ความเดิมจากลิ่วเหยาเล่มสอง
ความลับของตราเจ้าสำนัก ความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างสำนักฝูเหยา และสำนักโหราศาสตร์ในอดีตรวมทั้งศิษย์ทุกรุ่นของฝูเหยาต้องปรากฏมารปีศาจดุจดังคำสาปไม่เว้นแม้แต่รุ่นของพวกเขา หานยวนกลายเป็นมารใหญ่มังกรน้ำที่แทบจะทัดเทียมประมุขบาดาลเหนือซึ่งเป็นอดีตปรมาจารย์แห่งเขาฝูเหยา ขณะเดียวกันเขาก็ได้เผชิญกับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ตามมาเพื่อจับเขากลับไปก่อนจะโดนสำนักอื่น ๆ จัดการ ทางด้านเฉิงเฉียนไม่ใช่เพียงต้องรับมือกับเรื่องของหานยวน ศิษย์พี่ใหญ่ของเขากำลังอยู่บนเส้นด้ายของความเป็นความตายที่ฝืนเลื่อนสถานะวิญญาณกระบี่ของตน เขาตัดสินใจกลับไปหาอาจารย์เพื่อหาวิธีช่วยเหยียนเจิงหมิงอย่างไม่ละทิ้งความหวัง ขณะเดียวกันการเดินทางครั้งนี้ก็ทำให้เขารู้ว่า ศิษย์พี่ใหญ่ไม่เอาไหนคนนี้มีความสำคัญต่อชีวิตและจิตใจของเขามากแค่ไหน
ความรู้สึกหลังอ่าน (สั้น ๆ ไม่ปสอยล์)
หลังอ่านเรื่องนี้จบเรารู้สึกประทับใจมากจริง ๆ พัฒนาการตัวละครมีครบทุกคน และคนเขียนใช้งานตัวละครทุกตัวคุ้มมากมีปมโยงใยกันไปหมด เล่มนี้ก็ไม่ทิ้งลายลุ้นระทึกเช่นเคย มีฉากขนลุกเยอะในเชิงเปิดสกิลตัวละคร และการสลับไปมาระหว่างฉากสำคัญของเรื่องทั้งสองฝั่ง ลงตัวมาก ๆ แน่นอนว่าในเรื่องของความสัมพันธ์ของพี่น้องเป็นสิ่งที่เราประทับใจที่สุด แต่เรื่องความรักของเหยียนเจิงหมิงกับเฉิงเฉียนก็สร้างความประทับใจให้เราไม่แพ้กัน การกระทำ คำพูด ไม่ต้องเยอะ แต่อ่านแล้วรู้ได้ นี่เป็นเสน่ห์อย่างนึงของเรื่องนี้ สำหรับเราเรื่องราวความรักในเรื่องที่ออกน้อย มีคำบรรยายแค่ไม่กี่ประโยคแท้ ๆ กลับเหมือนรับรู้ความรักของสองคนนี้เหมือนมีนิยายเล่มหนึ่งเป็นของตัวเอง คงไม่พ้นคู่ปรมาจารย์ถงหรูกับอาจารย์หานมู่ชุน เรื่องนี้ขึ้นหิ้งปีนี้ของเราแน่แล้ว
จากตรงนี้เราขอเล่าเรื่องเป็นเรื่องราวเส้นทางชีวิตของแต่ละคนนะคะ มีสปอยล์หลุดแน่ ๆ หลบจากตรงนี้ได้เลยค่ะ
เรื่องเล่าหลังอ่าน (ต้องบอกว่า...สปอยล์มาก และยาวว)
ปรมาจารย์ถงหรู : ก่อนอ่านมาถึงเล่มสาม พวกเราเห็นปรมาจารย์ท่านนี้ออกในฐานประมุขมารบาดาลเหนือที่ดูลึกลับ เก่งกาจ และนิ่งสงบ ต่อมาเมื่อเหยียนเจิงหมิงเข้าไปในตราเจ้าสำนัก เราก็ได้รู้ว่าเขาคือคนที่เก่งกาจซึ่งมีจิตใจรักที่มั่นคง ขนาดที่ทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนชะตาคนรัก เมื่อมาในเล่มสามถึงได้เห็นนิสัยเดิมที่แท้จริงของเขา ยามเป็นอาจารย์คนเขาเป็นคนเข้มงวดที่เปลือกนอกในใจคือขี้ใจอ่อนกับคนรักมาก ๆ แม้เป็นบทเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้เห็นภาพของตัวละครตัวนี้ชัดมากเลยค่ะ
