เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
Working Bees
  • 24

     


     

    เราหนีความจริงนานแค่ไหนก็ได้ แต่เราหนีไม่ได้ -- เมื่อต้องยืนอยู่หน้าเชิงตะกอน

     

    เพราะนั่นคือครั้งสุดท้ายที่จะได้อำลาคนที่เรารัก ต่อให้แกล้งทำเป็นลืม แกล้งปิดหูปิดตา แสร้งทำเป็นไม่มองใบหน้านิ่งสงบในโลงศพ แต่จิตสำนึกลึกๆของเรามันจะตะโกนซ้ำๆว่าเขาตายแล้ว เขาตายแล้ว เขาจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว เราจะไม่ได้อยู่ด้วยอีกกันแล้ว เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแล้ว

     

    และจิตใต้สำนึกนั่นแหละที่บีบบังคับให้เราต้องฝืนใจลืมตาเผชิญหน้ากับความจริง เหมือนพี่อู๋ที่ต้องมองหน้าก๋งครั้งสุดท้ายก่อนเข้าเตาเผา เหมือนแนที่กุมมือเย็นๆของสามีแทนการเอ่ยคำอำลา เพลงฉันจะฝันถึงเธอถูกเปิดผ่านลำโพงโดยฝีมือของใครซักคน น้ำเสียงหวานเศร้าของไวโอลินและนักร้องดังก้องไปทั่วบริเวณพิธี

     

    รู้หรือไม่ ว่าภายในดวงตาสองนั่น

    ฉันได้พบความอบอุ่นใจ

     

    แนถอยออกห่างจากโลงศพเล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้คนอื่นมีโอกาสบอกลาก๋งบ้าง บรรลูกสาวลูกชายต่างทรุดตัวนั่งข้างโลง ใช้มือสัมผัสร่างกายแข็งทื่อของพ่อโดยไม่นึกรังเกียจ น้ำตาอาบนองทั่วใบหน้าของทุกคน ริมฝีปากสั่นระริกของพวกเขาเอาแต่พร่ำบอกลา

     

    รู้หรือเปล่า ว่าข้างในรอยยิ้มของเธอ

    ฉันแอบเพ้อละเมอ คร่ำครวญ

     

    บรรดาเด็กๆก็ร้องไห้เพราะเพิ่งรับรู้ว่าก๋งตาย แต่ยังไม่รู้ว่าความตายและความเศร้าโศกเสียใจจะไม่หยุดแค่หน้าเชิงตะกอน

     

    อิ่มอบอ่วนไอ

     

    หลังจากนั้นพี่อู๋ ผู้ชายคนอื่นๆและสัปเหร่อช่วยกันยกโลงไม้สีขาวเข้าเตาเผา

     

    อยากจะบอกสักคำ

    ฉันได้ถลำหัวใจ

    ตกอยู่ในความรัก

     

    สัปเหร่อปิดประตูเตาเผา คุณแม่สร้อยเพชรร้องไห้จนแทบเป็นลม ส่วนแนยืนมองก๋งสุดสายตาโดยมีลูกชายคนโตประคองอยู่ไม่ห่าง

     

    เมื่อตะวันนิทรา

    ฟ้าจะรอพบจันทร์

     

    สัปเหร่อกดสวิตช์ให้เตาเผาไฟฟ้าทำงาน

     

    ฉันจะฝันถึงเธอ

     

    ทุกคนร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่วนกอริลลาก้องที่ยืนอยู่หลังสุดได้แต่อธิษฐานในใจ หลับให้สบายนะครับก๋งเตี้ยม หลังจากนี้ -- ผมจะดูแลพี่อู๋เองครับ

     

     

     

    วันถัดมาบ้านกลับกลายเป็นสวนสนุกร้างที่ไม่มีสีสัน ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีบรรกาศรื่นเริงตามประสาครอบครัวใหญ่ ไม่มีเสียงเพลงสวัสดีปีใหม่เหมือนหลังอื่นๆ บ้านของคุณอิศรินทร์ปิดประตูลงกลอนแน่นสนิท หลานๆทยอยกลับบ้านของตนจนเหลือสมาชิกแค่ไม่กี่คนในบ้านหลังนี้ เจ๊ออมกับสามีหอบเอาลูกเล็กและข้าวของเตรียมกลับหาดใหญ่เหมือนกัน เธอบอกว่ามีคนไข้ต้องกลับไปดูแลอีกเยอะ แต่ผมรู้ว่าลึกๆเธออยู่ที่นี่ไม่ได้ เธอทนอยู่ในบ้านที่มีแต่ความทรงจำระหว่างก๋งกับตัวเองไม่ได้

