เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Not today, he said.Ms.Ambiguous
Run in Circles
  • 23



     

     

    พวกเขาหายไปหมดเลย

     

    ทุกคน --

     

    ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากนายก้องเกียรติ สามีของเจ๊ออม และลูกเล็กของเธอ

     

    เมื่อห้านาทีก่อนคือความโกลาหลไม่ต่างจากวันที่บ้านถูกไฟไหม้ พวกญาติๆกระวนกระวายวิ่งวุ่นเหมือนผึ้งแตกรัง หลานๆถูกปลุกกลางดึก ส่วนเจ๊ออม ป๊า และลูกของก๋งคนอื่นๆช่วยกันเข็นเตียงก๋งไปที่ลิฟท์ ผมเพิ่งรู้ว่าบ้านพี่อู๋มีลิฟท์ก็ตอนนี้ มันเป็นช่องสี่เหลี่ยมซ่อนอยู่หลังบ้าน ถ้าไม่เปิดประตูจะไม่รู้เลยว่ามี แต่มันไม่ใช่ลิฟต์สวยๆเหมือนในโรงแรมหรือโรงพยาบาล เป็นแค่โครงเหล็กกั้นสี่ด้านเหมือนรั้วบ้าน ข้างในโปร่งโล่งจนเห็นแม้กระทั่งตอนเจ๊ออมกำลังบีบลูกบอลหรืออะไรซักอย่างแทนเครื่องช่วยหายใจ

     

    ผมไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวเกะกะขวางทาง ไม่กล้าถามสมาร์ทด้วยว่ากำลังไปโรงพยาบาลไหนกัน สุดท้ายพอถึงนาทีที่ก๋งอาการทรุด พวกเขาทุกคนก็ดิ้นรนพาก๋งส่งหมอทั้งนั้น แม้แต่พี่อู๋ที่เคยปากดียังช่วยเข็นเตียงของก๋งจนถึงรถพยาบาลที่ไม่รู้ว่ามาจอดรอเมื่อไหร่ เจ๊ออมขึ้นไปบนรถกับก๋ง หลานๆวิ่งกระจัดกระจายขึ้นรถคันอื่นๆ แนขึ้นรถคันหนึ่งของลูกชาย ส่วนพี่อู๋เองก็รีบมากเหมือนกัน รีบจนไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเขาขับรถออกไปทีละคัน ทีละคันจนหมดบ้าน เหลือไว้แค่กอริลลาก้องกับกุญแจหนึ่งดอกสำหรับล็อกประตูรั้วเท่านั้น

     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าตีหนึ่งสามสิบสี่นาที

     

    พี่อู๋โทรมาเช็กว่านายก้องเกียรติทำอะไรอยู่

     

    “ผมกำลังรอพี่กลับบ้านครับ”

     

    ผมตอบ พอคุณอิศรินทร์เงียบไปนาน ผมจึงถามเรื่องอื่นแทนเช่น พี่ง่วงไหม อยากกินมาม่าหรือเปล่า หรือถ้าเหนื่อยก็กลับมานอน พรุ่งนี้เราค่อยไปกินของอร่อยๆกัน

     

    “พี่กำลังกลับแล้ว”

     

    พี่อู๋บอก ผมได้ยินเสียงป้าอ้อยเรียกเด็กๆขึ้นรถกลับบ้าน บทสนทนาของเราเงียบอีกหลายวินาทีก่อนพี่อู๋จะบอกว่าต้องวางสายแล้ว แค่นี้ก่อนนะ

     

    “ครับ”

     

    ผมตอบ และนั่งมองประตูห้องนั่งเล่นใหญ่เหมือนหมารอเจ้าของ ไม่ถึงสิบนาที รถวีออสสีดำและคันอื่นๆอีกสองสามคันก็ขับเข้ามาจอดในรั้วบ้าน ส่วนใหญ่เป็นบรรดาหลานๆที่กำลังง่วงนอนเต็มที สะใภ้และลูกเขยทยอยพาลูกตัวเองไปส่งที่เตียง ผมชะเง้อคอมองหาผู้ปกครอง พอไม่เห็นเขามาเสียทีก็เลยเดินตามหาจนเจอว่าพี่อู๋ยังนั่งอยู่ในวีออส ข้างๆเขาคือป๊าที่กำลังพูดบางอย่างด้วยท่าทางเครียดๆ หลังจากนั้นป๊าก็ลงจากรถ เจอผมยืนหลบอยู่หลังบานประตู แกพยักหน้ายิ้มๆแล้วบอกให้นายก้องเกียรติเข้านอน

     

    “สวัสดีปีใหม่ก้อง” ป๊าชวนคุย “ถ้ายังไงก็เรียกอู๋ขึ้นนอนด้วยนะ”

    “ครับ สวัสดีปีใหม่นะครับ”

     

    ผมยืนรอ รอ และรอให้พี่อู๋พร้อม เขาไม่ขยับตัวหรือทำอะไรเลยนอกจากจับพวงมาลัยแน่นเหมือนกำลังคิดหนัก เวลาผ่านไปอีกสิบนาที เจ๊ออมปาดน้ำตาเดินเข้ามาในบ้าน เธอลูบไหล่ผมและบอกให้ไปนอน

     

    “ผมรอพี่อู๋อยู่ครับ”

     

    ผมตอบเจ๊ออม เธอชะเง้อมองน้องชายที่นั่งเก็บตัวในรถก่อนจะบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ไปนอนเถอะ เดี๋ยวอู๋ก็ขึ้นนอนเอง

     

    นายก้องเกียรติเคยเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ผมยืนรอจนเมื่อยขา รอ รอ รอ รอจนพี่อู๋ดับเครื่องและลงจากรถ พอเห็นหน้าผม เขาก็ยิ้มๆถามว่าทำไมไม่นอน

     

    “ผมรอพี่อยู่”

     

    พี่อู๋ไม่ตอบอะไรกลับมา เขายีผมกอริลลาก้องจนเสียทรง เรากอดคอเดินเข้าบ้านพร้อมกัน

    “เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน ก้องนอนเลย ไม่ต้องรอ”

     

    ผู้ปกครองสั่ง แน่นอนว่าผมไม่ทำ ผมรอจนกระทั่งพี่อู๋อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ รอจนเขาเปิดประตูเข้ามาในห้อง รอจนเขาขึ้นนอนบนเตียงและถอนหายใจยาวๆ ผมไม่กล้าถามพี่อู๋ว่าก๋งเป็นยังไงบ้าง ตกลงตัดสินใจกันยังไง แนไหวไหม พี่โอเคหรือเปล่า เดาเอาว่าก๋งน่าจะยังมีชีวิตอยู่แต่โอกาสรอดคงน้อยเต็มที

     

    “พรุ่งนี้พี่จะพาก้องไปโอเชี่ยน”

    “โอเชี่ยนคืออะไรครับ?”

    “ห้าง” เขาบอก “พรุ่งนี้ไปซื้อเสื้อกันนะ”

     

    ผมไม่เข้าใจซักนิด ทำไมเราต้องซื้อเสื้อผ้าในเมื่อนายก้องเกียรติสามารถหยิบยืมของใครในบ้านมาใส่ก็ได้

     

    “พี่อู๋”

    “ว่า?”

     

    ผมจินตนาการว่าเรากำลังอยู่ในอวกาศ อยู่ในภาวะสุญญากาศที่อึดอัดจนหายใจไม่ออก ผมไม่รู้ว่าควรปลอบ ควรกอด ควรให้กำลังใจ หรือพูดยังไงเพื่อให้พี่อู๋หายเศร้า สุดท้ายผมทำได้แค่เรียกชื่อเขา เรียกพี่อู๋ พี่อู๋ครับ พี่ --

     

    “เรียกแล้วไม่คุย โดนมะเหงกนะ”

     

    คุณอิศรินทร์เขกหัวนายก้องเกียรติดังโป๊ก หมดกันอารมณ์ห่วงหาอาทร ลาก่อน นอนเศร้าไปคนเดียวเลย

     

    “เรียกพี่ทำไม?”