บทที่ชอบ : “...บนแท่นไม่เสียใจมีรอยเท้าเปื้อนติดสีเลือด บัดนี้คราบเลือดเผยสีสนิมอันคร่ำคร่าออกมา แต่ถูกแท่นไม่เสียใจเก็บรักษาไว้ด้วยความซื่อสัตย์ หลายร้อยปีมิได้ซีดจางสักนิด...ปีนั้นถงหรูบุกเข้ามาลำพัง...ขาข้างหนึ่งเหยียบแท่นไม่เสียใจ อีกข้างยังอยู่บนบันไดหิน ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล...ยันมือไว้บนหัวเข่าของตนอย่างหมดแรง จึงทิ้งรอยเท้าหนักเช่นนี้ไว้...ขณะที่เขาใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายจนหมด เพื่อเงยหน้ามองไปยังหินสารพัดนึก...จะเหมือนมองดูฝันอันห่างไกลมิอาจสัมผัสหรือไม่”
// แค่บรรยายสั้น ๆ แต่ตรึงใจมากก T-T
อาจารย์หานมู่ชุน : อ่านเล่มแรกจะเห็นว่าเด็ก ๆ บรรยายอาจารย์ของพวกเขาไว้เป็นคนไม่น่าเชื่อถือสักนิด และไม่น่ามีพลังเทพเซียนอะไรได้ แต่หารู้ไม่หลายปีต่อมาสิ่งที่อาจารย์ของพวกเขาทิ้งไว้ตั้งแต่วิชาดาบของสำนักไปจนถึงภาษาศีล ของแต่ละคน กลับเป็นชะตาลิขิตของพวกเขาที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง พออ่านเล่มสาม ทุกคนจะรู้เลยว่าศิษย์สำนักฝูเหยาไม่มีใครเคารพอาจารย์สักนิดจริง ๆ หานมู่ชุนสมัยอยู่กับถงหรู แม้เป็นคนฉลาดมีพรสวรรค์ แต่ไม่ยอมฝึกปรือ ดื้อตาใสกับอาจารย์ วัน ๆ เอาแต่ปลูกดอกไม้ให้อาจารย์ชื่นชม บ้างก็หมักสุราให้อาจารย์ดื่ม...อ่าน ๆ ไปเหยียนเจิงหมิงมีส่วนคล้ายเขาไม่น้อยเลย (เหมือนกรรมสนอง 55555)
บทที่ชอบ : “ ...ในขณะนั้นหานมู่ชุนพลันดึงมือของเขาเอาไว้อย่างสนิทสนมเหลือเกินมองดูธารดาราที่เหมือนเวิ้งน้ำผืนหนึ่งในแววตาเขา...ความคิดถึงพึงรู้เปล่าประโยชน์ ขอเศร้าซึ้งสุดโศกตราบชีพวาย...หากตายไม่เสียดายได้ ก็นับว่าเหินหาวแล้วกระมัง”
// บทประทับใจอาจารย์หานเยอะ โดยเฉพาะกับเฉิงเฉียน แต่สุดท้ายก็ขอเอาบทอ้อม ๆ นี้มา เพราะมันเป็นไม่กี่บรรทัดที่น้อย แต่บอกเล่าทุกอย่างของคู่นี้หมดแล้วค่ะ ฮืออ
เหยียนเจิงหมิง : ศิษย์เปิดขุนเขาผู้สืบต่อสายเลือดแห่งฝูเหยาที่ขาดหายไปเป็นร้อยปี ได้ภาษา ศีล ขัดเกลา จากอาจารย์ เดิมแต่เด็กอาจารย์ปล่อยเขาอยู่สุขสบายอย่างตามใจ จนช่วงหลังเฉิงเฉียนถึงกับคิดในใจว่านั่น เพราะอาจารย์รู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่าพ้นช่วงวัยนี้ไป ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาคนนี้จะพบเจอแต่ความลำบาก