     

    “ขาดเหลืออะไรโทรหาเจ๊นะ”

     

    เธอบอกน้องชายที่ยืนหน้าเศร้าอยู่ริมรั้ว คุณอิศรินทร์ฝืนยิ้มแล้วดึงพี่สาวเขามากอด สองพี่น้องร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งก่อนเจ๊ออมจะผละตัวออกและใช้หลังมือเช็ดน้ำตาให้น้องชาย

     

    “อู๋คิดถึงเอม”

    “เจ๊ด้วย”

     

    พวกเขาเงียบกันอีกพักใหญ่ก่อนที่เจ๊ออมจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วส่งธนบัตรสีเทาให้ผู้ปกครองของนายก้องเกียรติ

     

    “เก็บไว้ใช้นะ”

    “เจ๊ไม่ต้องให้หรอก อู๋มี”

    “เก็บไว้เถอะ ได้งานใหม่เมื่อไหร่ค่อยคืนเจ๊ก็ได้” เธอยิ้มพร้อมกับดึงหูน้องชาย “แล้วก้องล่ะ? หลังจากนี้จะทำยังไง?”

     

    แต่พี่อู๋ก็ไม่ให้คำตอบว่าจะจัดการตัวแถมของบ้านยังไง

     

    “ -- มากเลยเหรอ?”

     

    เจ๊ออมถามจังหวะเดียวกับที่รถบรรทุกวิ่งผ่านพอดีทำให้ได้ยินประโยคแรกไม่ชัด แต่เดาเอาว่าคงเป็นเรื่องสำคัญเพราะพี่อู๋ไม่คุยหยอกล้อเหมือนเคย

     

    “ถึงแล้วโทรบอกอู๋นะ”

     

    คุณอิศรินทร์ไม่ให้คำตอบเช่นเคย เขายืนส่งพี่สาวจนขับรถออกไปจนสุดสายตาแล้วหันมาหากอริลลาก้อง เราเดินเข้าบ้านเพื่อกินข้าวเช้าด้วยกัน ในห้องอาหารไม่มีใครอยู่เลย มีแค่ผมกับผู้ปกครองเท่านั้นที่นั่งกินไข่เจียวแบนๆกับปลากระป๋อง พี่อู๋บอกว่าร้านกับข้าวหยุดขายกันช่วงปีใหม่ เราเองก็เพิ่งผ่านงานใหญ่มาเมื่อวาน ไม่มีใครมีอารมณ์ออกไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวเลยซักคน

     

    “ผมทำให้ได้นะ”

     

    ผมเสนอตัวเพราะอยากเป็นประโยชน์กับผู้มีพระคุณบ้าง แต่พี่อู๋ส่ายหน้า เขาบอกว่าไม่ต้องหรอก นอนเฉยๆสบายๆไปเถอะ หลังกินข้าวเสร็จผมจึงเก็บจานชามไปล้างแทน บรรยากาศเช้าวันแรกที่ไม่มีก๋งเงียบเหงากว่าแต่ก่อน ป้าอ้อยไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับการทำความสะอาดของใช้ของก๋ง คุณแม่สร้อยเพชรก็ไม่ขึ้นๆลงๆระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง ส่วนแน --

     

    แน แนไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างบนตลอดเวลาอีกแล้ว แต่แนย้ายลงมาใช้เวลาในห้องนั่งเล่นใหญ่กับทุกคน ผมเห็นแกนอนดูทีวีสลับกับกินผลไม้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทีของแนต่างจากหญิงหม้ายที่เพิ่งเสียสามีโดยสิ้นเชิง แกดูเพลิดเพลินกับรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งโดยมีคุณแม่สร้อยเพชรนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะข้างๆ มือหนึ่งจิ้มแก้วมังกรใส่ปาก อีกมือถือพัดกระดาษ โบกเบาๆให้พอช่วยคลายร้อน

     

    นายก้องเกียรติผู้ไม่มีหน้าที่อะไรได้แต่เกาะติดพี่อู๋เป็นลูกลิง เขาไปไหนผมไปด้วย เขากินอะไรผมกินด้วย ดังนั้นตอนที่พี่อู๋เปิดกระป๋องนมผงของก๋ง ผมจึงร่วมวงด้วย

     

    เอนชัวร์กลิ่นวานิลลา

     

    ผมถามผู้ปกครองว่าก๋งกินนมของเด็กด้วยเหรอ เขาบอกว่าไม่ใช่ นมกระป๋องยี่ห้อนี้ไม่เหมือนนมผงเด็กที่วางขายในห้าง แต่เป็นนมวิเศษ

     

    “กินแล้วลอยได้เหรอครับ?” ผมถามพลางรับแก้วนมอุ่นๆจากเขา พอลองจิบหนึ่งคำถึงเข้าใจว่านมวิเศษเป็นยังไง

    “อร่อยไหม?”

