียรติดื้อเงียบไม่คุยด้วย แกจึงยอมพูดตรงๆเกี่ยวกับเรื่องที่เราจะตกลงกัน
“ก้องมีอะไรอยากถามอาป๊าไหม?”
ผมเงียบอยู่ครู่หนึ่งลึกๆอยากถามว่ากลับมาทำไมแต่คิดว่าคงไม่มีประโยชน์ผมเลยมองหน้าผู้ปกครองที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่อู๋ให้กำลังใจเด็กในปกครองด้วยการคีบเป็ดย่างเข้าปากไม่ได้สนใจเลยว่านายก้องเกียรติกำลังหนักอกหนักใจกับคำถามจากพ่อขนาดไหน
“ก้องโกรธที่ป๊าไม่เคยไปหาเลยใช่ไหม?”
คุณสมปราชญ์ถามผมว่าแกรู้ตัวว่าควรพูดหรืออธิบายเรื่องไหนบ้าง ดังนั้นหลังปล่อยให้บรรยากาศอึดอัดเกือบนาทีในที่สุดเขาก็ยอมเล่าว่ายี่สิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้น แกเล่าว่าบ้านของแกเป็นครอบครัวคนจีนคุณสมปราชญ์เป็นลูกชายคนที่สองในบรรดาพี่น้องหาคน คนโตเป็นผู้ชายอีกสามคนเป็นผู้หญิง ที่บ้านเปิดโรงงานลูกชิ้นแล้วช่วยกันทำงานแบบระบอบกงสีเมื่อก่อนพี่ชายกับพี่สะใภ้เป็นคนดูแลธุรกิจและมีอาม้านั่งคุมสมุดบัญชีอีกที
ตอนนั้นด้วยความที่เป็นลูกชายคนรองอาม้าไม่ค่อยยุ่มย่ามชีวิตของพ่อเท่าไหร่ พ่อมีอิสระจะทำอะไรก็ได้จะรักจะชอบใครอาม้าก็ไม่ว่า ดังนั้นหลังจากไปมาๆสมุทรสาครนครชัยศรีอยู่เกือบปี พ่อก็พาผู้หญิงคนหนึ่งเข้าบ้านเป็นผู้หญิงไทยผิวเข้มหน้าตาธรรมดาๆ อาม้าบอกว่าอยู่กินกันไปก่อนแล้วค่อยแต่งงานเพราะช่วงนั้นโรงงานลูกชิ้นกำลังลุ่มๆดอนๆเอาให้มั่นคงก่อนแล้วอาม้าจะทำให้ถูกต้องตามประเพณี
เดิมทีแม่ของผมเป็นลูกสาวเจ้าของสวนผลไม้ตอนมาอยู่กับพ่อก็หนีกันมาไม่ได้สู่ขอเป็นเรื่องเป็นราวเพราะคุณตาไม่ชอบที่บ้านพ่อทำงานเป็นกงสีสมัยก่อนใครๆก็รู้ว่าสะใภ้แต่งเข้าตระกูลคนจีนมีแต่จนกับจน ถูกใช้งานยิ่งกว่าขี้ข้าแต่พ่อแม่ผัวก็ไม่เคยเห็นหัวดังนั้นผมจึงไม่มีคุณตาคุณยายเพราะแม่ชิงสุกก่อนห่าม หักหน้าผู้ใหญ่ที่บ้านจนกลับไปเหยียบนครชัยศรีไม่ได้เมื่อตกลงหนีกันมาแล้วแม่ก็ต้องช่วยทำงานในระบอบกงสี ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่งานหนักแค่ไหนก็ต้องทำ ตอนนั้นแม่เพิ่งจะยี่สิบต้นๆ ยังสาวยังสวยแต่ต้องแบกกระสอบลูกชิ้น ต้องนั่งแล่ปลาตั้งแต่เช้ายันบ่ายเสร็จแล้วก็ต้องปัดกวาดบ้านหลังใหญ่ ต้องทำอาหารเผื่อสมาชิกนับสิบอีกเรียกได้ว่างานของแม่เริ่มขึ้นตั้งแต่ลืมตายันหลับตาไม่มีเวลาส่วนตัวหรือพักผ่อนเหมือนคนอื่นเลย
แม่กับพี่สะใภ้ทำงานหนักไม่แพ้ลูกๆเจ้าของโรงงานแต่ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนอาม้าก็ไม่เคยพอใจพี่สะใภ้โดนด่าน้อยกว่าหน่อยเพราะมีเลือดจีนอยู่บ้างแต่แม่โดนด่าโดนกระทำฝ่ายเดียวเสมอไม่เคยได้ตอบโต้ พ่อบอกว่าอาม้าไม่ชอบแม่เพราะอยากให้ลูกหลานออกมาเป็นจีนแท้ไม่เอาไทยผสม ไม่เอามอญ อาม้าอยากได้สายเลือดบริสุทธิ์เพราะเชื่อว่าคนจีนมียีนที่ดีที่สุดในโลกฟังถึงตรงนี้ผมเผลอหลุดปากด่าอาม้าไปว่าอยากได้หลานเป็นคนหรือหมาทำไมต้องเลือกสายพันธุ์เลือดแท้เลือดผสมพี่อู๋ถึงกับคายลูกชิ้นเพื่อตำหนินายก้องเกียรติทันที
“ทำไมไม่ช่วยแม่ผมบ้าง?ปล่อยให้แม่ทนแม่ผัวคนเดียวได้ยังไง?”