     

    แต่พี่อู๋ยังนึกสงสัยจนต้องเอ่ยถาม ท่ามกลางความมืดกับสติ๊กเกอร์ดาวสะท้อนแสง มีแค่ผมเท่านั้นที่ยังคงลืมตาอยู่

     

    “ผมพูดไม่เก่ง แต่ผมเป็นห่วงพี่จัง”

    “ห่วงพี่? ห่วงทำไม?”  

    “มันยากใช่ไหมพี่? การทำใจยอมรับความจริง --”

     

    ผมเกริ่นทิ้งไว้ รอจังหวะให้คุณอิศรินทร์หันมาแต่เขายังหลับตาเหมือนเดิม

     

    “คนเรามีพบก็ต้องมีจาก”

     

    พี่อู๋พูดเมื่อกอริลลาก้องไม่ยอมต่อประโยคให้จบ คิดว่าเขาคงรู้ว่าผมต้องการสื่ออะไร เขารู้แน่ๆว่าเด็กในอุปการะเป็นห่วงและอยากบอกว่าการสูญเสียมันทำใจยาก แต่วันหนึ่งมันจะกลายเป็นแค่ความทรงจำธรรมดา วันหนึ่ง -- เราจะไม่เจ็บปวดกับการจากไปเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้

     

    “พี่อู๋ครับ”

    “ว่า?”

    “สวัสดีปีใหม่ครับ”

     

    ผมบอกเขา คราวนี้คุณอิศรินทร์ขำออกเสียงก่อนจะขานรับในลำคอ

     

    “อืม สวัสดีปีใหม่นะก้อง”

     

    นาฬิกาดิจิตอลบนผนังบอกเวลาว่าตีสองหกนาที เข้าสู่เช้าวันใหม่ของพุทธศักราชใหม่ที่เริ่มต้นโดยมีนายก้องเกียรติหลับน้ำลายยืดข้างผู้ปกครอง ส่วนคุณอิศรินทร์ได้แต่นอนน้ำตาไหลเงียบๆเพียงลำพัง

     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงตรง

     

    บ้านของคุณอิศรินทร์เงียบเหมือนสวนสนุกร้าง ในห้องครัวไม่มีอาหารหรือร่องรอยการใช้งาน อ่างน้ำแห้งสนิท จานชามคว่ำเก็บในตู้เป็นระเบียบ ไฟในห้องนั่งเล่นใหญ่ดับมืด ไม่มีเสียงทีวี ไม่มีเสียงหัวเราะแสบแก้วหูของเด็กๆ ไม่มีเงาของใคร แม้แต่ป้าอ้อยคนขยันก็ไม่อยู่ที่นี่

     

    “ทุกคนไปโรงพยาบาล”

     

    พี่อู๋ช่วยไขข้อข้องใจให้กอริลลา เท่ากับว่าตอนนี้เราอยู่ในบ้านกันสองคน ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกจากบ้านตรงดิ่งไปโอเชี่ยน พร้อมผู้ปกครอง มันคือห้างขนาดเล็กถ้าเทียบกับเซ็นทรัลปิ่นเกล้า เล็กกว่าประมาณหนึ่งในยี่สิบเห็นจะได้ ส่วนสภาพและการตกแต่งภายใน ผมว่าใหม่กว่าพาต้าปิ่นเกล้านิดนึง

     

    พอหาที่จอดได้ เด็กเฝ้าลานจอดก็ฉีกตั๋วยื่นให้เรา เขาบอกว่าค่าจอดยี่สิบบาท ถ้าซื้อของครบสองร้อยให้เอาตั๋วไปแสตมป์ที่ประชาสัมพันธ์แล้วค่อยมารับเงินคืน คุณอิศรินทร์ทำเออออห่อหมกพยักหน้าไปเรื่อย แต่พอไกลสายตาเด็กลานจอดรถ เขาก็บ่นเรื่องตั๋วค่าจอดยี่สิบบาททั้งๆที่บางห้างในกรุงเทพคิดค่าจอดแพงกว่านี้ตั้งเยอะ

     

    “เซ็นทรัลก็ไม่คิดตังค์ค่าจอดรถลูกค้าเลยหรือเปล่าวะก้อง?”

     

    พี่อู๋เถียงขาดใจ อ่ะ ผมยอมแพ้ก็ได้ ไม่ว่าแล้วครับ ผมจะเป็นเด็กดีของพี่เหมือนเดิม

     

    เราเดินเข้าทางด้านหลังของห้าง ผ่านโซนขายร้านเสื้อผ้าผู้ชายและเครื่องหนังแบรนด์ต่างๆ พี่อู๋เดินตรงดิ่งไปที่ราวเสื้อผ้าลดราคา เขาแหวกหาเสื้อเชิ้ตเหมือนยังไม่เจอลายที่ถูกใจ เขาแหวกไปมาหลายนาทีจนพนักงานหญิงต้องเดินมาถามว่าสนใจอยากได้แบบไหนดีคะ

     

    “เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบๆอ่ะครับ” พี่อู๋บอกแล้วชี้มาที่นายก้องเกียรติ “ให้น้องคนนี้”

     

    พนักงานร้องอ๋อแล้วพาเราไปอีกโซนที่ขายเสื้อเชิ้ตวัยทำงานโดยเฉพาะ พวกมันเหมือนเสื้อของพี่อู๋ในตู้ที่คอนโดเลย ต่างกันแค่สีและลาย ส่วนใหญ่มนุษย์เงินเดือนคงนิยมแต่ตัวกันแนวนี้ เปลี่ยนสีเสื้อ สลับสีกางเกงแค่เทา ดำ น้ำตาล กับรองเท้าหนังสุภาพอีกหนึ่งคู่ สงสัยพี่อู๋จะให้ผมซ้อมเป็นมนุษย์เงินเดือนที่พร้อมโหนบีทีเอสในสภาพรักแร้เปียกไปทำงานกลางหน้าร้อน

     

    พนักงานไม่ค่อยเทคแคร์เราเท่าไหร่ แต่คุณอิศรินทร์ก็ไม่ได้สนใจ เขาดูสบายใจกับการซื้อของโดยไม่มีใครคอยกำกับด้วยซ้ำ เขาเป็นมนุษย์เงินเดือนเกือบสิบปีทำไมจะไม่รู้ว่าเสื้อเชิ้ตไซส์ไหนใส่แล้วถึงจะออกมาดูดี พี่อู๋หยิบหลายขนาดมาทาบบนตัวกอริลลาก้องก่อนจะใช้ให้ไปลอง ผมทำแบบนี้อยู่หลายหน เปลี่ยนเสื้อสีขาวหลายยี่ห้อ หลายแบบหลายตัว แต่ก็ยังไม่ถูกใจ

     

    “มีไซส์ที่เข้ารูปกว่านี้ไหมครับ? ตัวนี้ไหล่ตก”

     

    พี่อู๋ถามพยักงานพร้อมกับชี้ให้ดูว่าเสื้อที่เธอเสนอมามันไม่ได้ขนาดตามที่เขาต้องการ พนักงานสาวหายไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมเสื้อเชิ้ตสามตัวให้คุณอิศรินทร์เลือก

     

    เราใช้เวลากับเสื้อตั้งครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพี่อู๋ก็เจอเนื้อคู่ของนายก้องเกียรติ เสื้อเชิ้ตสีขาวล้วนคอปก ติดกระดุมคอแล้วไม่รัดเหนียงจนหายใจไม่ออก ความยาวช่วงแขนก็ยาวพอดีกับข้อมือ ตะเข็บแขนตรงหัวไหล่เป๊ะ ใส่แล้วเข้ารูปดูเป็นทรง ผมมองตัวเองในกระจก รู้สึกเหมือนเป็นอิศรินทร์ร่างโคลน พร้อมออกไปโหนบีทีเอสแล้วครับ

     

    “เอาตัวนี้ตัวนึงครับ” เขาตอบพลางติดกระดุมมือให้นายก้องเกียรติ “ที่นี่มีกางเกงสแล็คไหมครับ?”