อ่านมาถึงเล่มสามเรารู้สึกว่าในบรรดาศิษย์ 5 คน เหยียนเจิงหมิงคือคนที่ไม่เกี่ยวกับอดีตของฝูเหยาที่สุด แต่เขากลับถูกดึงมาแบกรับเรื่องราวของสำนักแห่งนี้หนักหน่วงที่สุด สองสิ่งที่เขาพอจะเหมือนคนในอดีต คงเป็นความรู้สึกของเขาที่เหมือนถงหรู และนิสัยบางอย่างที่เหมือนหานมู่ชุน เขามักถูกบรรยายว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่แปลกประหลาด เพราะดูเป็นคนไม่ยึดติดเท่าไร แต่พออ่านจบ เราคิดว่าเขาสมแล้วที่ฝึกกระบี่ได้ เขายึดติดความงาม ยึดติดความสบาย ยึดติดที่จะรับผิดชอบ ยึดติดในหน้าที่ ยึดติดที่จะปกป้องน้อง และยึดติดที่จะรัก นั่นจึงทำให้เขาบีบคั้น ขัดเกลา ใช้เคราะห์ภัยเป็นดาบ ทำกายใจเป็นหยก ฝึกตัวเองจนสำเร็จวิญญาณกระบี่ในที่สุด
บทที่ชอบ :
: “ ไม่เป็นไรนะเฉิงเฉียน มีศิษย์พี่อยู่”
: “ ข้ายังมีชีวิตอยู่ทำไม มิสู้ไปด้วยกันกับเขาดีกว่า ” ...
: “ หากข้าบรรลุเต๋า ก็วางอำนาจบาตรใหญ่ เข่นฆ่าตามใจ ใช้กำลังปล้นชิง ผู้ใดกล้าขวางทางข้า ข้าต้องสับเขาเป็นหมื่นชิ้น ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดแน่ ไม่ว่าเขาจะเป็นเทพหรือพุทธองค์ ! ...มีสิทธิ์อะไร !”
: “ ทั้งร่างเหยียนเจิงหมิงส่ายเอน บนร่างเริ่มมีเลือดซึมออกมาแล้ว กระบี่ยาวของเขาแตะพื้น ฝืนหยัดยืนเอาไว้ สายตากลับเลื่อนลอยแล้ว พึมพำเสียงแผ่วเบาประโยคหนึ่งอย่างไร้สติ ‘เสี่ยวเฉียน...’"
// คนนี้ก็มีอะไรให้ประทับใจเยอะ สองฉากตรงกลางชอบเพราะรู้สึกว่าหาได้น้อยมากที่พระเอกคนนี้จะโมโห ส่วนท่อนสุดท้ายเป็นฉากที่สุดสำหรับเราฉากหนึ่ง ต้องรักแค่ไหนถึงตายเลยไม่ยอมถอยสักก้าว
หลี่อวิ๋น : ศิษย์คนที่สองที่ดูแล้วเหมือนจะไม่โดดเด่น และชอบใช้วิชานอกรีต มีปัญญาหลักแหลมแต่หวั่นไหวง่าย อาจารย์จึงให้ภาษาศีลแก่เขาว่า หนักแน่น แต่เดิมวัยเด็กเขาชอบเล่นซนคู่กับหานยวน ต่อมาได้แรงกดดันจากเฉิงเฉียนจึงเปลี่ยนตนเอง หลายครั้งมักคล้อยตามพี่น้อง มีความคิดเป็นของตนเองแต่จุดยืนไม่หนักแน่นพอ แต่พออ่านมาจนถึงเล่มสาม พัฒนาการของหลี่อวิ๋นกลับชัดขึ้นท่ามกลางเบื้องหลังอันโดดเด่นของศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่น
ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่เล่มสองเป็นต้นมา จะเห็นว่าเขามักพัฒนาตนเองในยามที่พี่น้องคนอื่นมีเรื่องหนักให้ต้องแบกรับ อย่างมีปราณสัมผัสแรกได้ก็ตอนเหลือกันแค่ 5 คน เขาต้องรับหน้าที่ดูน้องสี่และน้องหญิงเล็ก ขณะที่พี่ใหญ่กับน้องสามต้องฝึกปรือ ต่อมาเพื่อปกป้องน้องหญิงเล็กในยามที่เหลือเขาเพียงคนเดียว หลี่อวิ๋นจึงบีบตนเองจนได้จิตปฐมมา นอกจากนี้ในยามเหยียนเจิงหมิงหลงทางผิด หรือมีความคิดโลเล ก็เป็นหลี่อวิ๋นมีสติที่สุดเสมอ เขาคอยห้ามปรามเหยียนเจิงหมิงอย่างหนักแน่นในจุดยืนของฝูเหยา ไม่เคยหลงทางผิดสักครั้งทั้ง ๆ ที่ฝึกวิชานอกรีตตั้งแต่เด็ก และเฉลยสุดท้ายก็ทำให้เราได้รู้ว่า คนคนนี้หานมู่ชุนไม่ได้รับมั่ว ๆ เช่นเคย เขาคือปรามาจารย์ด้านกลก้าวห่วงแห่งฝูเหยากลับมาเกิด...ขนลุกเลยค่ะ
