เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Europe First TimeKanSiri
ส่งท้ายที่อิสตันบูล สะพานเชื่อมยุโรปและเอเชีย
  •             ไฟล์ทของผมออกจากสนามบินตอน 11 โมง ผมเตรียมตัวตั้งแต่ 8 โมงเช้าเพราะไม่อยากจะตกเครื่องบิน เป็นขอทานอยู่ที่นี่ ดังนั้นความพร้อมคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมกินอาหารเช้าและเช็คเอ้าท์ออกไปสนามบินก่อนเวลา 2 ชั่วโมง ไฟล์ทที่ผมต้องไปคือเส้นทางอืสตัลบูลเพื่อต่อเครื่องไปยังไทยที่นั่น และแน่นอนผมมีเวลาเดินเที่ยวที่อิสตัลบูลตั้ง 8 ชั่วโมงและถือว่าเป็นความโชคดีที่ผมจะได้เจอเอเรน ถ้าใครจำได้เอเรนก็คือคู่บัดดี้ทำงานที่โปแลนด์ของผม บ้านของเอเรนอยู่ที่นั่นพอดี

                แต่เพราะมีปัญหาเกิดขึ้นทำให้ไฟล์ทต้องเลทไปอีก 1 ชั่วโมงเต็มๆ

                เครื่องบินลงจอด ณ อิสตัลบูล ตุรกี เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ผมใช้เวลาไม่นานในการผ่าน ตม. และในที่สุด ผมก็เจอเอเรน ตรงทางออกจนได้ เอเรนมารอผมได้ 1 ชั่วโมงแล้ว

                ทริปที่อิสตัลบูลไม่มีอะไรพิเศษ เอเรนพาผมเที่ยวที่สำคัญๆ และเป็นคนที่ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ใจปล้ำสุดๆถ้าเป็นเมียได้ เป็นไปแล้วนะเนี่ย สปอร์ทสุด ตั้งแต่ค่ารถ ค่าเรือ ค่าอาหารรวมถึงค่าของฝากด้วย เอเรนถือได้ว่าเป็นเพื่อนอีกคนที่ผมจะลืมบุญคุณไม่ได้เลย เอาเป็นว่า ถ้าเอเรนมาไทยเมื่อไหร่ ผมจะบริการอย่างดีแน่นอน

                ผมกลับมายังสนามบินก่อนเที่ยงคืนเพราะไฟล์ทของผมออกตอนตี 1 ก่อนจากกัน ผมกอดเอเรนอย่างแน่นเพราะผมไม่รู้จริงๆว่าจะได้เจอเอเรนอีกเมื่อไหร่ ความรู้สึกต่างๆทำให้ผมนึกถึงตอนที่พวกเราทำงานด้วยกัน ก่อนขึ้นเครื่องภาพทุกอย่างมันประมวลอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมนึกถึงวันแรกที่ผมออกมาไกลจากบ้านแต่วันนี้ผมกำลังจะกลับบ้านแล้ว ขณะที่เครื่องบินกำลังทะยานขึ้นฟ้าน้ำตาของผมไหลออกมาอีกครั้งจากความรู้สึกที่ว่า ผมมีมิตรภาพดีๆที่นี่มากมาย แต่อีกคราบนึงของน้ำตาคือความคิดถึงครอบครัวที่ไทยใช่มันถึงเวลาแล้ว...ที่ที่ผมต้องกลับ “บ้าน”