    “มีค่ะ”

     

    เธอผายมือไปอีกด้าน เราเดินตามไปจนถึงตัวหุ่นโชว์ที่กำลังสวมกางเกงคอลเล็คชั่นใหม่ของปีนี้ คงไม่ต้องพูดยาวว่าเกิดอะไรขึ้น พี่อู๋เลือกกางเกงให้ผมต่อ เขาให้ลองจนกว่ากอริลลาก้องจะเจอไซส์ที่พอดีตัวจริงๆ ใส่ออกมาแล้วดูเท่เหมือนมนุษย์รถไฟใต้ดิน พอลองใส่ทั้งเสื้อและกางเกงพร้อมกัน ผมถึงเอะใจว่านี่ไม่ใช่ชุดมนุษย์เงินเดือน นี่มันชุดร่วมงานศพ

     

    “ทั้งหมดสองพันสี่ร้อยหกบาทค่ะ”

     

    พี่อู๋ส่งบัตรให้พนักงานรูด ส่วนกอริลลายืนมองเงาตัวเองในกระจก กอริลลาก้องในชุดมนุษย์เงินเดือนก็ดูไม่เลว แต่ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่คุณอิศรินทร์ทำแบบนี้ เขาเสียเงินตั้งสองพันเพื่อให้เด็กในปกครองมีชุดใส่ไปร่วมงานศพ ทั้งๆที่ก๋งยังไม่ตาย ก๋งยังอยู่ในโรงพยาบาล แต่เขากลับเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว

     

    “ไปดูรองเท้ากัน”

     

    พี่อู๋เดินนำ ผมได้แค่มองแผ่นหลังของผู้ปกครองที่ดูเหี่ยวเฉากว่าปกติ นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบเอ็ดโมงห้านาที คุณอิศรินทร์พานายก้องเกียรติไปกินเอ็มเค แล้วเราก็ไปโรงพยาบาลพร้อมกัน

     

     

     

     

    ก๋งอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลเอกชนแถวอ้อมค่าย ผมไม่รู้ว่ามันชื่ออ้อมค่ายจนกระทั่งญาติคนหนึ่งโทรศัพท์บอกทางเพื่อให้คนอื่นๆตามมาเยี่ยมก๋งครั้งสุดท้าย หน้าห้องไอซียูไม่ได้มีแค่พวกเราที่จับจองโซฟา แต่ยังมีคนอื่นที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันนั่งด้วย ผมพยายามมองหาแนเพราะอยากรู้ว่าแนเป็นยังไงบ้าง แต่หายังไงก็หาไม่เจอ เจอแค่สามทหารเสือนั่งกดเกมท่ามกลางเสียงบทสนทนาคร่ำเครียดของครอบครัว

     

    พี่อู๋ถึงโรงพยาบาลเป็นคนสุดท้าย เขาผลักประตูเข้าไปในห้องไอซียู ปล่อยให้กอริลลาก้องนั่งกับสามเสือเงียบๆอยู่หลายนาที ซักพักคุณอิศรินทร์ก็จูงมือแนออกมา ลูกคนอื่นๆสลับกันเข้าไป เรียงคิวแต่ละครอบครัวจนถึงหลานคนสุดท้าย แล้วแนก็กลับเข้าห้องไอซียูอีกครั้ง

     

    “ตกลงแม่ว่ายังไง?”

     

    น้องสะใภ้คนหนึ่งถามคุณแม่สร้อยเพชร ผมเดาเอาว่าคำตอบคงไม่ดีเท่าไหร่เพราะแกเริ่มร้องไห้ก่อนจะบอกให้ผู้ใหญ่พาเด็กๆกลับบ้าน

     

    “แม่จะให้เด้*กลับบ้าน” (พ่อ)

    “หมออนุญาตเหรอ?”

    “แม่เซ็นแล้ว” คุณแม่สร้อยเพชรสะอื้น “ไม่ต้องพูดอะไรมากนะ พาพวกเด็กๆขึ้นรถ ทำเหมือนวันปกติพอ”

     

    ผมได้แค่มองครอบครัวคุณอิศรินทร์หัวใจสลายหน้าห้องไอซียู บางคนร้องไห้เงียบๆ บางคนก็สะอื้นจนตัวสั่น ป้าอ้อยร้องหนักกว่าใครเพื่อน แกเรียกหาเด้ เด้ เด้ และตามด้วยเสียงครางฮือเหมือนจะขาดใจ หลานที่โตหน่อยน้ำตาซึมเพราะรู้ว่ากำลังจะเสียก๋งไป ส่วนเด็กเล็กๆถามพ่อแม่ตัวเองใหญ่ว่าร้องไห้ทำไม พอพวกเขาไม่ตอบ เด็กๆก็แหกปากร้องตาม

     

    “เดี๋ยวโรงพยาบาลจัดการให้ ไปรอที่บ้านเถอะ”

     

    ป๊าของพี่อู๋บอก ครอบครัวคุณอิศรินทร์ทยอยเดินลงบันไดไปลานจอดรถ ส่วนผม คุณแม่สร้อยเพชร และลูกของก๋งคนอื่นๆยังยืนอยู่หน้าไอซียู รอจนกระทั่งบุรุษพยาบาลเข็นเตียงก๋งไปที่ลิฟต์ ส่งขึ้นรถตู้ และขับนำไปบ้านของก๋งกับแน

     

     

     

     

     

     

    รถพยาบาลมาส่งถึงห้องของก๋ง ผมไม่รู้ว่าข้างในทำอะไรกันเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เขาไป แต่ได้ยินสมาร์ทบอกว่าพยาบาลถอดเครื่องช่วยหายใจก๋งแล้ว

     

    “จริงๆแม่เราก็ทำได้นะ แม่เราเป็นพยาบาล”

     

    สมาร์ทพูดเหมือนไม่เสียใจ แต่ผมเห็นเขานั่งน้ำตาคลอ

     

    “ไม่ต้องตามติดโกอู๋หรอก ปล่อยโกไว้แบบนั้นแหละ เวลาเสียใจโกไม่ชอบคุยกับใคร”

     

    ต่อให้สมาร์ทไม่บอกผมก็รู้ ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้ปกครองดี ดังนั้นตลอดช่วงบ่ายนายก้องเกียรติจึงไม่โผล่หน้าไปวุ่นวายบริเวณชั้นสองเลย หลานๆสลับกันเข้าออกห้องของก๋งตามปกติ ลูกเขยและสะใภ้แวะเวียนไปหาบ้างแต่คนที่อยู่ในห้องตลอดคือแน คุณแม่สร้อยเพชร และป้าอ้อย พี่อู๋ออกจากห้องก๋งตอนห้าโมงเย็น เขาร้องไห้จนตาบวมไม่ต่างจากเจ๊ออม แต่ก็ยังฝืนยิ้มและสั่งให้ผมไปซักเสื้อที่เพิ่งซื้อวันนี้

     

    “เสร็จแล้วมากินข้าวกันนะ”

     

    พี่อู๋บอก ผมจึงหิ้วถุงเสื้อผ้ากับกาละมังไปซักบนดาดฟ้า ขยี้ๆเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ผู้ปกครองซื้อให้ด้วยความทนุถนอม ผมตากเสื้อและกางเกงแสล็คไว้บนราวกลางแจ้งที่แสงแดดส่องถึง อากาศร้อนเหมือนซ้อมตกนรกขนาดนี้ ไม่กี่ชั่วโมงก็แห้ง

     

    นายก้องเกียรติทำหน้าที่ตัวเองเสร็จตอนพิซซ่ามาส่งพอดี เด็กๆที่หิวโซมาหลายชั่วโมงแย่งกันกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่ผู้ใหญ่บางคนได้แต่ยืนเหม่อเหมือนไปต่อไม่ถูก สามทหารเสือคือตรงกลางระหว่างความเศร้ากับรับความจริงได้ สากลกินน้อยลงนิดหน่อย สไปก์ปากดีเหมือนเดิม ส่วนสมาร์ทไม่พูดเลย ไม่กินพิซซ่าซักคำ

     

    “ตอนแรกโกอู๋จะเซ็น แต่แนไม่ให้” สมาร์ทชวนกอริลลาก้องคุย “แนรู้ว่ามันไม่มีหวังแล้ว ถ้าให้หลานเซ็น โกอู๋คงรู้สึกมีตราบาปจนวันตาย”

    “แนเซ็นเองเหรอ?”