     

    ผมพยักหน้าแทนคำตอบและยกซดจนหมดแก้ว พี่อู๋บอกว่านมยี่ห้อนี้เป็นสามารถใช้เป็นอาหารหลักสำหรับผู้ป่วยภาวะผักได้ ถึงก๋งจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสรสชาติว่ามันทั้งหอมหวานและอร่อยแค่ไหน แต่ก๋งได้รับคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนแน่นอน

     

    “เราเอาของก๋งมากินแบบนี้จะดีเหรอครับ?”

    “ดีสิ” พี่อู๋กระดกนมอึกๆ “จะปล่อยให้มันหมดอายุไปพร้อมก๋งทำไม เสียของ”

     

    ก็จริง ก๋งไม่อยู่แล้ว นมหกกระป๋องนี้ก็ไม่รู้จะทิ้งไว้เฉยๆทำไม ดังนั้นเราสองคนจึงเอานมทั้งหมดมาสร้างเมนูใหม่ๆ โกโก้นมเอนชัวร์ พุดดิ้งนมเอนชัวร์ ไอศกรีมนมเอนชัวร์ และสารพัดเมนูของหวานเท่าที่เราคิดออก น่าเสียดายที่เราใช้เตาอบไม่เป็น ไม่งั้นคงมีเค้กนมเอนชัวร์ออกมาให้ทุกคนได้ชิมแน่ๆ

     

    “เล่นไม่รู้จักโต”

     

    คุณแม่สร้อยเพชรดุเมื่อเดินเข้ามาเจอพี่อู๋ใช้ช้อนตักนมก้นกระป๋องใส่แก้ว คุณอิศรินทร์ไม่สะทกสะท้านกับคำด่า เขาพยักเพยิดไปทางแก้วนมร้อนแล้วถามแม่ว่ากินไหม เธอตอบว่ากิน ก่อนจะหยิบแก้วที่นมอุ่นๆเดินออกจากห้องครัวไป

     

    ผมกับผู้ปกครองชงนมเล่นจนหมดกระป๋องแล้วจึงขึ้นชั้นสาม เราสองคนว่างจนต้องฆ่าเวลาด้วยการนอนอืดบนเตียงจนถึงบ่ายสามครึ่ง พอลืมตามองเพดาน สิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในหัวคือมื้อเย็น ผมคิดหนักมากว่าควรทำอะไรก่อนระหว่างลุกจากเตียงไปหาของกินหรือรอจนกว่าผู้ปกครองจะตื่น สุดท้ายผมเลือกลุกจากเตียง เดินลงไปชั้นล่างเพื่อหาอะไรรองท้อง แต่ในครัวไม่มีของกินเลย

     

    “หิวเหรอก้อง?”

     

    ป้าอ้อยถามเมื่อจับได้คาหนังคาเขาว่ามีกอริลลาตัวหนึ่งแอบเปิดฝาชีหากับข้าว ผมยิ้มเจื่อนและบอกว่าเปล่าครับ แต่ท้องมันร้อง เลยหลอกแกไม่ได้

     

    “ไปซื้อกับข้าวที่แม็คโครไหม?”

     

    ป้าอ้อยชวน ผมรีบตอบตกลง คว้าถุงผ้าใบใหญ่ที่วางบนเก้าอี้ทานข้าวแล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปร้านค้าส่งใกล้บ้านทันที 

     

     

     

     

    พี่อู๋เดินเกาตูดมาหาผมตอนนาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงยี่สิบสามนาที

     

    หัวของเขาฟูยุ่ง ใบหน้าง่วงเหมือนหมีเมาน้ำผึ้งมองมาที่นายก้องเกียรติอยู่หลายวินาที เขาดูงุนงงเมื่อเห็นผมยืนทอดไก่อยู่หน้าเตาจนป้าอ้อยต้องใช้ให้จัดโต๊ะ คุณอิศรินทร์ถึงเดินอึนๆ ถือจานและยกหม้อหุงข้าวไปวางเตรียมไว้

     

    “ไก่ทอดฝีมือน้องก้อง”

     