บทที่ชอบ :
: “ หลี่อวิ๋นที่ขวัญอ่อนมาตลอดกลับวู่วามชั่วขณะ...สายตาของเขาล้วนถูกน้ำตาทำให้พร่าเลือน เขาคุกเข่าอยู่ข้างกายเฉิงเฉียนอย่างทำตัวไม่ถูกคลำไปคลำมาบนร่างกายตนเองอย่างปราศจากเป้าหมาย คล้ายยังกอดความโชคดีเสี้ยวหนึ่ง พยายามค้นหาสิ่งของช่วยชีวิตได้ออกมา”
: “...หลี่อวิ๋นร้องไห้จนหอบ ประสานอินที่ไม่รู้ถูกหรือไม่แกว่งมือฟาดไปบนหลังหานยวน มัดเขาไว้ตรงกลางอย่างแนบแน่น... ‘หยุดนะ’...ร่างหานยวนพลันติดไฟอย่างไร้ที่มาในพริบตา...เผาใยแมงมุมของหลี่อวิ๋นจนหมดสิ้น...จากนั้นหานยวนที่ไม่มีผู้ใดควบคุมขัดขวางจึงโดดลงน้ำทะเลไป...”
: “ ร่างกระเรียนแดงของสุ่ยเคิงสั่นไหวเล็กน้อย หลี่อวิ๋นรู้ว่านางกลัวในที่สุดเขาก็ชักกระบี่ประจำตัวที่เหมือนของตกแต่งบนร่างตนเองออกมาช้า ๆ ”
// เราชอบตอนเขาตัดสินใจปกป้องน้องหญิงเล็กมาก ส่วนสองฉากแรกนี้ค่อนข้างชอบ เพราะมันเป็นช่วงที่เขาเสียน้องสามไป พี่ใหญ่ก็จิตหลุด มีเพียงเขายังตั้งสติ มือหนึ่งพยายามยื้อชีวิตน้องสาม มือหนึ่งยื้อน้องสี่ ขามีน้องเล็กกอดไว้พลางร้องไห้ ถอยหลังสักก้าวไม่ได้เลย
เฉิงเฉียน : ศิษย์คนที่สามที่ขยันจนพี่ ๆ และอาจารย์ต่างต้องยอมถอย เข้ากับคนอื่นไม่เป็นตั้งแต่เด็ก โตมาก็ยังไม่ค่อยยอมคน แต่ความอดทน และรอยยิ้ม รวมทั้งสายตาของเขาก็ล้วนมอบให้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ความของเขาจนหมด ตัวเขาเข้มงวดกับตัวเองแต่เด็ก อาจารย์จึงให้ภาษาศีลเป็น อิสระ เขาใช้จิตเข้าสู่มรรคา ที่ถูกรับเข้าสำนักมาก็เพราะมีเวลาตกฟากเดียวกับปรมาจารย์ถงหรู ถ้าฝึกตนให้ดีเขาได้เหินหาวเป็นเทพเซียนแน่นอน
เฉิงเฉียนฝึกตนสม่ำเสมอ เป็นแรงพลักดันให้เหยียนเจิงหมิง และหลี่อวิ๋นพัฒนาตนเอง เป็นปมในใจหานยวนจนพัฒนาฝีมือจนก้าวหน้า เป็นแรงบันดาลใจให้น้องหญิงเล็กให้มีความพยายาม เรียกว่าแทบเป็นเสาหลักด้านจิตใจในสำนัก เขาฝึกตนเองอย่างเข้มงวด สุดท้ายกลับเป็นคนปล่อยวางทุกสิ่งจนน่าใจหาย เขาค้นพบ อิสระ ที่อยู่เหนือท้องฟ้า เหนือทะเล นอกจากเหยียนเจิงหมิง การที่ฝูเหยาเดินในมรรคามนุษย์คงเป็นคำตอบนึงที่ทำให้เฉิงเฉียนยังเลือกอยู่อย่างนี้ต่อ
บทที่ชอบ :
: “ ...เฉิงเฉียนกลับรู้สึกเหมือนลมหายใจเฮือกหนึ่งจุกในทรวง เขากอดเอวของผู้บรรลุมู่ชุนเอาไว้ออกแรงเอาหน้าซุกไว้ในอ้อมอกของเขา...ความอบอุ่นเช่นนี้ ...เหตุใดจึงเป็นเพียงจิตปฐมเสี้ยวหนึ่งเล่า...”