    “อืม”

    “แนทำใจได้แล้วเหรอ?”

     

    ไม่มีคำตอบ สมาร์ทปิดเกมและยอมกินพิซซ่าร่วมกับกอริลลาก้อง นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงสามสิบห้านาที เด็กเล็กๆเล่นของเล่นกันไม่รู้เดียงสา หลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่ของพวกเขาก็ทยอยเรียกให้ขึ้นรถทีละครอบครัวและขับออกไป เหลือบ้านที่มีแค่ก๋ง แน คุณแม่สร้อยเพชร ป๊า ป้าอ้อย เจ๊ออม สามีเจ๊ออม ลูกของเจ๊ออม คุณอิศรินทร์และกอริลลาก้องเท่านั้น

     

    “อย่าลืมไปเอาหนังสือที่บ้านเรานะ” สมาร์ทย้ำก่อนขึ้นรถ “มาเอาช้า เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม เข้าไปไม่ได้นะจะบอกให้”

     

    ผมพยักหน้ายิ้มๆก่อนจะเดินเข้าบ้าน ในห้องนั่งเล่นใหญ่ ผมเห็นป๊าดื่มเหล้าในขวดแก้วคนเดียวเงียบๆ แกนั่งไขว่ห้าง ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ วางแก้ว ถอนหายใจ ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายหน นายก้องเกียรติที่เป็นส่วนเกินจึงเลี่ยงขึ้นไปชั้นสอง เมื่อเห็นว่าข้างนอกไม่มีคนอยู่จึงเดินขึ้นไปหาผู้ปกครองบนชั้นสาม แต่พอได้ยินเสียงบานพับประตูเปิด นายก้องเกียรติก็แอบย่องกลับมานั่งส่องที่ขั้นบันไดชั้นสองเพื่อรอดูว่าใครออกมา

     

    เป็นพี่อู๋กับเจ๊ออมนั่นเอง ตอนเจ๊ออมอยู่ในอ้อมแขนของคุณอิศรินทร์ เธอดูบอบบางเหมือนดอกไม้ที่แค่แตะก็ช้ำ แค่ลมพัดก็ปลิว ผมได้แต่มองสองพี่น้องกอดกันจนกระเสียงไวโอลินดังลอดมาจากห้องของก๋ง มันเป็นน้ำเสียงหวานเศร้าของผู้หญิงคนหนึ่ง มีใครเปิดเพลงจากวิทยุ

     

    เมื่อตะวันลับลา ฟ้าก็หมองมืดหม่น

    ทนเงียบเหงา อ้างว้าง

     

    เพลงนี้คงเป็นเพลงโปรดของใครซักคนในบ้าน พวกเขาอาจเปิดให้ก๋งฟังครั้งสุดท้ายก่อนจากกันตลอดกาล หรือไม่ก็แค่บังเอิญเปิดเฉยๆ แต่น้ำเสียงของนักร้องเศร้ามาก เศร้าจนวูบหนึ่ง ผมแอบคิดถึงแม่ที่จากไป

     

    เมื่อเธอลาลับไกล กลับอุ่นไอไม่สร่าง

    ใจฉันค้างเคียงเธอ

     

    ผมฟังเพลงนี้จบหนึ่งรอบและกลับขึ้นไปรอผู้ปกครองในห้องชั้นสาม วันนี้เป็นวันที่ยากมากสำหรับคุณอิศรินทร์ ผมก็เลยไม่ชวนคุยหรือถามอะไรให้มากความ เรานอนข้างกันเงียบๆในห้อง มีดาวสะท้อนแสงจางๆบนเพดาน ผมเป็นกำลังใจให้พี่อู๋ด้วยการบอกว่าไม่เป็นไรนะครับ แค่นั้น สั้นๆ จบ

     

    คุณอิศรินทร์ไม่ว่าอะไร ตอนนั้นพี่อู๋นอนหลับตา ไม่พูดกับผมซักคำนอกจากใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆบนแขนของกอริลลาจนหลับพร้อมกัน

     

     

     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าตีห้าสี่สิบนาที พี่อู๋ปลุกผม และบอกว่าก๋งตายแล้ว

     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าตีห้าห้าสิบสองนาที

     

    หลังก๋งจากไปแค่สิบกว่านาที รถทุกคันที่เคยจอดที่นี่ก็กลับมาอีกครั้ง เสียงร้องไห้ดังระงมทั่วทั้งบ้านทำเอาบรรยากาศหม่นเศร้าจนกอริลลาก้องแอบน้ำตาซึม ญาติๆส่วนใหญ่หายเข้าไปในห้องของก๋ง ผมเดาเอาว่าคงไปบอกลาหรือไม่ก็ช่วยกันเตรียมตัวให้ก๋งออกเดินทางครั้งสุดท้าย ส่วนคุณอิศรินทร์ไม่ได้อยู่ในห้องก๋ง ไม่ได้อยู่กับกอริลลาก้อง แต่ปลีกตัวขึ้นไปนั่งคนเดียวบนดาดฟ้า

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าเจ็ดโมงหกนาที

     

    ผมตกใจเมื่อเดินสวนกับชายวัยกลางคนที่สวมชุดยาวถึงตาตุ่ม เขาส่งยิ้มให้และพูดว่าสวัสดีลูก ขอพระเจ้าอวยพรทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน พอเห็นสมาร์ทเดินเข้ามาในบ้าน ผมก็รีบวิ่งไปหา ถามว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร ทำไมจู่ๆถึงเข้ามาในบ้านพี่อู๋ได้

     

    “คนที่โบสถ์น่ะ” สมาร์ทตอบเสียงอู้อี้ “พวกเขามาร้องเพลงกัน”

    “ร้องเพลงตอนนี้เนี่ยนะ?”

    “อื้อ เราเชื่อว่าความตายไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า แต่เป็นเรื่องน่ายินดี”

    “น่ายินดีตรงไหน?”

    “อย่างน้อยก๋งก็ไม่ต้องทรมานแล้วไง”

     

    ผมปลีกตัวไปนั่งหลบมุมระหว่างบันไดชั้นสองกับชั้นสาม คอยสอดส่องมองผู้คนเดินเข้าห้องของก๋งจนล้นออกมายืนเรียงแถวข้างนอก ซักพักพวกเขาก็พากันเปล่งเสียงร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดีในขณะที่ลูกหลานของก๋งน้ำตานองหน้า ร้องเพลงไม่เป็นภาษาจนได้ยินแค่เสียงสะอื้นและเสียงสูดน้ำมูกเท่านั้น

     

     

     

     

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าแปดโมงตรง ทุกคนในครอบครัวสวมชุดไว้ทุกข์สีขาวดำ

     

    ร่างของก๋งถูกบรรจุในโลงสีขาวประดับด้วยไม้กางเขนสีทอง นายก้องเกียรติแอบมองพิธีกรรมทางศาสนาผ่านบานกระจกห้องนั่งเล่น ทุกขั้นตอนดำเนินด้วยความสงบ พอเก้าโมงตรง รถบรรทุกคันเล็กก็เข้ามาจอดในบ้าน รับเอาก๋งไปส่งที่ไหนซักแห่งโดยมีลูกหลานขับรถตามเป็นขบวน รถตู้คันใหญ่สีขาวมีแนกับลูกๆวิ่งเป็นคันที่สอง ส่วนวีออสของพี่อู๋คือคันสุดท้าย เขารอจนกระทั่งทุกคนออกจากบ้านจึงขับตามไป