    ป้าอ้อยพูดระหว่างวางจานไก่ทอดบนโต๊ะอาหาร นี่คือมื้อแรกที่เราได้ทานข้าวด้วยกันหลังก๋งจากไป มันเป็นมื้ออาหารเหงาๆที่ต่างคนต่างตักกินโดยไม่พูดอะไร แนชมว่าผมทำกับข้าวอร่อย ส่วนพี่อู๋นั่งหน้ามึนแทะไก่หมดไปตั้งหลายชิ้น เขาเอาแต่กิน กิน กิน และกิน กินจนเกลี้ยงทุกอย่าง พอท้องอิ่ม เราก็ช่วยกันล้างจานเงียบๆในครัว ตอนนั้นแหละผมถึงเข้าใจความรู้สึกของเจ๊ออมว่าทำไมเธอถึงรีบกลับหาดใหญ่ บ้านที่คนรักเพิ่งจากไปนี่ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย บรรยากาศดูเศร้า ทุกคนเอาแต่ซึมไม่ยอมพูดจา บ้านหลังใหญ่ที่เคยน่าอยู่ก็เลยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าเป็นผมก็คงไม่รู้จะอยู่ทำไมเหมือนกัน สู้หนีไปไกลๆ หนีไปพักใจน่าจะดีกว่า

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสี่สิบเก้านาที บ้านหลังใหญ่น่าเบื่อเสียจนนายก้องเกียรติต้องเอาคางเกยโซฟาดูทีวีเฉยๆ ข้างๆคือพี่อู๋ผู้ไม่ทำอะไรเลยนอกจากนั่งเหม่อ ตามองทีวี แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้กำลังดูรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งหรอก ก็แค่หาจุดวางสายตาเท่านั้น ผมบอกตัวเองว่าต้องให้เวลาผู้ปกครองอีกหน่อยเพราะตอนแรกที่เสียแม่ไปผมเองก็ไขว้เขวและนั่งซึมทั้งวันเหมือนเขา อาจจะต้องรออีกหนึ่งเดือน สองเดือน หรือสามเดือน พี่อู๋ถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่ม แนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นใหญ่ บนหน้าของแนมีแป้งสีขาวทามั่วไปหมด เลอะคิ้วบ้าง เลอะขนตาบ้าง แต่ทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไร ปล่อยให้หน้าของแนเลอะแป้งต่อไปราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสามนาที แนพูดว่าไอ้หมูอู๋มาบีบตีนให้แนหน่อย

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบนาที ไอ้หมูอู๋ของแนบอกว่าไม่บีบแล้ว ขี้เกียจ

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที แนตัดพ้อหลานชายว่าแค่บีบตีนให้แนมันเหนื่อยมากเลยเหรอ พี่อู๋ตอบว่าใช่ เหนื่อย เมื่อยมือ แนเรียกป้าอ้อยมาบีบแทนเถอะ อู๋ปวดนิ้ว

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที สามสิบเจ็ดวินาที แนด่าคุณอิศรินทร์ว่าตอแหล

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที สี่สิบสองวินาที พี่อู๋บอกว่าตอแหลเก่งเหมือนยาย

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที สี่สิบสี่วินาที แนเขกหัวพี่อู๋

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที แนเรียกป้าอ้อยให้มาช่วยบีบแก้เมื่อย แต่ป้าอ้อยไม่อยู่ แกหายไปพักผ่อนบนชั้นสอง

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที ยี่สิบแปดวินาที แนบอกหลานชายว่าจ้างบีบตีน ให้นาทีละสามบาท

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที สามสิบสี่วินาที พี่อู๋ต่อรอง ขอนาทีละสิบบาท เลยโดนแนเขกหัวอีกที

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบสองนาที ห้าสิบวินาที นายก้องเกียรติเบื่อที่จะต้องดูเวลาบนหน้าปัดดิจิตอล จึงบอกแนว่าผมนวดให้ก็ได้ครับ ผมนวดดีมากนะ เคยเดินผ่านบูธนวดไทยสมัยมัธยมด้วย แนถามว่าการเดินผ่านบูธนวดไทยทำให้นวดเก่งเหรอ ผมส่ายหน้า บอกว่าแค่อวดเฉยๆ เดี๋ยวไม่มีสตอรี่ โก่งค่านวดไม่ได้

     

    “ให้นาทีละห้าบาท”

     

    แนพูดภาษาใต้พร้อมชูนิ้ว นายก้องเกียรติยิ้มร่า บอกว่าล้อเล่นครับ ไม่คิดเงินหรอก และคลานเข่าเข้าไปนวดให้แน