                เกือบสิบชั่วโมงผ่านไปผมใกล้ถึงที่หมายขึ้นมาทุกที ผมตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ระยะเวลาเกือบ 3 เดือนที่ดูเหมือนนานแต่พอมาถึงวันนี้ มันเร็วและสั้นมากๆ ครั้งแรกกับประสบการณ์เดินทางไกลคนเดียวที่นานที่สุดในชีวิตโดยไม่ได้กลับบ้านเลย และไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งด้วย มันเป็นอะไรที่เยี่ยมยอดมาก ผมผ่าน ตม. ออกจาก
    เกทมา เจอแม่อันเป็นที่รัก ผมน้ำตาซึมกอดแม่ ความรู้สึกมันมากเกินคำบรรยายแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในใจตอนนี้คือ “ผมกลับมาแล้วนะ”
  •              จะว่าไปการเดินทางเกือบ 3 เดือนมันผ่านไปไวเหมือนโกหกเลย จากจุดเริ่มต้นที่ว่า ผมอยากไปเที่ยวยุโรปซักครั้งมันจึงนำพาให้ผมมาสมัครโปรเจคสอนหนังสือที่โปแลนด์ ทำให้ผมมีโอกาสเที่ยวที่ต่างๆมากมาย โดยมีที่พักแบบสุ่มมากมายหลายแบบ ก่อนไปผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้โฮสต์หรือที่ซุกหัวนอนอย่างไหน ความรู้ที่ผมหาได้จากอินเตอร์เน็ตเป็นแค่ทฤษฎีเบื้องต้น หรือไกด์การเอาตัวรอดในต่างแดน (ซึ่งก็ช่วยได้มากพอสมควร) แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ต่อให้เตรียมใจไปแล้ว ก็ยังอดใจหายไม่ได้เลยก็คือความต่างของวัฒนธรรม ถ้าเกิดผมไปเที่ยวแบบจองโรงแรม โฮสเทล ผมคงมีโอกาสน้อยมากที่จะเข้าใจวัฒนธรรมของแต่ละที่ รวมถึงการเดินทางคนเดียวที่ต้องช่วยเหลือตัวเองในเกือบทุกๆเรื่อง ก็ทำให้ผมเติบโตขึ้นไปอีกทั้งความคิดและความรู้เป็นมุมมองที่กล่าวได้ว่าเปิดกว้างไปอีกแบบเลย

                ผมไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าทุกครั้งที่ออกเดินทางคนเดียวผมจะไม่กังวล ทั้งชีวิตเวลาเดินทางไปต่างประเทศผมต้องไปคนเดียวตลอดเลย ส่วนหนึ่งคือผมกับเพื่อนๆ เรามีวันหยุด จำนวนทุนทรัพย์ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัวต่างกัน มันคงจะดีกว่าถ้าผมไปคนเดียวโดยที่ไม่ต้องมานั่งรับภาระความรู้สึกของเพื่อนหากมีเรื่องผิดใจกัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันทำให้ผมกล้าที่จะใช้ชีวิตคนเดียวเองได้โดยที่ไม่ต้องไปยึดโยงกับใคร

                แต่มากกว่าความสนุกที่ได้ทำตามฝันของตัวเองแล้ว สิ่งที่ผมเรียนรู้เพิ่มมาอีกอย่างและสำคัญมากๆก็คือ มิตรภาพ มันมีทุกที่จริงๆ แต่เหรียญมันก็มี 2 ด้านแหละนะ เรื่องแย่ๆ ความรู้สึกไม่ดีมันก็มีเยอะ สิ่งที่ผมเจอถือว่าเป็นเศษเสี้ยวบทเรียนจากชีวิต ซึ่งผมถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ฟูมฟักให้ผมเป็นคนระวังตัวมากขึ้นเช่นกัน ทุกอย่างที่เจอในยุโรป นับว่าเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตผมอีกอย่างนึงเลยก็ว่าได้

                การทำงานหาเงินความลำบากเลี้ยงชีวิต ผมว่ามันยากแล้วนะ แต่การได้ทำตามความฝันตัวเอง มันยากยิ่งกว่า

                “เพราะหลายครั้ง ความฝันมันชอบสวนทางกับความเป็นจริงมากๆ”

                การเดินทางรอบยุโรปถือว่าเป็นหนึ่งก้าวหนึ่งในความฝันของผม แน่นอนมีคนทำได้เยอะและดีกว่าผมอีกหลายคน ทั้งนี้ก็เพราะว่าผมได้ลงมือทำมันจริงๆนั่นแหละสำหรับตัวผมจึงรู้สึกได้ว่า

                “ก้าวนี้มันไม่ได้เล็กเลย”

                สุดท้ายแล้วผมอยากจะขอบคุณ พ่อแม่ พี่ๆ ครอบครัวของผม ที่เข้าใจ ช่วยเหลือและเปิดโอกาสให้ผมได้ไปเดินทางแบบนี้ทำให้ผมรู้ว่า บางครั้ง Comfort Zone มันอาจจะเป็นที่ที่สบายที่สุด แต่การเดินออกจากมัน ก็เป็นความสุขที่เป็นได้มากกว่าความสบายอีกอย่างหนึ่ง ผมต้องบอกก่อนว่าชีวิตของผมก็มีหลายเรื่องที่ทุกข์ใจไม่น้อย ความคาดหวังบ้างล่ะ สังคมบ้างล่ะ การเงินบ้างล่ะ แต่ให้ตายเถอะ ช่วงเวลาในการเดินทางที่ไม่รู้ชะตากรรมมันทำให้ผมลืมมันไปหมดเลย ผมมีความสุขที่ได้เดินทาง เจอคนใหม่ๆ ค้นหาสิ่งใหม่ๆ และไปยังสถานที่ใหม่ๆ มันทำให้ผม รู้จักตัวเองมากขึ้น โตมากขึ้นและเข้าใจตัวเองมากขึ้นไปอีก