“ป๊าก็เป็นขี้ข้าเขาเหมือนกันเราทำอะไรไม่ได้นอกจากทน”
ผมต้องนั่งฟังคุณสมปราชญ์บรรยายถึงความไม่ยุติธรรมในบ้านหลังนั้นตั้งหลายนาทีทั้งตอนที่แม่โดนอาม้าด่าเพราะเอาเงินเก็บไปซื้อชุดสวยๆทั้งตอนที่แล่ปลาไม่ทันเพราะโดนมีดบาด แต่แม่ก็อดทนมาตลอดแม่ยอมโดนโขกสับเป็นผักเป็นปลาจนกระทั่งท้องถึงเริ่มแสดงท่าทีต่อต้าน ไม่ยอมทำงานหนักเพราะกลัวแท้งลูก
วางเงินห้าบาทขอเดาล่วงหน้าเลยว่าเกิดอะไรขึ้น อาม้าคงเป็นหมาบ้าเมื่อโรงงานขาดแรงงานไปอีกหนึ่งพ่อบอกว่าอาม้าเครียดที่งานไม่เสร็จดั่งใจจึงหันมาระบายความหงุดหงิดด้วยการบ่นแม่ทุกวันว่าพวกคนไทยขี้เกียจสันหลังยาวหนักไม่เอาเบาไม่สู้ ถ้าเป็นฉันสมัยอยู่เมืองจีนนะต่อให้ท้องโตแค่ไหนก็ช่วยผัวช่วยครอบครัวทำงานพอได้ยินแบบนั้นแม่ก็เลยฟิวส์ขาดบอกอาม้าว่าไม่รักลูกตัวเองก็ไม่เป็นไร แต่นี่ลูกฉันฉันจะดูแลตัวเองดีๆเพื่อลูก ไม่ต้องมาสอน แค่นั้นแหละ บึ้ม – บ้านแตกเพราะแม่ของก้องเกียรติเปรี้ยวตีน
“อาม้านะ เกลียดหม่าม้าของก้องมากมากจนพยายามหาผู้หญิงใหม่มาให้ป๊า แต่ป๊าไม่เอา” คุณสมปราชญ์เล่าต่อ“เราก็ทนๆอยู่ในบ้านกันไปจนก้องเกิดตอนแรกป๊าคิดว่าถ้าได้หลานชายอาม้าน่าจะดีใจ แต่ก้องเกิดผิดเวลาเกิดตอนเฮียของป๊าตายพอดี”
“ลุงเป็นอะไรตายเหรอครับ?”