     

    นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มสามสิบนาที พี่อู๋บอกว่านวดให้เขาบ้างสิ ผมจึงฉวยโอกาสโก่งราคา ขอคิดค่านวดนาทีละสิบห้าบาท

     

    และคำตอบของผู้ปกครองคือมะเหงกหนึ่งที

     

     

    นายก้องเกียรติกลายเป็นมือขวาของแนตลอดหนึ่งสัปดาห์

     

    ไม่ว่าจะเพราะฝีมือนวดที่เข้าตา หรือทักษะพูดประจบประแจงฉอเลาะผู้ใหญ่ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เอาเป็นว่าตอนนี้แนชอบผมมากๆก็แล้วกัน

     

    ผมไม่ได้ทำดีกับคุณยายของผู้ปกครองแบบหวังผล แต่พอถลำตัวเข้าวงการหลานดูแลคนแก่แล้วมันออกยากต่างหาก พอเราเอาใจคนแก่หนึ่งครั้ง เราจะไม่กล้าปฏิเสธคำขอของครั้งที่สอง ที่สาม ที่สี่จนถอนตัวไม่ได้ เดี๋ยวแนมักจะเรียกผมไปบีบนวด นวดปลายเท้าบ้าง นวดขาบ้าง นวดหลังบ้างสลับกันไป และแกมักจะตอบแทนเป็นค่าขนมเล็กๆน้อยๆหลักสิบหลักร้อยให้พอได้ซื้อของกินในเซเว่น

     

    วันหนึ่งตอนที่กำลังบีบปลายเท้าให้แน จู่ๆแนก็ถามว่าผมอายุเท่าไหร่ พอบอกว่าเพิ่งสิบแปดได้ไม่ถึงเดือน แกก็งึมงำๆพูดว่าอายุเท่าเอมเลย

     

    “ตอนนี้เรียนหนังสือที่ไหน?” แนถาม พอผมบอกว่าไม่ได้เรียน แกโมโหใหญ่เลย “ทำไมไม่เรียน? พ่อแม่ไม่ว่าเหรอ?”

     

    ไม่ว่าครับ ไม่มีใครกล้าว่าผมด้วย แม้แต่พี่อู๋ยังไม่เคยดุนายก้องเกียรติเรื่องเรียนหนังสือเลย

     

    “พ่อแม่ไปไหน”

    “ไม่อยู่แล้วครับ”

     

    ผมยิ้มเจื่อน ไม่ค่อยอยากคุยเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่พอเข้าใจว่าตามประสาคนแก่ ถ้าได้ถามหนึ่งคำถาม ต้องมีคำถามต่อๆไปจนกว่าจะรู้ทุกเรื่อง แนซักไซ้ใหญ่เลยว่าผมเป็นใครมาจากไหน พ่อแม่ทำงานอะไรถึงไม่ส่งให้เรียนหนังสือ ผมก็โกหกบ้าง ตอบตามความเป็นจริงบ้างเพื่อให้แนเลิกถาม แต่แกไม่เลิกง่ายๆ เค้นอยู่นั่นแหละว่าทำไมนายก้องเกียรติถึงไม่เรียนมหาลัย

     

    “แม่ผมเสียแล้วครับ” ผมบอกความจริง “พอดีพี่อู๋ผ่านมาเจอเลยให้ผมอยู่ด้วย”

    “เจอแถวไหน?”

     

    ถ้าตอบว่าสะพาน แนจะเข้าใจหรือเปล่านะ

     

    ผมนึกสงสัย แต่ก็ยังให้คำตอบกลางๆกับแนไปเรื่อยๆ แกถามนั่นถามนี่อยู่พักใหญ่แต่ไม่ได้ยื่นข้อเสนออะไรให้นอกจากเซ้าซี้ถามจนหมดไส้หมดพุง พอไม่มีเรื่องจะตอบ เราก็เงียบใส่กันอยู่ครู่หนึ่ง นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มสิบเอ็ดนาที แนยื่นเงินให้ผมห้าร้อยบาทและบอกว่าค่าติ๊บ

     

    “ขอบคุณครับ”

     

    ผมยกมือไหว้ก่อนจะกลับขึ้นห้องนอน สวนกับพี่อู๋ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จตรงบันได เขาถามผมว่าจะไปไหน พอบอกว่ากลับห้อง เขาก็พยักหน้าแต่ไม่ได้เดินตาม

     

    “พี่ว่าจะคุยกับแนหน่อย”

     

