[1]
พรานทมิฬคือผู้ล่า
คือสัตว์ร้าย
คือฆาตกร
คือคนที่พรากบ้านเกิด พรากครอบครัว พรากความสุขของเขาไป
แต่ในขณะเดียวกัน พรานทมิฬก็เป็นเหยื่อด้วยเช่นกัน
[2]
อ๊อดไม่คิดจะเรียกฝ่ายนั้นว่าบาก
บากไม่ใช่ชื่อของพรานทมิฬ เป็นแค่ชื่อที่นายมนุษย์ตั้งให้
ไอ้บากฟังทั้งเหยียดหยามและเหยียบย่ำ อ๊อดไม่ชอบมัน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ต้องการจะลึกซึ้งขนาดจะถามว่าชื่อแต่เดิมที่มารดาฝ่ายนั้นตั้งให้คืออะไร ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าพรานทมิฬจะจำได้ หรือจำได้ก็อาจไม่อยากกล่าวถึง
อ๊อดจึงเรียกพรานทมิฬว่าพรานทมิฬ อย่างน้อยนั้นก็เป็นสมญาที่เจ้าตัวได้รับและเลือกให้ตนถูกกล่าวขานด้วยนามนั้นเอง
มันทั้งใกล้ชิดและเหินห่าง เป็นทางการ แต่ก็เป็นตัวตนของอีกฝ่ายมากกว่าสิ่งใด
ทั้งบาดแผล
ทั้งความภาคภูมิ
อ๊อดคิดว่าเขาเข้าใจในกิริยาและสีหน้าเมื่ออีกฝ่ายขานรับนามนั้น
เข้าใจ
หรือไม่เช่นนั้นก็ไม่เข้าใจอะไรเลย
[3]
ครูมวย
ผู้กอบกู้
เขาเองก็ถูกเรียกขานด้วยนามที่ไม่ใช่ของตน อยู่ในที่ที่ไม่ใช่ที่ของตน รามเทพถูกยกให้เป็นบ้าน แต่มันก็ไม่ใช่หมู่เกาะนกแอ่น รามเทพมีคนคุ้นหน้า มีลูกศิษย์ลูกหา แต่อ๊อดก็ไม่รู้สึกว่า ณ ที่นั้นมีคนคุ้นเคยเลยสักคน
ต่อให้ทั้งชาวเมืองและลูกศิษย์ของเขา ต่างคนต่างบอบช้ำต่างคนต่างมีบาดแผล แต่บาดแผลนั้นก็เป็นบาดแผลคนละชนิดกับของเขา
ร่องรอยของการกดขี่ ความคับแค้น แต่นั่นก็ไม่ใช่บาดแผลของเขา ถึงเป็นความสูญเสีย แต่ก็เป็นความสูญเสียคนละชนิดกับเขา มันใช่และไม่ใช่ มันคล้ายคลึงและแตกต่าง
ไม่มีใครที่มีบาดแผลชนิดเดียวกับเขา บาดแผลที่ทาบกันได้สนิทเหมือนอย่างสหายร่วมทางเหล่านั้น สหายผู้กระจัดกระจายไปสู่ที่ที่เป็นของตน
อาจจะยกเว้นพรานทมิฬ
แต่นั่นก็ไม่ใช่สหายเขา
[4]
เขาเองก็ไม่ใช่สหายของพรานทมิฬ
บางทีสหายหนึ่งเดียวของพรานทมิฬคงจะเป็นสกุณเหรา เจ้านกยักษ์ที่สิ้นชีพด้วยมือเทหะยักษา สหายที่เขาชดใช้คืนให้ไม่ได้
หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิตหรือ
อ๊อดคิดว่าน่าจะเป็นตนมากกว่าที่เอาเปรียบ
[5]
คนอื่นๆ เรียกพรานทมิฬว่ามัน
สรรพนามลับหลัง
อ๊อดวางนิ้วลงไปไม่ถูก ว่านั่นเกิดจากความกลัวจนต้องแบ่งแยก หรือเป็นการเหยียดหยาม
แต่เขาคิดว่าหากอีกฝ่ายได้ยินก็คงจะไม่ชอบใจนัก
อ๊อดยืนกรานให้เรียกพรานทมิฬว่าเขา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มันไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าการเคารพซึ่งกันและกัน