“ตับแข็ง”
พี่ชายของพ่อก็ช่างเลือกวันตายดันตายหลังนายก้องเกียรติลืมตาดูโลกได้ไม่กี่นาทีตอนนั้นบ้านกลายเป็นนรกขนาดย่อมสำหรับแม่ เพราะพ่อต้องขึ้นเป็นเจ้าของโรงงานเต็มตัวจนไม่มีเวลากลายเป็นว่าแม่ถูกทิ้งให้เลี้ยงลูกคนเดียวในห้องนอนแคบๆ แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังไม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องอะไรมากเพราะกลัวว่าถ้าโดนไล่ไปอยู่ที่อื่นจะลำบากแม่กัดฟันอดทนทุกวันๆเลี้ยงดูผมจนอายุขวบกว่า พอลูกโตขึ้นก็ต้องฝืนใจ ยอมออกไปเจอหน้าแม่ผัวเพื่อให้ลูกได้เล่นข้างนอกบ้างเพราะห้องนอนเริ่มแคบเกินไปสำหรับเด็กวัยหัดเดิน
คุณสมปราชญ์เล่าถึงตรงนี้แล้วหยุดพักครู่หนึ่งเหมือนพยายามเก็บความรู้สึกลงข้างในจะได้เล่าต่อโดยไม่ให้มีอารมณ์ใดๆเจือปนในน้ำเสียงผมได้แต่มองตาเขาเพราะอยากรู้ว่าลึกๆแล้วเขาเคยเสียใจบ้างไหมที่ไม่ปกป้องแม่เคยรู้สึกผิดบ้างไหมที่พาแม่มาเจอแม่ผัวประสาทแดกเคยคิดบ้างไหมว่ามันจะไม่แย่ขนาดนี้เลยถ้าเขากล้าเถียงแม่ตัวเองบ้าง
“หม่าม้าของก้องพูดตลอดว่าลำบากแค่ไหนก็ทนได้แต่อยู่ในบ้านที่ไม่มีใครรักลูกเรามันทำใจยาก”
ตอนนั้นอาม้าไม่ให้หลานคนอื่นยุ่งวุ่นวายกับผมเลยขนาดกินข้าวร่วมโต๊ะก็ไม่ได้เพราะอาม้าเกลียดแม่มากบรรดาน้องสาวของคุณสมปราชญ์ก็เป็นไปกับเขาด้วยทุกคนกีดกันแม่ออกจากครอบครัวเหมือนเราไม่ใช่คน ราวกับแม่ไม่ใช่สะใภ้บ้านนี้ ราวกับผมไม่ใช่หลานของพวกเขาครั้งหนึ่งผมตัวร้อนมากจนเกือบชักแม่ต้องบากหน้าไปขอเงินส่วนกลางจากอาม้าเพื่อพาผมไปหาหมอ แต่อาม้าไม่ให้แกให้เงินแค่สิบห้าบาทไปซื้อยาจีนมาต้ม แม่จึงต้องกระเตงอุ้มผมไปถึงโรงงานเพื่อขอเงินพ่อพอรู้ว่าผมไม่สบายหนักพ่อก็ทิ้งโรงงาน ปล่อยให้น้องสาวคนโตดูแลต่อแค่ไม่กี่ชั่วโมงพอกลับมาจากหาหมอพ่อกับแม่โดนอาม้าด่าเหมือนหมูเหมือนหมา เด็กมันไข้แค่กินยาก็หายแต่มึงทิ้งโรงงานไว้กับคนทำอะไรไม่เป็น มึงเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า
“กูกับลูกจะไม่ทนอยู่ในบ้านอียักษ์แก่ใจดำอย่างมึงอีกต่อไป!”
คุณสมปราชญ์เล่าว่าแม่พูดประโยคนี้จริงๆพูดต่อหน้าคนงานเลยด้วย พูดจบแม่ก็โดนตบทันทีผมว่าความอดทนทั้งหมดของแม่คงจบกันตรงนี้ แม่ทนได้เป็นปีๆเพื่อผม แต่ในเมื่อคนในบ้านใจเหี้ยมกับลูกของแม่แม่ก็ไม่มีเหตุผลต้องทนอีกต่อไป
“แล้วแม่ไปไหน?”