    คุณอิศรินทร์บอก ผมตอบแค่โอเคครับแล้วปลีกตัวไปอาบน้ำ เลือกหยิบเสื้อผ้าของเอมมาสวมก่อนจะเข้าห้องนอน เก็บเงินห้าร้อยบาทเข้ากระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่ในลิ้นชักข้างเตียง ระหว่างรอพี่อู๋ขึ้นมาผมก็นอนตีพุงเล่นๆ จินตนาการวาดฝันถึงบทสนทนาที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ตอนนี้แนรู้แล้วว่าผมเป็นเด็กกำพร้า ผมไม่มีเงิน ไม่มีผู้ปกครองคอยส่งเสียเลี้ยงดูเหมือนคนอื่นๆ พอมีโอกาสได้บอกแนว่าสถานะของผมไม่เอื้ออำนวยให้เข้าถึงการศึกษา ความหวังที่จะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ค่อยๆเห็นปลายทางขึ้นมาอีกครั้ง ผมคิดถึงน้องๆที่เห็นในโบสถ์ คิดถึงคำพูดของสมาร์ทที่บอกว่าให้ไปเอาหนังสือได้ทุกเมื่อ

     

    ผมคิด -- คิดไกลถึงขนาดเห็นภาพตัวเองสวมชุดนักศึกษา แต่สวมเน็คไทของมอไหนไม่รู้ ผมคิดไว้แค่อยากเรียนต่อในระดับปริญญา

     

    พี่อู๋เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะตอนนายก้องเกียรติกำลังฝันหวาน พอเขาบอกว่าพรุ่งนี้เราต้องออกจากบ้านแล้วนะ ผมก็รีบลุกขึ้นนั่งเพราะตกใจ

     

    “ทำไมเราถึงอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้ครับ?”

     

    กอริลลาก้องถามพลางมองผู้ปกครองจัดกระเป๋า เขาหยิบเสื้อผ้ายัดๆม้วนๆแบบลวกๆก่อนจะหันมาตอบคำถาม

    “เดี๋ยวทุกคนสงสัยว่าทำไมพี่ลางานได้หลายวัน” พี่อู๋บอก “ปกติพี่หยุดแค่สองสามวันเองก้อง นี่ผ่านมาตั้งสองอาทิตย์ แนเริ่มสงสัยแล้วด้วย”

    “งั้นเราจะไปอยู่ที่ไหน?”

     

    ผมกังวล ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมไม่สนหรอกว่าต้องนอนที่ไหน แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องเรียนต่อเป็นภาระใจ ผมอยากคุยกับแน อยากหาทางขอความช่วยเหลืออ้อมๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อก็เปล่าประโยชน์ ผมจะขอทุนจากใครถ้าไม่ใช่แน

     

    “พี่จะกลับลาดพร้าวเหรอ?”

    “เปล่า”

    “งั้นเราจะไปไหนกันครับ?”

    “ท่าศาลา” พี่อู๋ชูกำปั้นพร้อมกับร้องเพลงด้วยความฮึกเหิม “หากเราเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า --”

    “ป่าละเมาะที่ไหนอีก?” ผมเบ้หน้าจะร้องไห้

    “ป่ามะพร้าวต่างหาก” คุณอิศรินทร์บอก “บ้านย่าของพี่ติดทะเลด้วยนะ ก้องต้องชอบมากแน่ๆ”

    “แล้วย่าพี่จะไม่สงสัยเหรอครับว่าทำไมพี่ไม่ไปทำงาน?”

    “ไม่หรอก ย่าพี่ไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้เหมือนแน”

     

    ผมไม่เถียง เพราะแนเซ้าซี้เก่งจริงๆตามที่หลานชายว่านั่นแหละ นายก้องเกียรตินั่งมองผู้ปกครองเก็บกระเป๋าตาละห้อย ผมยังไม่มีความกล้ามากพอจะบอกพี่อู๋หรือแนว่าอยากได้ทุนสำหรับเรียนต่อปริญญาตรี ส่วนหนึ่งเพราะเกรงใจ และอีกส่วนหนึ่งยังรู้สึกว่าหนทางอยู่ไกลเกินเอื้อม บ้านคุณอิศรินทร์ค่อนข้างมีฐานะก็จริงแต่ใช่ว่าจะแจกทุนพร่ำพรื่อ ต่อให้สมาร์ทบอกว่าบ้านของเขาชอบสนับสนุนให้เด็กๆเข้าถึงการศึกษา แต่ผมยังไม่กล้าอยู่ดี

     

    “เราจะอยู่กันแบบนี้อีกนานแค่ไหนครับ?”