ถึงจะเป็นสรรพนามลับหลัง ถึงจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
[6]
แววในดวงตาสีอำพันเป็นภาษาที่เขาอ่านไม่ออก
เหมือนบ่อน้ำไร้ก้น
และความเจ็บปวดเกินจะหยั่ง
ดวงตานั้นเคลื่อนตามเขาเสมอแม้เจ้าตัวจะไม่ได้อยู่ใกล้
ในเงา อ๊อดเห็นแนวโค้งสีขาว มันเหมือนจะน่ากลัว เหมือนจะถูกจับตาตามทุกฝีก้าว แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไรเลย พรานทมิฬไม่เคยบุกรุกเข้าหา ไม่เคยก้าวเข้ามาถึงพื้นที่ส่วนตัว แม้แต่ลานฝึกก็แทบไม่ย่างเหยียบ
กระนั้น เขาก็อยู่ตรงนั้นยังอยู่ตรงนั้น เมื่ออ๊อดเหลือบปลายตามอง
เส้นตรงและเส้นโค้งที่เกิดจากเงาร่างของพรานทมิฬเป็นสิ่งคุ้นตา โดยเฉพาะวิธีที่ฝ่ายนั้นเคลื่อนไหวยามไม่เคลื่อนไหว มันเป็นกิริยาที่อ๊อดอ่านออกและรู้จักดี
จะไม่รู้จักได้อย่างไร ในเมื่อเขาก็เห็นมันในเส้นร่างและเงาของตนเอง
[7]
แปลกแยก
นั่นอาจเป็นสิ่งที่มีร่วมกัน
แล้วนั่นจะยังเรียกความแปลกแยกได้อยู่หรือไม่ ในเมื่อมีผู้ร่วมแบ่งปันมันแล้ว
[8]
อ๊อดมานึกสงสัยเมื่อตอนไม่อาจหาผู้ให้คำตอบตนเองได้แล้ว
อ๊อดเป็นชื่อจริงๆ ของเขา จากพ่อแม่ ณ บ้านฆ้องเหล็ก หรือเป็นชื่อที่พ่อพันธ์ตั้งให้ หากเป็นอย่างหลัง ชื่อจริงๆ ของเขาคืออะไร
แต่มันก็ป่วยการจะรู้ เรื่องสุดจะรู้
เหมือนชื่อเดิมของพรานทมิฬ
[9]
แม้รามเทพจะถูกยกให้เป็นบ้าน แต่มันก็ไม่ใช่บ้าน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่านั่นเป็นบ้าน ท้ายสุดเขาก็ขอลาจากเพื่อกลับบ้าน สู่หมู่เกาะนกแอ่น แม้ว่าที่นั่นจะไม่เหลืออะไรให้สามารถเรียกว่าบ้านได้แล้วก็ตามที
พรานทมิฬขอติดตามไปกับเขา
อ๊อดไม่เข้าใจนักว่าทำไมอีกฝ่ายจึงเลือกเช่นนี้ เพราะความแปลกแยกที่ต่างคนต่างมีทั้งนั้นหรือ หรือเป็นเพราะไม่รู้จะยึดใครเป็นหลักอีก
เหตุผลนั้นจะเป็นไปได้หรือ กับพรานทมิฬผู้เหี้ยมหาญ
แต่จะเพราะอะไร อ๊อดก็ยอมให้พรานทมิฬกลับไปด้วยกัน
การเดินทางนั้นเชื่องช้ากว่าครั้งมารามเทพ ไม่มีเรื่องร้อนอะไรไล่ตามให้เร่งฝีเท้า ไม่มีอันตรายใดๆ ไปมากกว่าอันตรายตามวิสัยเมืองและป่า เพื่อนร่วมทางของอ๊อดเงียบเสมอ เขาไม่รู้ว่าเพราะฝ่ายนั้นคุ้นชินการเดินทางกับสิ่งที่ไม่พูดหรือเปล่า ระหว่างกันจึงไม่มีเรื่องให้ต้องพูดคุยไปมากกว่าความจำเป็น
[10]
หมู่เกาะนกแอ่นไม่ใช่หมู่เกาะนกแอ่นอีก ไม่ใช่หมู่เกาะนกแอ่นที่เขารู้จัก
มันเหมือนหมู่บ้านร้าง เหมือนเมืองผี มีแต่ซากศพ โครงกระดูกและเศษซากปรักหักพังจากการบุกทำลายของยักษา ความพินาศที่หลวงเรืองนำมา