“ป๊าบอกหม่าม้าของก้องให้กลับไปอยู่นครชัยศรีก่อนไว้แบ่งระบอบโรงงานเสร็จเมื่อไหร่ป๊าจะย้ายไปทำสวนที่บ้านกับตา แต่ป๊าคงงานเคลียร์นานเกินไปพอนั่งรถไฟตามไปอีกที แม่ของก้องก็ไม่อยู่นครชัยศรีแล้ว”
“ทำไมไม่รีบตามหาแม่?ถามจากเพื่อนของแม่ก็ได้ว่าแม่ไปไหน แค่นี้ก็น่าจะหาเราเจอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ก้อง –หม่าม้าของก้องไม่ได้กลับนครชัยศรี แม้แต่ตายายของก้องยังไม่รู้เลยว่าหม่าม้าท้อง”
“ไม่ใช่ว่าป๊าไม่ตามหาไม่ใช่ว่าละเลยไม่สนใจ ป๊าหาแล้วก้อง ป๊าถามคนทั้งนครชัยศรีแล้วกลับไปถามแถวบ้านก็แล้ว ไม่มีใครเจอหม่าม้าของก้องเลย ไม่มีใครเห็นก้องจะให้ป๊าออกตามหาที่ไหนอีกป๊านึกไม่ออกเลยว่าหม่าม้าของก้องจะพาก้องไปไหนได้ในเมื่อหม่าม้าไม่รู้จักใคร”
ผมเริ่มน้ำตาคลออยากร้องไห้เมื่อฟังจบไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่แม่ไม่กลับนครชัยศรีเพราะปกติแม่เป็นคนคาดเดายากอยู่แล้วตอนนั้นแม่คงโมโหจนไม่สนใจว่าเริ่มต้นใหม่จะลำบากขนาดไหนแม่แค่เจ็บใจที่ถูกกดขี่ไม่ได้รับความยุติธรรม แม่แค่โกรธแค้นที่ผัวไม่เคยปกป้องจนไม่อยากติดต่อกันอีกก็เท่านั้นเอง
“ป๊ารอทุกวันว่าเมื่อไหร่หม่าม้าของก้องจะหายโกรธและติดต่อกลับมาเพราะหม่าม้าก็จำชื่อที่อยู่โรงงานของเราได้แต่ป๊ารอมาจะสิบเจ็ดปีแล้ว เกือบสิบเจ็ดปี ไม่มีโทรศัพท์จากหม่าม้าของก้องเลย”
“พ่อสิต้องเป็นฝ่ายติดต่อมาถ้าพ่อพยายามหามากกว่านี้ พ่ออาจจะเจอเราก็ได้”
“ป๊าหาไม่เจอจริงๆก้องป๊าสาบานเลยว่าพยายามเต็มที่แล้วแต่หาไม่เจออีกอย่างในใบเกิดของก้องก็มีที่อยู่ของป๊า ป๊ายังอยู่บ้านหลังเดิมเพราะรอก้องแต่ก้องก็ไม่มา”
“แม่บอกว่าพ่อมีแฟนใหม่แล้ว”
ลุงสมปราชญ์สะอึกก่อนจะยอมรับว่าใช่ เขาแต่งงานใหม่หลังจากติดต่อแม่ไม่ได้เกือบปีผู้หญิงที่แต่งด้วยมีเชื้อสายจีนถูกต้องตามที่อาม้าต้องการ พอแต่งงานมีลูกกลับได้แต่ลูกสาวคนที่หนึ่งก็ลูกสาว คนล่าสุดที่เพิ่งคลอดเมื่อสี่ปีก่อนก็เป็นลูกสาว บรรดาน้องสาวของป๊าที่ออกเรือนแต่งงานก็ได้แต่ลูกสาวตอนนี้ที่บ้านมีหลานสาวสิบเอ็ดคน ป๊าคิดว่าสวรรค์คงลงโทษบ้านของเราที่รังแกหม่าม้ากับก้องเชื่อไหมว่าในตระกูลของเรา นอกจากลูกของเฮียคนโตแล้วก็มีก้องนี่แหละที่เป็นผู้ชาย
ผมเหลือบมองหน้าพี่อู๋เพราะอยากรู้ว่าเขาคิดยังไงซึ่งสีหน้าของคุณอิศรินทร์ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยเขาทำหน้าพะอืดพะอมคลื่นไส้กลอกตามองบนราวกับเอือมระอาชุดความคิดของคุณสมปราชญ์นักหนาส่วนตัวผมไม่ได้แตกต่างจากผู้ปกครองเท่าไหร่ ผมคิดว่าการได้ลูกสาวไม่ใช่บทลงโทษจากสวรรค์ไม่รู้ว่าคนบ้านนี้มันเป็นอะไรกัน ทำไมทัศนคติเรื่องลูกหลานถึงบิดเบี้ยวขนาดนี้นอกจากต้องการสายเลือดจากจีนแผ่นดินใหญ่แล้วยังอยากได้ผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอีก
“แล้วพ่อหาผมเจอได้ยังไง?”