     

    ผมหลุดถามพี่อู๋อย่างลืมตัว เล่นเอาสองมือที่กำลังรูดซิบกระเป๋าชะงักไปพักหนึ่งเลย กอริลลาก้องนึกอยากตีปากตัวเองโทษฐานสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแต่สายไปแล้ว พี่อู๋หันมองหน้าผมด้วยแววตาไร้คำตอบ เขาเองก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าต้องเร่ไปบ้านญาติๆเพื่อหนีความจริงอีกนานแค่ไหน คงนานพอๆกับที่นายก้องเกียรติเก็บความคิดเรื่องเรียนต่อไว้กับตัว ไม่ยอมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือเสียที

     

    “ก้องเบื่อเหรอ?”

    “เปล่าครับ”

     

    พี่อู๋คงไม่เชื่อ เขาวางเป้ไว้ข้างเตียงก่อนจะพาผมไปเลือกชุดสำหรับออกต่างอำเภอในห้องแต่งตัว ผมหยิบเสื้อผ้าของเอมมาแค่สองสามชุดและหยิบยืมเป้ของเอมมาด้วย เราแพ็คกระเป๋ากันเงียบๆจนถึงสี่ทุ่มจึงปิดไฟเข้านอน

     

     

     

    ไม่วันใดวันหนึ่งทุกคนก็ต้องรู้ความจริง

     

    ครอบครัวของคุณอิศรินทร์ต้องรู้ว่าเขาตกงาน พวกเขาต้องรู้แน่เพราะเราสองคนคงระหกระเหินเร่ร่อนไปเรื่อยๆไม่ได้ วันหนึ่งเงินของพี่อู๋ต้องหมด วันหนึ่งเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับให้กลับไปทำงาน วันหนึ่งนายก้องเกียรติคงต้องยืนด้วยขาของตัวเอง วันหนึ่งผมเองก็ต้องออกหาเงินรับผิดชอบชีวิตที่เหลือ

     

    วันหนึ่ง --

    วันหนึ่ง --

    วันหนึ่งความจริงที่เราหนีมาตลอดจะวิ่งไล่ทัน เราต้องเผชิญหน้ากับมัน ต้องยอมรับมัน แต่ผมกลับไม่กล้าเตรียมใจคิดถึงวันนั้นเลย

     

    รถวีออสออกจากบ้านหลังใหญ่ในอำเภอเมืองแต่เช้า คุณอิศรินทร์บอกลาครอบครัวโดยหลอกให้ทุกคนคิดว่าไปทำงาน แต่จริงๆไปเข้าป่าต่างหาก ผมยกมือไหว้ลาทุกคนและขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจที่หยิบยื่นให้ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แนมองหน้านายก้องเกียรติเหมือนมีเรื่องอยากพูดแต่ไม่ได้พูด แค่ให้เงินกอริลลาอีกหนึ่งพันบาท ผมคิดว่ามันมากเกินไป

     

    “เก็บไว้กินหนม”

     

    แกว่าก่อนจะลูบหัวผมและให้พร แนย้ำเป็นครั้งที่สามว่าหากคราวหน้าพี่อู๋กลับใต้อีก ผมจะติดรถมากับเขาด้วยก็ได้ บ้านหลังนี้ที่ตั้งกว้าง มีห้องนอนข้าวของพร้อมต้อนรับกอริลลากำพร้าเสมอ

     

    “ไปแระ”

     

    พี่อู๋กระดกลิ้นกวนตีนและยกมือไหว้เป็นหนสุดท้ายก่อนจะขับรถออกจากรั้วบ้าน ผมนั่งกังวลตลอดทางที่เรามุ่งหน้าสู่อำเภอท่าศาลา พยายามเก็บเรื่องเรียนต่อไว้ในใจและบอกตัวเองว่าตอนนี้คงยังไม่ใช่โอกาส บางทีผมอาจต้องรอเวลาอีกหน่อย บางทีอาจต้องรอโอกาสหนที่สองซึ่งไม่รู้จะหวนกลับมาเมื่อไหร่ หนังสือของสมาร์ทก็ยังไม่ได้เอา เอ่ยปากขอหยิบยืมเงินเรียนต่อก็ไม่ได้พูด ผมอับจนหนทางทุกครั้งที่คิดเรื่องมหาวิทยาลัย แต่พอมองหน้าพี่อู๋ ผมจะรู้สึกเกลียดตัวเองที่เห็นแก่ตัวตลอด ในขณะที่ผู้ปกครองตกงานและเร่ร่อนไปบ้านคนอื่นเรื่อยๆ นายก้องเกียรติกลับคิดถึงแค่เรื่องของตัวเองเท่านั้น

     

    “พี่โกรธผมไหม?”