     

    รถบรรทุกขับเข้ามาในรั้วแห่งหนึ่งตรงข้ามที่ทำการเทศบาล ที่นี่มีตึกใหม่เพิ่งสร้างอยู่ทางซ้าย ส่วนด้านหน้าคือตึกชั้นเดียวก่อด้วยอิฐสีแดง ตอนเรามาถึง พวกเขายกก๋งเข้าไปวางในอาคารใหม่สีครีมเรียบร้อยแล้ว  โลงศพของก๋งถูกวางไว้ด้านหน้าของเวที ตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นจุดเด่นรวมสายตาโดยไม่ต้องใช้ของประดับ

     

    แต่งานศพของก๋งไม่เรียบง่ายเหมือนของแม่ ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจเมื่อเห็นรถกระบะขนดอกไม้สดเข้ามาจอดข้างอาคาร นักจัดดอกไม้มืออาชีพลงมือตกแต่งที่นอนของก๋งด้วยดอกเบญจมาศสีขาวเป็นร้อยๆดอก นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสี่สิบเก้านาที กรอบรูปของนายเตี้ยม แซ่ลี ถูกนำมาวางข้างโลง

     

    การเตรียมงานค่อนข้างวุ่นวายอยู่แล้วโดยเฉพาะงานของคนตายที่มีญาติและคนรู้จักเยอะเหมือนก๋งเตี้ยม ลูกๆของก๋งจึงต้องแบ่งงานกันทำคนละอย่าง คนหนึ่งทำแผ่นพับพิธีการ อีกคนเตรียมเมนูอาหารและติดต่อแม่ครัว อีกคนสั่งทำของที่ระลึก พวกเด็กๆที่ไม่รู้เดียงสาก็วิ่งเล่นไปทั่วโถงพิธี เล่นสนุกโดยไม่รู้ว่าความตายคืออะไร ส่วนสามทหารเสือนั่งกดเกมอยู่บนม้านั่ง สมาร์ทตาแดงก่ำเหมือนเพิ่งหยุดร้องไห้ ส่วนสไปก์กับสากลแค่ดูซึมๆ ผมเดินไปหาสามเสือเพราะไม่รู้จะขลุกตัวกับใครเพราะคุณอิศรินทร์หายไป เขาหายไปตั้งแต่ลงจากรถแล้ว

     

    “หาโกอู๋เหรอ?”

    “อืม” ผมขานตอบ “พี่อู๋อยู่ไหนอ่ะ?”

    “ติดประกาศหน้าบอร์ดให้สมาชิกรู้ว่าก๋งตาย”

     

    สมาร์ทชี้นิ้วไปยังอาคารอิฐแดง ผมเห็นพี่อู๋แล้ว เขากำลังหันหลัง ยืนแปะกระดาษบนบอร์ดกำมะหยี่สีแดง

     

    “เสียใจด้วยนะ”

    “เรื่องก๋งเหรอ?”

    “อืม”

    “เสียใจทำไม ต้องดีใจสิ” สมาร์ทพูด

    “สมาร์ทไม่เศร้าเหรอที่หลังจากนี้จะไม่ได้เจอก๋งอีกแล้ว?”

     

    สมาร์ทเงียบ เขาเบะปากกลั้นน้ำตานานหลายวินาทีก่อนจะร้องไห้ออกมา ผมไม่แซวเขานอกจากลูบหลังเบาๆ

     

    “เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก” สมาร์ทบอกอย่างมีความหวัง “ที่ไหนซักแห่ง -- เราจะได้เจอกันอีก”

     

    ผมไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ขัดคอ ถึงจะอยากบอกสมาร์ทว่าบางที --

     

    บางทีการยอมรับว่าเสียใจก็ไม่ใช่เรื่องผิด

     

    ในเมื่อเขารู้สึกเศร้ากับการจากไปของก๋ง เขามีสิทธิ์ร้องไห้ มีสิทธิ์ฟูมฟาย สมาร์ทไม่จำเป็นต้องพูดไดอะล็อกเหมือนคนในโบสถ์ ไม่จำเป็นต้องทำตัวร่าเริง เศร้าก็คือเศร้า แค่ร้องไห้ออกมา แค่ยอมรับมัน ไม่จำเป็นต้องฝืนเพื่อใครเลย

     

    พอเห็นสมาร์ทเริ่มร้องไห้ ผมก็นึกเป็นห่วงคู่ชีวิตของก๋ง ผมพยายามสอดสายตาหาแนแต่ไม่เห็นแกอยู่แถวนี้ ก็แค่ไม่เห็นนะ แต่เสียงแนน่ะ -- ดังสุดๆไปเลย

     

    “ม่ายล่าย ม่ายล่าย ม่ายเอาดอกกุหลาบ โกเตี้ยมม่ายชอบกุหลาบ”

     

    เสียงแนดังมาจากเก้าอี้แถวหน้าสุด แกคอยชี้นิ้วให้นักจัดดอกไม้ปรับแต่งนั่นนี่ตามประสาแม่งาน ผมแปลกใจที่ไม่เห็นแกนั่งร้องไห้จะเป็นจะตายอย่างที่คิด แนยังคงทำทุกอย่างเพื่อให้งานของสามีออกมาดีที่สุด ตรงใจก๋งที่สุด แม้ตอนนี้ก๋งจะไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆเพื่อบ่นเรื่องดอกกุหลาบสีชมพูและกลิ่นน้ำอบ แต่แนก็คอยกำกับควบคุมแทนก๋งอย่างดี

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามโมงเจ็ดนาที

     

    นายก้องเกียรติยังเดินเล่นบริเวณโบสถ์เพียงลำพัง ผมเตะก้อนกรวดพลางมองต้นไม้ที่ปลูกริมรั้ว หยุดอ่านประกาศบนบอร์ดกำมะหยี่สีแดง ช่วยคุณป้าคนหนึ่งกวาดกลีบดอกไม้เหี่ยวๆที่ร่วงหล่นบนพื้น ผมฆ่าเวลาทั้งหมดไปกับการเดินและสำรวจจนกระทั่งนักดนตรีของโบสถ์เดินทางมาถึง ผมได้ยินศิษยาภิบาลเรียกพวกเขาว่าทีมอนุชน เขาบอกครอบครัวคุณอิศรินทร์ว่าคนกลุ่มนี้แหละจะบรรเลงเพลงในงานของก๋ง

     

    หลังจากนั้นผมก็เดินเข้าไปในโถงของอาคารใหม่อีกครั้งเพราะความอยากรู้อยากเห็น ผมแอบนั่งมองทีมอนุชนปรับจูนเครื่องดนตรีเงียบๆและได้แต่คิดว่ามันดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ โลงศพสีขาว ไม้กางเขนสีทอง เปียโนสีน้ำตาลเก่าๆ กลองชุด กีต้าร์ คีย์บอร์ด เบส และแทมบูรีน นี่พวกเขาจะเห็นทุกอย่างเป็นงานรื่นเริงไม่ได้นะ

     

    “พี่หาตั้งนาน ไปวิ่งเล่นอยู่แถวไหนมา?”

     

    คุณอิศรินทร์ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เขาใช้มือดึงคอเสื้อเพื่อระบายความร้อน ผมยักไหล่แทนคำตอบ พื้นที่โบสถ์ก็มีแค่นี้ พี่คิดว่าผมจะไปไหนได้ถ้าไม่เดินเตะกรวดกับอ่านประกาศบนบอร์ด

     

    “เหนื่อยไหม?”