“เพื่อนป๊าที่เป็นอาจารย์โทรมาบอกว่าเจอคนนามสกุลเหมือนภัทราเด็กบอกว่าเป็นลูกชาย มีพ่อชื่อสมปราชญ์ด้วย”
“แสดงว่าแม่ไม่เคยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล”
“ใช่”
“แต่พ่อก็ยังหาเราไม่เจอ”
ผมประชดด้วยการยิ้มมุมปากพอรู้อย่างนี้แล้วมันอดโมโหไม่ได้ที่พ่อไม่ใส่ใจเราเท่าที่ควรถ้าแม่เปลี่ยนชื่อแซ่หนีไปไกลคนละภาคผมจะไม่ว่าเลย แต่แม่ก็ใช้ชื่อนามสกุลเดิมชื่อของผมก็ก้องเกียรติเหมือนเดิมตั้งแต่เกิดเราแค่ย้ายจากสมุทรสาครมาจรัญสนิทวงศ์ คิดดูสิว่ามันไม่ได้ไกลขนาดเกินความสามารถแต่พ่อออกตามหาเราได้ไม่ถึงปีก็ถอดใจยอมแพ้แล้วมีเมียใหม่ตามที่อาม้าหาให้ ไม่น่าแปลกที่แม่จะแค้นขนาดนี้เพราะผมเองก็แค้นจนไม่อยากเห็นหน้าพ่อเหมือนกัน
“พ่อรู้ไหมว่าเราอยู่กันลำบากขนาดไหน?”ผมถามกลับ คุณสมปราชญ์ขอโทษแต่มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น “
“ไม่จริงป๊าคิดถึงก้องทุกวัน ป๊ารอก้องติดต่อมา --”
“ผมจะติดต่อหาคนที่ทิ้งเราไปทำไม!พ่อก็เหมือนพวกขี้เกียจรักสบายไม่คิดจะออกตามหานอกจากกระดิกตีนรอผมติดต่อไป!ถ้าเพื่อนไม่บอกก็คงไม่รู้ใช่ไหมว่าลูกยังไม่ตายเผลอๆไม่สนใจด้วยซ้ำถ้าบังเอิญไอ้ก้องเกียรติมันไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย!”
ผมร้องไห้และปาตะเกียบใส่หน้าพ่อคุณสมปราชญ์ดูเสียใจมากแต่มันสาสมกับสิ่งที่เขาทำแล้วตั้งแต่แม่หนีตามไปอยู่กับเขา ไม่มีซักครั้งที่พ่อจะปกป้องแม่ ขนาดอาม้าตบเมียตัวเองก็ยังคิดไม่ได้ว่าควรย้ายออกไปตั้งตัวใหม่ควรออกจากบ้านเฮงซวยหลังนั้นเพื่อครอบครัวตัวเอง แต่หัวของพ่อกลับคิดแค่ว่ากิจการกงสีต้องอยู่รอดในขณะที่แม่ผมตัวคนเดียว ลูกก็ยังเล็ก ผัวก็ไม่ปกป้อง คนแบบนี้เหรอสมควรได้เจอลูกอีกครั้งคนแบบนี้เหรอ – คนแบบนี้น่ะเหรอจะมาขอเป็นป๊าของนายก้องเกียรติ เพ้อเจ้อชิบหาย
“ผมว่าเราอย่าเจอกันเลย”ผมกัดฟันบอกคุณสมปราชญ์ด้วยความโกรธ “ผมมีพี่อู๋คนเดียวก็พอแล้วผมไม่ต้องการพ่อ ต่อไปนี้อย่ายุ่งกับผมอีก”
ผมลุกขึ้นเดินหนีส่วนพี่อู๋รีบวางตะเกียบแล้วออกตัววิ่งตาม พอฉวยข้อมือของกอริลลาจิตตกได้ ผมก็ร้องไห้ถามพี่อู๋ว่าพ่อกลับมาทำไมถ้ากลับมาเพื่อเล่าเรื่องชวนเวทนาของแม่ให้ฟัง ไม่ต้องกลับมาก็ได้ผมยอมมีภาพจำว่าพ่อหนีไปมีเมียใหม่ดีกว่ารู้ว่าเขาเป็นพ่อห่วยๆที่ปกป้องลูกเมียไม่ได้ยังดีเสียกว่า
“ช่างมันนะก้องพ่อไม่จำเป็นกับชีวิตของก้องหรอก เราอยู่กันเหมือนเดิมก็ได้ก้องยังมีพี่อยู่ทั้งคนเนอะ”
ผมพยักหน้าและร้องไห้อยู่พักหนึ่งก่อนที่คุณสมปราชญ์จะเดินตามมาพี่อู๋บอกว่าไว้คุยกันโอกาสหน้าเพราะตอนนี้ก้องเกียรติไม่อยากคุยกับคุณแล้ว
“คุณนี่ยังไงกันเอาแต่กันผมไม่ให้คุยกับลูก!ผลตรวจก็ออกมาแล้วนี่ว่าเขาเป็นลูกผม!ตามกฎหมายผมมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวก้อง คุณนั่นแหละหลบไป! อย่ายุ่งกับลูกชายผม!”