: “เฉิงเฉียนจับมุมหนึ่งของแขนเสื้อเหยียนเจิงหมิงเอาไว้แน่น เสื้อแพรต่วนนั้นเกือบถูกนิ้วมือเขาเจาะจนเป็นรู... ‘ข้าจะเอาชีวิตของพวกเขา’”
: “ เฉิงเฉียนกวาดผ่านลักษณะเสียอาการของเขา พลันมีความรู้สึกว่ามีคนเป็นห่วงและเฝ้ารออยู่ตลอด...สิ่งที่คนเราแสวงหาในชีวิตหนึ่ง มีเพียงขณะลำบากตรากตรำกลับบ้าน มีคนดึงประตูออกจากด้านในด้วยโทสะพลุ่งพล่าน ตะคอกหนึ่งประโยคว่า ‘ไปตายที่ไหนมาอีก’ มิใช่หรือ”
: “ จะว่าก็ประหลาด ในขณะนี้เฉิงเฉียนไม่ได้กลิ่นคาวเลือดเต็มพื้น แต่กลับได้กลิ่นกล้วยไม้...เป็นกลิ่นที่โชยออกมาจากผ้าห่มแพร ทุกครั้งที่เขาอยู่ในห้องศิษย์พี่ใหญ่มักมีพวกมันวนเวียนอยู่ข้างกาย เขาล้วนราวกับซึมเซาใคร่นอนหลับ...”
: “ ศิษย์พี่ ข้าไม่รู้จะปฏิบัติต่อท่านอย่างไรจึงนับว่าดี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนใจจากท่านเด็ดขาด”
: “ ...หมื่นพันความคิดไม่จำเป็นต้องเอ่ยชัด เจ้าคือชะตาผูกมัดที่แข็งแกร่งจนมิอาจทำลายในโลกิยะของข้าแล้ว...”