    “ผมต้องเป็นฝ่ายถามพี่ต่างหาก”

    “เหนื่อยดิ” พี่อู๋ตอบ คราวนี้ถึงกับหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อเลยเหรอพ่อ “ก้องอยากกลับบ้านก่อนไหม? กว่าพิธีวันนี้จะเสร็จก็เกือบสามทุ่มแน่ะ”

    “ผมกลับไปก็เหงาสิ ไม่มีพี่อยู่ด้วย”

    “เออ พูดจาเข้าหูดีว่ะวันนี้” คุณอิศรินทร์หัวเราะ แต่ผมไม่เข้าใจว่าเข้าหูตรงไหน ปกติเราคุยกันแบบนี้ประจำ “หิวหรือยัง? พี่จะพาไปกินข้าว”

    “แต่ผมเห็นแม่ครัวตั้งหม้อเตรียมเลี้ยงมื้อเย็นแล้ว”

    “ก็ให้แขกกินสิ ส่วนเราหาอะไรอร่อยๆข้างนอกกินดีกว่า”

    “แนไม่ว่าเหรอถ้าจู่ๆพี่หายตัวไป?”

    “โอ๊ย -- เขาชินกันทั้งบ้านแล้ว” พี่อู๋ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้า ไม่เหมือนพี่อู๋คนเดิมที่เคยสบถด่าการจราจรแยกรัชดาลาดพร้าวเลย “เนี่ย ร้านอร่อยอยู่ไม่ไกล นั่งสองแถวไปก็ได้”

     

    ผมพยักหน้าตกลง เอาเถอะ คุณอิศรินทร์อยากทำอะไรผมก็ไม่ขัดแล้วเวลานี้ เราสองคนเดินออกจากโบสถ์เงียบๆไม่ได้บอกใครว่าจะไปกินข้าวที่ไหน พอเห็นรถสองแถวสีน้ำเงินวิ่งเข้ามาเทียบฟุตปาธ เราก็กระโดดขึ้นรถโดยมีเสียงแนตะโกนไล่หลัง

     

    “ไอ้หมูอู๋!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

     

    ผมหัวเราะก๊าก ไอ้หมูอู๋ ไอ้หมูอู๋ สมน้ำหน้า กลับมาต้องโดนแนด่าแน่ๆเลย

     

     

     

     

    ผมรู้มาว่ารถสองแถวราคาสิบบาทตลอดสาย

     

    พี่อู๋ยื่นแบงค์ยี่สิบให้คนขับเมื่อรถจอดเทียบใกล้กับสี่แยกไฟแดงตรงกับสะพานลอยสีแดง ผมเห็นซุ้มประตูแบบจีนบนสะพานด้วย แถวนี้มีร้านขายทองเรียงรายติดๆกัน ที่มากพอๆกับร้านทองคือร้านขายยา พวกเขาแทบจะเปิดร้านสลับกันเลย ร้านทอง ร้านขายยา ร้านทอง ร้านขายยา ร้านขายนาฬิกา ร้านขายทอง ร้านขายทอง ร้านขายยา

     

    ร้านขายทองเยอะๆ -- แสดงว่าแถวนี้คือบ้านสมาร์ทใช่ไหม?

     

    ผมไม่ได้ถามพี่อู๋เพราะเห็นเขาเหนื่อยมาทั้งวัน แถมยังพากอริลลาก้องออกตะลุยกินร้านอร่อยที่ซุกอยู่ในหลืบในซอยอีก ช่วงแรกที่เราเดินบรรยากาศก็คึกคักดี ร้านค้าพวกนี้ถูกทาสีใหม่แต่กลิ่นอายความคลาสสิคยังหลงเหลืออยู่ เราเดินผ่านหน้าร้านขายเบเกอรี่ที่ชื่อวังเด็ก ผ่านร้านขายสังฆภัณฑ์ ร้านขายของเด็กอ่อน ข้ามถนนบนทางม้าลายซึ่งเป็นการข้ามแบบเสี่ยงตายเพราะไม่มีใครจอดให้เรา พี่อู๋ต้องจับมือผมแน่นเพื่อค่อยๆเดินทีละนิด ทีละนิด และก้มหัวขอบคุณเมื่อรถเก๋งคันหนึ่งจอดให้เราข้าม

     

    “ใกล้ถึงแล้วล่ะ”

     

    คุณอิศรินทร์บอกและพาข้ามถนนอีกรอบ คราวนี้เรายืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องเขียน มีกระเป๋านักเรียนห้อยต่องแต่งเหมือนสอยดาวตามงานวัด ทีแรกผมคิดว่าร้านอร่อยของเขาจะเป็นห้องอาหาร มีแอร์ มีบานกระจก มีการจัดตกแต่งดีๆเหมือนที่เรามักจะไปในกรุงเทพ แต่ยิ่งเดินเข้าลึกเข้าไปในซอยผมยิ่งคิดว่าไม่น่าใช่ เพราะซอยที่เรากำลังเดินอยู่นั้นแคบมาก แคบจนรถยนต์วิ่งเข้ามาไม่ได้ บนถนนขรุขระมีแอ่งน้ำขังเพราะขาดการซ่อมแซม ผมเดินย่ำแอ่งน้ำ เดินผ่านกองขยะ ผ่านบ้านเก่าๆที่ดูเหมือนบ้านร้าง ก่อนจะเห็นแสงไฟลอดออกมาจากอาคารหลังนึง

     

    “ร้านโกชิน” พี่อู๋บอกเมื่อเห็นกอริลลาอ้าปากเหวอ “อย่าตัดสินจากหน้าร้านนะ กินก่อน แล้วค่อยวิจารณ์”

     

    พี่อู๋พาผมไปนั่งที่โต๊ะเก่าๆตัวหนึ่งซึ่งมีผ้าคลุมโต๊ะเป็นป้ายไวนิลโฆษณา มีเหยือกน้ำวางอยู่ข้างๆ มีทิชชู่สีชมพู ไม้จิ้มฟัน ตะกร้าใส่ช้อนส้อมและกล่องใส่ตะเกียบ ดูเผินๆเหมือนร้านสตรีทฟู้ดทั่วไปในกรุงเทพ แค่เปลี่ยนจากบนฟุตปาธมาเป็นถนนเส้นเล็กๆที่มีแอ่งน้ำขัง มีกลิ่นชื้นแฉะ มีกลิ่นอายความวังเวง

     

    คุณอิศรินทร์สั่งผัดเครื่องแกงหมูกรอบ ไข่เจียวหมูสับ เกี๊ยวปลา และผัดผักบุ้งไฟแดงซึ่งเมนูพื้นฐานที่กินร้านไหนก็ได้ ระหว่างรอกับข้าวมาเสิร์ฟ ผมใช้นิ้วเคาะโต๊ะทบทวนโน้ตเพลงเบาๆ ส่วนพี่อู๋อยู่ในโหมดนั่งมองกอริลลาก้อง มอง แล้วถอนหายใจ มองใหม่อีกที แล้วก็ถอนหายใจอีก ผมถามเขาว่ามองทำไม หน้าผมมีรอยเท้าใครแปะอยู่เหรอ

     

    “พี่แค่สงสัยว่าก้องผ่านมันมาได้ยังไง?”

     

    คุณอิศรินทร์ถาม แต่ผมไม่รู้สึกว่านั่นคือคำถาม ผมคิดว่าเขาแค่พูดกับตัวเองมากกว่า 

     

    “ก้องเก่งมากเลยนะที่ยังอยู่ถึงวันนี้”

    “เก่งอะไร ตอนนั้นผมจะฆ่าตัวตายแล้ว แต่พี่นั่นแหละเข้ามาขวาง ผมถึงยังทนหายใจอยู่จนทุกวันนี้ไง”

    “ก้องเคยรู้สึกเสียใจบ้างไหม?”

    “เรื่องอะไรครับ?” ผมถาม

    “ที่ยังมีชีวิตอยู่ --” คุณอิศรินทร์เท้าคางและจ้องหน้าผม “ถ้าวันนั้นพี่ปล่อยให้ก้องกระโดดลงไป ก้องว่าเราจะเป็นยังไง?”