“สิทธิ์ของคุณหมดไปตั้งแต่วันที่ส่งแม่ของก้องกลับนครชัยศรีแล้ว!”พี่อู๋ตอกหน้าเขาแทนเด็กในปกครอง “วันนี้พอก่อนเถอะครับอย่าทำให้ก้องเครียดไปกว่านี้เลยถือว่าผมขอร้องในฐานะคนที่ดูแลลูกชายของคุณมาสองปีนะครับ”
เราจบบทสนทนากับคุณสมปราชญ์ไว้แค่นั้นแล้วเดินทางกลับบ้านผมร้องไห้เสียใจต่อนิดหน่อยก็หยุดร้องเพราะตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่ติดต่อกับพ่ออีกผมไม่แน่ใจว่าที่พ่อกลับเข้ามานั้นเพราะเขารู้สึกผิดที่หาเราไม่เจอหรือแค่อยากได้ลูกชายตามประสาพวกบ้าสายพันธุ์กันแน่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ผมจะไม่ไปอยู่กับพ่อแน่ๆ หลังได้ฟังเรื่องราวทุเรศๆที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นแล้วผมว่าเราไม่นับญาติกันยังดีเสียกว่า เพราะผมฝืนทำใจเป็นลูกหลานของพวกที่ใจร้ายใจดำทำเรื่องเฮงซวยกับแม่ตัวเองไม่ลงหรอก
กว่าพี่อู๋จะขับรถถึงบ้านผมก็อารมณ์ดีจนเกือบเป็นปกติ ผมไม่รู้ว่าที่รู้สึกดีขึ้นเป็นเพราะทำใจได้เองหรือเพราะพี่อู๋กันแน่บางทีถ้าไม่มีเขา ผมคงรู้สึกแย่มากที่ปฏิบัติต่อพ่อตัวเองอย่างเฉยชาแต่พี่อู๋บอกว่าสิ่งที่นายก้องเกียรติทำไม่ถือว่าอกตัญญูหรอกพ่อที่ไม่ได้เลี้ยงลูกจนโตไม่มีสิทธิ์โกรธอยู่แล้วหากลูกปฏิเสธไม่อยากคุยด้วย เรื่องมันก็มีแค่นี้แหละก้องไม่ต้องคิดเยอะให้เครียด ไม่ต้องหยิบหัวโขนลูกกตัญญูมาสวมให้หนักหัวแค่ก้องไม่สร้างความเดือดร้อนอะไรให้คุณสมปราชญ์ก็ถือว่าหายกันแล้ว
นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสี่สิบเอ็ดนาทีผมนั่งทำการบ้านในห้องนั่งเล่นโดยมีพี่อู๋ช่วยดูวิชาภาษาอังกฤษให้จังหวะที่เท้าคางมองหน้าผู้ปกครองตรวจการบ้าน จู่ๆผมก็บอกพี่อู๋ว่าผมรักพี่นะรักพี่มากกว่าใคร ถ้าไม่มีพี่อู๋ผมก็คงมาไกลไม่ได้ขนาดนี้ คุณอิศรินทร์ถามว่าพูดหวานเอาใจแบบนี้อยากได้อะไรล่ะผมตอบว่าไม่อยากได้อะไรเลย แค่อยากบอกเฉยๆ ผมรักพี่จริงๆต่อไปนี้เวลาใครถามว่าเราเป็นอะไรกัน ผมจะบอกว่าพี่เป็นพ่อที่ไม่ใช่พ่อ เก็ตสึโนวา
“ไม่อยากเป็นพ่อ”
“แล้วพี่อยากเป็นอะไร?”
พี่อู๋ทำปากขมุบขมิบอ่านได้ว่าผัวผมไปต่อไม่ถูกจึงแกล้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาจดศัพท์จากหนังสือเรียน นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสี่สิบสามนาทีผมบอกพี่อู๋ว่ารอก่อนนะ ไว้ผมเข้าใจตัวเองเมื่อไหร่ เราค่อยเป็นแฟนกัน
TBC
______________________
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in