// ของเสี่ยวเฉียนเยอะจริง ๆ เขาแสดงออกน้อย แต่พอแสดงออกทีก็กระแทกใจ และตรงไปตรงมามาก ๆ ตัดออกไม่ลงเลย
หานยวน : ศิษย์คนที่สี่ของสำนักคนนี้เหมือนถูกรับมามั่ว ๆ สมัยเด็กซุกซนเหลาะแหละไม่สนใจฝึก อาจารย์จึงให้ หินผา เป็นภาษาศีลของเขา เพื่อให้มีจิตตั้งมั่นอยู่เสมอ หานยวนมีพี่ ๆ คอยดูแลจึงไม่ค่อยพัฒนาฝีมือ จนเหลือกันเพียง 5 คน เขาก็ยังฝึกฝนไม่เข้าขั้น ช่วยศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ได้ ยังถูกคนบงการให้ลงมือสังหารพี่สามของตนเอง จิตใจของเขาจึงเข้าสู่มรรคาปีศาจแบ่งแยกออกเป็นสองบุคลิกขัดแย้งกัน
ตั้งแต่ครึ่งเล่มสองเราสังเกตว่าถึงยังไงหานยวนทั้งสองบุคลิกก็มักจะปกป้องพี่น้องของเขาอยู่ตลอด ลงมือไม่เคยเป็นจริงเป็นจัง สุดท้ายแล้วจิตตั้งมั่นของเขารวมเป็นหนึ่งเดียวก็ไม่พ้นการปกป้องศิษย์พี่ศิษย์น้อง คิดว่าคงเป็นเพราะวัยเด็กเขาไม่มีพลังพอช่วยศิษย์พี่ใหญ่สู้ แถมยังเป็นตัวถ่วง จึงกลายเป็นความมุ่งมั่นไปแล้ว หานยวนถูกรับเข้าสำนักก็ไม่ใช่บังเอิญเช่นกัน เขาคือเด็กที่ศิษย์พี่ของหานมู่ชุนไว้ชีวิตตอนก่อคดีเลือด และนำมาส่งไว้ที่วัดล้างรอหานมู่ชุนมารับ...เหมือนเป็นชะตาลิขิต เด็กคนนี้ได้ปีศาจบำเพ็ญไว้ชีวิต สุดท้ายกลายเป็นปีศาจ เรายังยึดท่อนหนึ่งในหนังสือ ที่บอกว่ามรรคาปีศาจมือไม่เปื้อนเลือด 500 ปีจะกลับสู่มรรคาเที่ยงตรงได้ บังเอิญมันตรงกับบทลงโทษพอดี...จิตนาการต่อเองในแง่ดี ฮืออ
บทที่ชอบ :
: “ หานยวนสวมเสื้อผ้าขาดลุ่ยเหมือนยาจก ฝีเท้าราวกับราชาหวนคืนราชสำนัก เงาร่างที่เหมือนรอบข้างไร้ผู้คนบุกเข้าในถิ่นปีศาจ...เงามังกรขนาดใหญ่แวบผ่านข้างหลังหานยวน มุดเข้าหมอกพิษชายแดนใต้คล้ายมังกรจมทะเล ไม่กลับมาอีก ...”
: “ ...หลี่อวิ๋นไม่พอใจ ตวัดวาดภาพสืบต่อ วาดหานยวนที่อยู่ชายแดนใต้ใบหนึ่ง...หานยวนมองดูเสร็จ รู้สึกมิตรภาพของสหายร่วมชั้นเรียนในวันวานดับสลายสิ้นแล้ว...”
// ฉากหลัก ๆ ที่รักนะ ไม่แสดงออกของหานยวนเยอะมาก ๆ โดยเฉพาะกับน้องเล็ก ฉากอ้อนประจบพี่สองก็ไม่น้อย เอ็นดู
หานถาน (สุ่ยเคิง) : น้องหญิงเล็กสุดท้องที่ตกระกำลำบากกับพี่ ๆ มาหลายปี สุดท้ายเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็ง ภูมิหลังของน้องเล็กเกี่ยวพันกับเขาฝูเหยาเช่นกัน นางรับความช่วยเหลือจากถงหรูเปลี่ยนชะตากรรมเลือด ได้หานมู่ชุนรับเป็นศิษย์ และมีศิษย์พี่เลี้ยงดู ปกป้องจนเติบใหญ่ ในใจของน้องเล็กมีความน้อยใจที่บิดา มารดาไม่ต้องการ แต่ยามที่มองศิษย์พี่ใหญ่ ใจของนางกลับเรียกเขาว่า บิดา และบิดาคนนี้ของนางก็มอบภาษาศีลอย่างเข้าใจตัวตนของนางเป็นอย่างดีว่า ธรรมชาติ