    “ไม่เป็นไง ผมก็แค่ตาย ส่วนพี่ก็เป็นมนุษย์เงินเดือนต่อไป ทำไมจู่ๆพี่ถึงพูดเรื่องนี้ --”

     

    กับข้าวก็ถูกเสิร์ฟขัดจังหวะเวลา ทีแรกผมตั้งใจรอให้เด็กเสริ์ฟเดินไปไกลๆแล้วค่อยถาม แต่กลิ่นหอมของเครื่องเทศ สีสันจัดจ้านของอาหารทำให้คำถามถูกกลืนลงคอ บนโต๊ะของเรามีผัดเครื่องแกงหมูกรอบสีส้มที่มีใบมะกรูด พริกชี้ฟ้า และถั่วฝักยาวเป็นส่วนประกอบ ผมไม่ว่าอะไรเมื่อเห็นถั่วฝักยาวในกับข้าวจานนี้ แต่ถ้าเจอถั่วฝักยาวในกะเพราล่ะก็ -- ก็ไม่อะไร ผมจะกินให้เกลี้ยงเหมือนกัน

     

    เครื่องแกงหมูกรอบเพิ่งวางได้ไม่กี่วินาที เกี๊ยวปลาน้ำใสกับผัดผักบุ้งจานใหญ่ก็ตามมาเป็นจานที่สองและสาม ปิดท้ายไข่เจียวฟูฟ่อง โอ้โห -- ผมต้องขอลืมเรื่องที่จะคุยกับผู้ปกครองไปก่อน อาหารตรงหน้ามันยั่วจนไม่อยากให้มีคำไหนหลุดออกจากปากนอกจากคำว่า “อร่อย”

     

    “อร่อย!”

    “ยังไม่ได้กิน!” พี่อู๋ตบมุก เขาหัวเราะไหล่สั่นพลางตักหมูกรอบให้กอริลลาหนึ่งชิ้น “นี่หมูกรอบ เนื้อแน่น หนังกรอบแบบเหนียวๆ เคี้ยวจนปวดกราม ลองชิมดูนะ”

     

    นายก้องเกียรติตักหมูกรอบกับข้าวสวยใส่ปาก รสสัมผัสของผัดเครื่องแกงจานนี้ไม่เหมือนที่เคยกิน หนังหมูกรอบกัดแล้วกังกร๊อบ เนื้อหมูก็แน่นจนต้องออกแรงเคี้ยวเหมือนที่พี่อู๋ว่า แต่ทีเด็ดของจานนี้คือเครื่องแกง เครื่องแกงที่ใช้ผัดทั้งหอมและมัน เผ็ดร้อนนิดหน่อยให้พอรู้ว่า เออ ฉันเผ็ดนะ ฉันคือเครื่องแกงตำด้วยสากคนใต้ รสชาติไม่ติดหวานหรือไม่เค็มจนเกินไป เป็นความกลมกล่อมแบบเผ็ดร้อนที่โคตรลงตัว ผมชอบจานนี้มากๆ ให้สิบคะแนนเลย 

     

     เราสองคนกินข้าวด้วยกันเหมือนตายอดตายอยากมาจากไหน ผมตักหมูกรอบ ราดด้วยน้ำซุปหวานกระดูกหมูและกินหนึ่งคำ คำที่สองตักไข่เจียว คำที่สามผัดผักบุ้ง แล้ววนกลับไปกินหมูกรอบอีกครั้ง เรากิน กิน กินจนเรอดังเอิ๊ก กินจนเกลี้ยงไม่เหลืออะไรติดจานนอกจากใบมะกรูดกับพริก พี่อู๋ดูมีความสุขขึ้นเยอะเมื่อได้กินข้าวที่นี่ ผมถามเขาว่าชอบร้านนี้มากเลยเหรอ เขาส่ายหน้าและตอบว่า

     

    “ร้านไหนไม่สำคัญหรอก” คุณอิศรินทร์พูดทั้งๆที่ยังคาบไม้จิ้มฟันในปาก ท่าทางดูเหมือนกุ๊ยประจำซอยในละคร “ที่สำคัญคือมากินกับใครต่างหาก”

     

    ผมทำเป็นพยักหน้า อ๋อ เหรอ เหรอครับ อืม อืม แล้วลุกขึ้นเมื่อผู้ปกครองจ่ายค่าข้าวเสร็จ คราวนี้เขาเดินทะลุออกไปทางท้ายซอย ข้ามถนนเส้นเล็กๆอีกสายและเดินบนฟุตปาธ พอถึงหัวมุมที่เป็นร้านขายของเขาก็เลี้ยวซ้ายก่อนจะหันมาบอกนายก้องเกียรติว่า

     

    “กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่”

     

    อะไรของพี่วะ --

     

    ผมสบถในใจ พอเดินเข้าไปใกล้ถึงรู้ว่าพี่อู๋พามาซื้อขนมจากรถพ่วงข้างที่จอดขายหน้าห้างลัคกี้ ตอนแรกผมไม่รู้ว่าเป็นร้านขายขนมไทยด้วยซ้ำ เห็นคนยืนมุงเป็นวงกลม ผมคิดว่าเขากำลังเก็งหวยกัน ที่ไหนได้ ต่อคิวซื้อขนม

     

    “เอาทองหยิบยี่สิบบาทครับ ฟักทองสังขยาสามชิ้น แล้วก็ --” พี่อู๋หันมาถามผม “ก้องชอบทองอะไร? ทองหยิบ? ทองหยอด? ฝอยทอง?”

    “ทองคำแท่ง”

    “มะเหงกสิ” เขาเขกหัวกอริลลา ผมบุ้ยปาก ก่อนจะบอกว่าทองหยิบครับ

    “งั้นทองหยิบยี่สิบบาทอีกถุงนึงครับ”

     

    เรายืนรอคิวเกือบห้านาทีกว่าได้ขนมไทยมาครอบครอง พอซื้อเสร็จ ทุกอย่างก็กลับมาว่างเปล่าเพราะไม่มีจุดหมายให้ไปต่อ ผมคิดว่าซักพักพี่อู๋คงจะโบกสองแถวกลับโบสถ์ แต่ความจริงคือเขาไม่ยอมกลับ คุณอิศรินทร์พาผมเดินเที่ยวเล่น แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวประดุจตัวเองเป็นไกด์ นี่คือห้างเก่าแก่ของเมืองนะครับ ลัคกี้คือห้างที่อยู่ทางซ้าย ถัดไปคือสหไทยตั้งอยู่ด้านขวา ถ้าอยากซื้อของที่ระลึกเชิญด้านนี้ครับ

     

    “ยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่พี่เลย”

     

    ผมรู้สึกเหมือนได้พี่อู๋คนเดิมกลับมาตอนที่เขาจูงมือพากอริลลาข้ามถนน เราเดินเล่นชั้นใต้ดินในห้างสหไทยเพื่อซื้อขนม เดินดูเสื้อผ้าราคาถูกที่แขวนห้อยบนราว เดินผ่านโซนขายเครื่องสำอางเทลมีและยี่ห้องอื่นๆที่ไม่เคยเห็นโฆษณาในทีวี คุณอิศรินทร์พานายก้องเกียรติไปโซนกิฟต์ช็อปที่ชั้นสาม ในนั้นขายเครื่องเขียนแทบจะทุกชนิดในประเทศคอน ผมเดินเข้าล็อคนั้นออกล็อคนี้ ยืนทดลองขีดเขียนปากกาสีเล่นๆ ลองไฮต์ไลท์ ลองเปิดดูสมุดบันทึกแบบต่างๆ ในขณะที่คุณอิศรินทร์ยืนเลือกกรอบรูปถ่ายตั้งโต๊ะ เขาเลือกอยู่พักใหญ่จึงหยิบไปจ่ายเงิน

     

    “ก้องไม่อยากได้อะไรเหรอ?”