ทมิฬข้างกายเขาไร้เสียง
แววในดวงตาสีอำพันก็ยังเป็นภาษาที่เขาอ่านไม่ออก อาจจะบอกตนเองได้ว่าเข้าใจ แต่อ๊อดก็รู้ว่านั่นเป็นคำโกหก
ทั้งหมดมีแต่ร่างเงาเลือนลางของการคาดเดา โดยเฉพาะเมื่อพรานทมิฬกวาดสายตามองสิ่งที่หลงเหลืออยู่
สีหน้านั้นคืออะไร อ๊อดตอบไม่ได้
อย่างน้อยไม่ใช่ความคับแค้น ไม่ใช่เช่นนั้น ใจเขาไม่อาจคิดเป็นแง่ร้ายได้ว่าชาวเผ่าทมิฬตนสุดท้ายจะอยากมาเห็นความพินาศของหมู่บ้านหนึ่งกับสีหน้าผู้เหลือรอดคนสุดท้าย
แล้วเช่นนั้น มันคืออะไร
ความรู้สึกผิดอย่างนั้นหรือ
อ็อดคิดว่าไม่ใช่
ศพและโครงกระดูกของทุกคนเท่าที่จะหลงเหลืออยู่ถูกนำมารวมกันกลางลาน พรานทมิฬเป็นคนก่อพนมเพลิงให้เขา และออกปากจะอยู่ช่วยเก็บกองฟอน หอบอังคารของทุกคนไปโปรยทะเล
ใต้แสงเพลิงสีส้มแดง อ๊อดนึกถึงความตายของพ่อ ทั้งพ่อแม่ที่แท้จริงในฝันร้าย และภาพสุดท้ายของพ่อพันธ์กับครูผู้เฒ่า ความเจ็บร้าวในอกก็กรีดตัวขึ้นมาซ้ำอีก ความเจ็บร้าวที่หลงลืมไปแล้วว่ายังมีอยู่
ชั่วขณะหนึ่ง อ๊อดขึงโกรธ เป็นความโกรธที่พร้อมระเบิดออกมาเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ช่องผาสิ้นเทพ เกิดขึ้นและสงบลง รวดเร็วเหมือนสะเก็ดไฟที่ร่วงลงพื้นและวูบดับ
เพราะสายตาของพรานทมิฬที่มองมา
ทั้งหมดนี้ มันคือการชดใช้ การไถ่บาป หรือการหาสิ่งยึดเหนี่ยว หารอยแผลที่แนบสนิทกัน อ๊อดก็ไม่อาจตอบได้
แต่มันก็ย้ำเตือนเขาอีกครั้ง ว่าแม้พรานทมิฬจะเป็นฆาตกร เป็นปีศาจร้ายในสายตาผู้อื่น แต่ครั้งหนึ่งพรานทมิฬก็เคยเป็นเหยื่อและผู้สูญเสียไม่ต่างกัน
หากนี่เป็นการชดใช้ อ๊อดก็จะยินดีรับ
หากนี่เป็นการไถ่บาป อ๊อดก็จะยินดีปลดปล่อย
หากนี่เป็นการหาสิ่งยึดเหนี่ยว อ๊อดก็จะเอื้อมมือออกไปหาเช่นกัน
เขาจะชดใช้ในสิ่งที่มนุษย์รุ่นก่อนหน้าได้ทำลงไป
ถึงเขาไม่อาจอภัยพรานทมิฬได้ทั้งหมด ความปวดเท่าเศษเสี้ยนยังเสียดค้างเหมือนติดอยู่ในแผลไม่ยอมหาย
พรานทมิฬคงรู้สึกกับเขาแบบนี้เช่นกัน
แต่สักวัน อ๊อดจะให้อภัย
สักวัน
และหวังว่าพรานทมิฬจะให้อภัยมนุษย์ อภัยเขา
(ไม่ได้ตั้งใจ แต่มือมันไปเอง oTL)
(โดนผู้ชายรักสัตว์ตกค่ะ ฉากสุดท้ายที่ไม่มีอะไรนี่มันมีมากจริงๆ โอ๊ย นก นกกกกก (โมเอ้ตรงนั้น))
(เหมือนในคอมมิคจะบอกว่าอ๊อดเป็นชื่อที่พ่อแม่เรียกแต่เดิม)
(จริงๆ ไม่ได้คิดว่าจะขึ้นเรือจริงจังจนงอกฟิค แต่ก็นั่นล่ะค่ะ แม่ย่านางเจ้าคะ Permission to come aboard Ma'am)
(เป็นฟิค Tribute เรือก็แล้วกัน ฮือ การงานจ๋า อย่าเพิ่งทำร้าย)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in