ตั้งแต่เล็ก เรามักจะเห็น และพูดถึงว่าพี่ ๆ แต่ละคนเลี้ยงดูนางยังไง ปกป้องนางแบบไหนกันบ้าง อ่านจนจบเล่มนี้คงต้องมาพูดทางสุ่ยเคิงบางแล้ว นิสัยของสุ่ยเคิงได้เหยียนเจิงหมิงชี้แนะอย่างเข้มงวด มีหลี่อวิ๋นประคบสั่งสอน แต่ลึก ๆ กลับเติบโตอย่างคล้ายคลึงหานยวนมากสุด เรามองว่าเหมือนเพราะหานถานที่โตมาโดยช่วยอะไรพี่ ๆ ไม่ค่อยได้เช่นกัน ทำให้นางแสวงหาพลังความแข็งแกร่งโดยไม่รู้ตัว ซึ่งคนที่ฝังใจในรูปแบบของความแข็งแกร่งก็ไม่พ้นเฉิงเฉียนที่คอยปกป้องนาง
นิสัยปกป้องพี่น้องที่สืบต่อมายังสุ่ยเคิงแสดงออกตั้งแต่เด็ก หนึ่งคือเฉิงเฉียน ถูกน้องช่วยด้วยเข็มเจาะวิญญาณ สองหลี่อวิ๋นที่อยู่กับนางเสมอถูกบีบจนสู้ไม่ไหว นางจึงกินเม็ดปราณสามพันปีเข้าไปเพื่อปกป้องพี่ และคนที่สามคือหานยวนหนึ่งในคนที่ทำให้น้องต้องเร่งพลังบินมาปกป้องไม่ให้เขาตัวแตกตาย
พอไล่มาก็มีแต่เหยียนเจิงหมิงจริง ๆ ที่สุ่ยเคิงวางใจพักพิง นับเขาเป็นบิดาในใจก็ไม่แปลก
บทที่ชอบ :
: “ นางไล่ตามไปพลางร้องไห้ไปพลาง...น้ำตาตกลงมาจากบนหน้า แปรเป็นไอน้ำกลุ่มหนึ่งในเปลวเพลิงทันที ...สุ่ยเคิงแทบอยากประกาศให้ทั่วหล้ารู้...แต่ก็มิกล้า เกรงว่านี่เป็นเพียงฝันกลางวันเสมือนบุปผาในคันฉ่องจันทราในวารีของนาง”
: “ สุ่ยเคิงกลั้นน้ำตาเอาไว้...บนแขนยังพันไว้ด้วยโซ่สลัดไม่หลุด นางเช็ดน้ำตา สะอึกสะอื้นเนิ่นนาน จึงมีลักษณะเหมือนเด็กผู้หญิง ถามด้วยความน้อยใจเต็มเปี่ยม ‘ทำไม...ทำไมท่านไม่รอข้า’...”
: “ แต่ท่านสู้เขาไม่ได้...”
: “สุ่ยเคิงถูกเหล่าศิษย์พี่เลี้ยงดูจนโต เทียบกับบิดามารดาที่มีท่าทีคลุมเครือและไม่ยอมรับนาง ศิษย์พี่เจ้าสำนักเหมือนบิดามากยิ่งกว่า”
: “...เมื่อครู่สุ่ยเคิงยังจะเผาเขาเป็นซากแห้ง ตอนเห็นเงาหลังเขา ในใจพลันเวิ้งว้างว่างเปล่า ร้องเรียกเสียงดังอย่างเลี่ยงไม่ได้ ‘ศิษย์พี่สี่ ต่อไปพวกเราจะมาเล่นกับท่าน !’...”
// ดูบทน้องกับพี่ ๆ มีแต่กระแทกใจเราเยอะมากจริง ๆ
อ่านจบแล้วมีแต่เรื่องอยากเล่าอยากคุย แหะ ๆ สรุปสั้น ๆ คือ ชอบมากค่ะ
// ยกนิ้วโป้งสองนิ้วพร้อมน้ำตาไหลพราก !!
เพ้อเจ้อตัวประกอบ
นอกจากเสวี่ยชิงที่ถูกพรากไป ยังมีเจ่อสืออีกคน โฮฮฮ แล้วขอนับลิ่วหลางด้วยอีกคน
แอบตั้งคำถามว่าถ้าเราเข้าไปในนิยายได้จะช่วยคนไหนให้พ้นเคราะห์แล้วไม่กระทบเนื้อเรื่องหลักบ้าง คิดไปคิดมา สามคนนี้คีย์หมดเลยนี่นา // ปาดน้ำตา
By Chadang
ขอบคุณสำหรับรีวิวค่ะ ^^
ขอบคุณนะคะ อ่านเรื่องสนุกแล้วตื่นเต้นค่ะ ต้องหาคนแบ่งปันป้ายยา ><