                และนอกเหนือจากครอบครัวผมแล้วต้องขอขอบคุณบุคคลดังต่อไปนี้

                โฮสต์ที่สุวอลกี้ครอบครัวที่น่ารักโดยเฉพาะคินก้า

                เพื่อนๆในโปรเจคที่คอยช่วยเหลืออยู่เป็นเพื่อน

                เพรซเม็กสำหรับทริปที่วอร์ซอ

                มาริน่าน้องเอิร์ท น้องสอง เอเรน สำหรับเพื่อนยามทุกข์ยาก

                น้องเกมและโฮสต์ที่บอนน์ สำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นและความช่วยเหลือ

                โฮสท์อีกหลายๆคนที่มีบทบาทในการเดินทางของผมทั้งที่ตอบรับ และที่ปฏิเสธ

                คุณครูพี่เลี้ยงที่โปแลนด์ ที่อนุเคราะห์อาหารหลายมื้อให้กับผม

                ทั้งนี้ทั้งนั้นคำบอกกล่าว เล่าเรื่องราวประสบการณ์ของผมผ่านตัวหนังสือเป็นเพียงมุมๆหนึ่งของผมที่อยากจะแชร์ แบ่งปันเรื่องราวที่เกิดขึ้น อาจจะมีเหมือนและไม่เหมือนของคนอื่นอีกมากมายที่เคยไปยุโรปมาแล้ว ดังนั้นหากมีเรื่องใดผิดพลาด หรือไม่ถูกต้อง ทั้งเนื้อหา การใช้วาจา หรือคำพูดที่ไม่ดี ไม่เหมาะสม หรือข้อผิดพลาดใดๆ ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

                เรื่องที่ผู้เขียนยกขึ้นมาเขียนเป็นเพียงแค่เหตุการณ์สำคัญๆและความรู้สึกดีๆ สนุกสนาน ที่ผู้เขียนนำมาแบ่งปันเท่านั้น ถ้าจะให้เล่าแบบละเอียดยิบ ก็คงจะต้องใช้เวลาเรียบเรียงความทรงจำเป็นอีกแรมปี ผู้เขียนจึงขอจบเรื่องราวของผู้เขียนไว้แต่เพียงเท่านี้และหวังว่าซักวันจะได้มีโอกาสมาเล่าเรื่องแบบนี้ประสบการณ์ดีๆแบบนี้ให้กับคนที่สนใจได้อ่านอีก เนื้อเรื่องอาจจะมีสนุกบ้าง เบื่อบ้าง แต่ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามมาตลอดจริงๆครับถือว่าเป็นกำลังใจที่ต่อเติมพลังได้ดีเลยทีเดียว (จบซักทีเนอะ เห้ออออ)

                และสุดท้ายนี้ “ถ้าคุณมีโอกาสหรือความฝัน ลองหยิบมันมาลองทำดูไม่แน่คุณอาจจะได้พบกับสิ่งที่กำลังค้นหาหรือสิ่งใหม่ๆที่เปลี่ยนความคิดของคุณก็เป็นได้”


                                                         (ถ่ายที่สวิสเซอร์แลนด์ เซอร์แมทท์)

    ปล. ขอUpdate ข่าวครับว่ามาริน่าได้มาเยี่ยมผมเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับเมื่อกลางปี 2018 ที่ผ่านมา เป็นความประทับใจ และตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวและเพรซเม็กโฮสท์ที่วอร์ซอจะเดินทางมาประเทศไทยในช่วงปีหน้า (ปี 2020) นี้เพื่อเยี่ยมผมเช่นกัน นอกจากนี้ก็มีเอเรนกับโจเซ่ที่ผมมีโอกาสติดต่อด้วยเป็นพิเศษซึ่งทั้งสองคนกำลังหาโอกาสมาเที่ยวประเทศไทยอยู่เช่นกันครับ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in