     

    พี่อู๋ถามเมื่อเห็นกอริลลาเดินมาหาตัวเปล่า ผมบอกเขาว่าไม่มีของที่อยากได้เพราะทดลองทุกสีจนพอใจแล้ว สนุกมากครับ ขณะกำลังจ่ายเงิน เสียงโทรศัพท์ของพี่อู๋ก็ดังขึ้น นายก้องเกียรติจอมเสือกแอบมองหน้าเจอเพื่อดูว่าใครโทรมา

     

    เจ๊ออม is calling

     

    โดนด่าแน่ๆพี่ไอ้หมูอู๋

     

    ผมคิด และก็เป็นจริงตามนั้น พี่อู๋หน้าบูดทันทีที่รับสาย เดาเอาว่าเจ๊ออมคงตามให้กลับไปช่วยงานของก๋ง นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงห้าสิบเอ็ดนาที คุณอิศรินทร์จูงมือนายก้องเกียรติขึ้นสะพานลอยสีแดงข้ามไปอีกฝั่งเพื่อนั่งรถสองแถวกลับโบสถ์

     

    ช่วงใกล้หนึ่งทุ่มของที่นี่ ท้องฟ้าจะมืดสนิท มองไม่เห็นแม้แต่สีน้ำเงินของท้องฟ้า มีแค่แสงจากเกาะกลางถนนเท่านั้นที่ให้ความสว่าง ผมกับพี่อู๋นั่งตรงข้ามกัน เขาพิงหัวกับขอบหลังคารถสองแถวราวกับมันหนักเกินกว่าจะนั่งหลังตรงด้วยตัวเอง พอเห็นสภาพแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ และสายตาแบบนี้ ผมก็เข้าใจทันทีว่าการหนีออกมากินข้าวกับผมไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการไตร่ตรอง พี่อู๋คิดไว้แล้ว เขาวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะออกจากโบสถ์ตอนกี่โมงเพื่อไปที่ไหน ไปทำอะไร ไปกับใคร แผนการที่เขาทำไม่ใช่แค่ความดื้อรั้นของหลานชายคนโต

     

    แต่พี่อู๋กำลังหนีความจริง

    เขาหนี -- จากจุดที่ทำให้เขาทุกข์ใจ

     

    แต่ไหนแต่ไรผู้ปกครองของผมไม่ชอบเผชิญหน้ากับความจริงอยู่แล้ว เขามักจะหนี หลบซ่อน พยายามเลี่ยงหรือบ่ายเบี่ยงไม่ให้ตัวเองปะทะกับความเจ็บปวด เขามักจะพาตัวเองออกจากตรงนั้นเสมอ ตอนคบกับคุณหมูพีก็เช่นกัน พี่อู๋ไม่ยอมพูดตรงๆว่าไม่อยากไปต่อ เขามัวแต่รอเวลา ดึงเวลาให้คุณหมูพีเป็นฝ่ายเบื่อจนต้องขอไปเอง แต่พอสถานการณ์มันไม่ได้ดั่งใจ คุณหมูพีไม่ยอมไปง่ายๆ เขาจึงต้องยอมเจ็บตัว ดับเครื่องชนพุ่งเข้าใส่ทุกปัญหาอย่างบ้าคลั่งราวกับไม่กลัวผลตามมา พอทุกอย่างจบลง เขาก็จะกลับมาเป็นคุณอิศรินทร์คนเดิม คนธรรมดามีบาดแผลเต็มตัวและพยายามหาความสุขใส่ในโลกของตัวเองเพื่อทดแทนสิ่งที่หายไป

     

    นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มตรง พี่อู๋กดกริ่งเพื่อให้รถสองแถวจอดหน้าที่ทำการเทศบาล ทันทีที่ลงจากรถเราก็ยืนรอริมฟุตปาธ เตรียมข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อร่วมงานของก๋ง แสงไฟนีออนจากคริสตจักรบอกเราทางอ้อมว่าพิธีไว้อาลัยของคืนแรกใกล้เริ่มเต็มทีแล้ว ผมหันไปมองผู้ปกครอง มองใบหน้าที่ราบนิ่งเหมือนไม่เสียใจโดยไม่พูดอะไร

     

    พี่อู๋ของผม

    พี่อู๋ที่น่าสงสาร --

     

    การออกไปข้างนอกช่วยให้ลืมว่าก๋งตายก็จริง แต่การเห็นโลงศพสีขาวและไม้กางเขนสีทองบรรจุร่างของก๋งเอาไว้เป็นยิ่งกว่าการเฆี่ยนตีให้ได้แผล ในสมองพี่อู๋คงกำลังท่องว่าก๋งตายแล้ว ก๋งตายเมื่อเช้า และวันนี้เขาต้องเข้าร่วมพิธีศพของก๋งในฐานะหลานชายคนโต ก๋งจากไปแล้ว ก๋งจากไปเมื่อเช้า และหลังจากนี้เขาจะไม่ได้เห็นก๋งอีก

     

    เรายืนรอหาโอกาสข้ามถนนอยู่นานมาก ไม่ใช่ว่ารถไม่จอดให้เราข้าม แต่พี่อู๋ไม่ยอมเดินต่างหาก เขามองไม้กางเขนบนอาคารหลังคาอิฐสีแดงด้วยแววตาว่างเปล่า ผมจับมือคุณอิศรินทร์เอาไว้แน่น ตอนที่เขาหันมา ผมไม่ได้พูดว่าข้ามถนนซักทีเถอะครับ แต่ผมจับเฉยๆ แค่จับเอาไว้เฉยๆ ถ้าพี่อู๋ไม่อยากข้าม ผมก็ไม่ข้าม เราจะยืนทำใจอยู่ตรงนี้อีกหน่อยก็ได้ ต่อให้อยากบอกคุณอิศรินทร์ว่าพี่หนีความจริงไม่ได้ แต่ผมไม่มีวันผลักไสเขาให้เผชิญหน้ากับความสูญเสียเหมือนที่คนอื่นทำ ไว้พี่อู๋พร้อมเมื่อไหร่ค่อยยอมรับมันก็ได้ เหมือนที่ครั้งหนึ่งผมเคยท่องติดหัวว่า แม่ผูกคอตายตรงราวบันได ผมท่องตลอด แม่ตายแล้ว แม่ผูกคอตายบนราวบันได แต่พอเวลาผ่านไป คำว่า แม่ตายแล้ว แม่ผูกคอตายตรงราวบันได ก็หายไปด้วย เหลือแค่ความทรงจำดีๆของเรา ซึ่งวันหนึ่งในอนาคต อนาคตที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ผมเชื่อว่าพี่อู๋จะทำใจได้ เขาจะทำใจได้แน่นอน สมองของเขาจะเหลือแค่ความทรงจำดีๆระหว่างเขาและก๋งไว้ให้คิดถึง วันหนึ่ง พี่จะเข้าใจและยอมรับมันด้วยด้วยตัวเอง วันหนึ่ง -- วันหนึ่ง --

     

    วันหนึ่ง -- พี่จะเข้มแข็งพอจนรับได้ว่าคนที่พี่รักจะต้องค่อยๆทยอยล้มหายตายจากไปทีละคน ทีละคน มันคือสัจธรรม มันคือความจริง ถ้าหากมันเจ็บจนไม่อยากรับรู้ สิ่งที่พี่ทำได้คือหนีไปเรื่อยๆ หนีวนเป็นวงกลม หนีหัวซุกหัวซุน แต่การทำแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก จริงๆนะ มันไม่เป็นไร พี่ไม่จะตาย พี่จะไม่ตายแค่เพราะคนที่พี่รักจากไป แต่พี่ตายแน่ถ้าพี่ไม่รักตัวเอง ถ้ายังปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือช่วงก่อนเลิกกับคุณหมูพี พี่ตายแน่

     

    “ไปกันเถอะก้อง ถนนโล่งแล้ว”

     

    พี่อู๋พูดหลังจากยืนเหม่อเป็นนาที ผมบีบมือเขาแน่น เราสองคนจูงมือข้ามทางม้าลายด้วยกัน อย่ากลัวเลยนะพี่อู๋ ผมบอกเขาในใจ นายก้องเกียรติจะอยู่ตรงนี้ ผมจะคอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้พี่จากข้างหลังเองครับ




    TBC


    ___________________

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in