    “เรื่องอะไร?”

    “ที่ผมพูดเมื่อคืน” ผมมองหน้าผู้ปกครอง รู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้พี่อู๋คิดว่าผมเบื่อชีวิตของเรา

    “ไม่โกรธหรอก ก้องมีสิทธิ์สงสัยอยู่แล้ว”

     

    บทสนทนาจบลงแค่นั้น ไม่มีการอธิบายเหตุผลเพิ่มเติมนอกจากแยกกันไปจมเจ่าในโลกของตัวเอง ผมว่าเราเหมือนกันตรงที่กลัวการเริ่มต้นใหม่ พอมีใครซักคนตั้งคำถามถึงสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่แปลกที่จะเกิดบรรยากาศอึดอัดแบบนี้

     

    ตลอดทางที่นั่งรถไปบ้านคุณย่า ผมสั่งตัวเองว่าหลังจากนี้ห้ามพูดหรือตั้งคำถามเกี่ยวกับการเริ่มใหม่อีก ผมท่องในใจซ้ำๆว่าอย่ากดดันพี่อู๋ อย่ากดดันพี่อู๋จนรถแล่นออกจากอำเภอเมือง ลัดเลาะไปตามถนนคดเคี้ยวที่มีแต่ต้นไม้เป็นทิวทัศน์ มีมอเตอร์ไซค์และรถกระบะเป็นเพื่อนร่วมทางที่พบเห็นตลอดเวลา ตอนนั้นแหละผมถึงเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตมาถึงจุดนี้ได้ยังไง -- จุดที่นั่งรถตะลอนๆไปกับผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติจนถึงกระท่อมเล็กๆขายผลไม้ริมทาง ผ่านป่ามะพร้าวและสวนยางพารา ผ่านถนนกรวดที่โรยตัวเข้าสู่บ้านชั้นเดียวในป่ามะพร้าว ผ่านหญิงชราที่ยืนกวาดใบไม้อยู่หน้าบ้าน

     

    รถวีออสจอดสนิทเมื่อเรามาถึงบ้านของคุณย่าของคุณอิศรินทร์ แกเป็นหญิงชราร่างท้วมเหมือนแนแต่ดูแข็งแรงกว่า หางคิ้วของแกโค้งลงเหมือนยิ้มอ่อนตลอดเวลา ใบหน้ามีความสดใสร่าเริงและประกายความซื่อตรงตามฉบับคนบ้านๆ ทันทีที่พี่อู๋ลงจากรถ แกก็ยกไม้กวาดทางมะพร้าวทักทายหลานชายทันที

     

    “มาตอใดเนี่ยอู๋” (มาเมื่อไหร่เนี่ยอู๋)

     

    คุณย่ายิ้มหวาน ผมยกมือไหว้สวัสดีตามมารยาทพร้อมกับมองรอบๆบ้าน บ้านชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าดูใหม่เหมือนเพิ่งรีโนเวท ด้านข้างมีดอกดาวเรืองปลูกเรียงแถวจนสุดความยาว มีบ่อปลาหางนกยูง มีกระดิ่งลม่างเสียงดังกรุ๋งกริ๋งแขวนไว้ตรงชานบ้าน แต่บนที่ดินผืนนี้ไม่มีพื้นคอนกรีตเลย มีเพียงแค่ทรายหยาบๆที่เกลี่ยไม่เรียบ เวลาเดินจึงยวบยาบจนรองเท้าจมหายไปครึ่งหนึ่ง ดูๆแล้วบรรยากาศก็ร่มรื่นน่าอยู่ดี ผมคิดว่ามันน่าอยู่ -- จนกระทั่งคุณย่าหันมามองและเอ่ยทักกอริลลาก้อง

     

    “พาเด็กขอยพร้าวมาด้วยเออ?” (พาเด็กเก็บมะพร้ามาด้วยเหรอ?)

    “หมันแล้ว” (ใช่แล้ว)

     

    คุณอิศรินทร์ตอบยิ้มๆและพูดประโยคที่ผมขนลุกที่สุดในชีวิตออกมา

     

    “อยู่ที่นี่ต้องหัดทำงานนะก้อง”

     

    ไม่ -- นี่ไม่ใช่ประโยคที่ผมพูดถึงหรอก

     

    “เริ่มจากหัดปีนต้นมะพร้าวก่อนเลย”







                                                                         TBC



                                                         ________________________


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in