อย่างที่บอกไปว่าอาทิตย์ที่
เวลาทำงานของผมกับมาริน่าจะค่อนข้างตรงกัน แม้เราสองคนจะทำงานกันคนละโรงเรียนก็ตามซึ่งมันก็ทำให้พวกเรามีเวลาที่จะได้กลับมาเจอกันที่ห้องกันอยู่บ่อยๆ วันแรกๆที่ผมได้คุยกับมาริน่าในฐานะรูมเมทก็ดูจะปรกติดีแต่ก็อย่างที่บอกเนื่องจากผมไม่ได้สนิทกับเอสม่ามากนัก ผมก็เลยกลายเป็นหนุ่มผู้โดดเดี่ยวอีกครั้ง มาริน่าเองก็น่าจะตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ดังนั้นแล้วพวกเราจึงมีเวลาคุยด้วยกันมากขึ้นไปอีก
ระหว่างที่ผมได้พักกับมาริน่า พวกเราก็ได้มีประสบการณ์นัดเดทจากคนโปแลนด์บ่อยครั้ง ทั้งหญิง ชาย จึงไมแปลกเลยที่พวกเรามักจะปรึกษากันเรื่องความรักอยู่เป็นประจำ ต้องเล่าตามตรงว่ามุมมองความรักของผมเปลี่ยนไปเยอะมากแล้วจากประสบการณ์หลายๆอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเข้าใจว่าความรักมันไม่เกี่ยวกับอะไรเลยแม้กระทั่งเพศสภาพ แต่มันคือ ความรู้สึกดีๆซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นกับตัวเรา
ในสัปดาห์ที่ 5 ของโปรเจคนั้นผมได้รับข้อความจากคินก้าว่า คินก้าจะมาเยี่ยมเราที่ Bialystok ทำให้ในอาทิตย์นั้นเองทุกคนที่ได้เคยไปทำงานที่ Suwalki จึงกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ผมจึงได้พบกับเอเรน ชีเล้ง และเอิร์ท และมันก็เหมือนกับเป็นการรวมตัวของเหล่าสมาชิกโปรเจคคนอื่นๆด้วย เพราะในวันเดียวกันนั้นเองทางโครงการได้จัดกิจกรรมการเผยแพร่วัฒนธรรมขึ้นที่เซ็นเตอร์ของเมือง
หลังจากจบ
เนื่องจากสุดสัปดาห์นี้ถือว่าเป็นสุดสัปดาห์สุดท้าย การกลับไป Suwalki
ในที่สุดวันสุดสัปดาห์ก็มาถึงพวกเรารีบออกไปที่สถานีขนส่งแต่เช้า แต่เนื่องจากวันนั้นเป็นวันหยุดรถเมล์ที่ไป
ณ ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆกับบ้านโฮส พวกเราได้เลือกซื้อวัตถุดิบกันอย่างเต็มที่ในขณะที่ผมเลือกซื้อของอยู่กับเอิร์ทนั้น เอิร์ทได้เข้ามากระซิบข้างๆหูว่า
“พี่มีผู้ชายกลุ่มนั้นมองพี่แน่ะ” ผมก็หันไปมองก็พอจะสังเกตได้แหละว่ามีผู้ชายมองมาจริงๆ
พวกเราก็เลือกซื้อของอยู่ซักพักจนกระทั่งช่วงที่ผมได้ปลีกตัวออกมา ผู้ชายคนที่คอยแอบมองก็เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับทักทาย
“สวัสดีครับ” ใช่มึงฟังไม่ผิด ฝรั่งหัวทองคนนี้แม่งพูดไทยด้วยความไม่ได้ใจผมจึงได้ถามไปอีกครั้งเพื่องความแน่ใจ
“
“สวัสดีครับ” สำเนียงฝรั่งชัดเจนแต่ก็จับใจความได้ว่ามันคือภาษาไทยแน่ๆ
“
กลับกลายเป็นว่าเป็นหนึ่งความประทับใจที่มีฝรั่งพยายามพูดไทยใส่คร่าวๆว่าเขารู้สึกว่าผมเป็นคนไทย แล้วเขาเคยไปเที่ยวไทยพอมาเจอผมก็เลยอยากจะทักทายเล็กๆน้อยๆอันเป็นการจบพิธี
หลังจากช็อปปิ้งเสร็จเรียบร้อยพวกเรากลับมาทำอาหารที่บ้านโฮส และตกลงกันว่าพวกเราจะไปเยี่ยมญาติโฮสอีกจังหวัดนึงและมีการทำกิจกรรมพายเรือคายักตามลำคลอง ซึ่งขอบอกเลยว่าสนุกมาก ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะพายเรือเพราะนอกจากความสนุกแล้ว คือแม่งเหนื่อยมากจริงๆ
เมื่อเวลาวิ่งไปถึงเลข
พวกเรามาถึงBialystok ราวๆ 5 ทุ่มเกือบจะเที่ยงคืน ผมมาไม่ทันรถเมล์รอบสุดท้ายเอิร์ทนั้นตัดสินใจนั่งแท็กซี่กลับที่พักของตัวเองไป (เอิร์ทได้โฮสแฟมิลี่ใหม่ในเมือง Bialystok) ส่วนผมต้องหารถกลับหอเองโชคยังดีรถเมล์อีกสายที่วิ่งผ่านป้ายรถใกล้ๆหอยังไม่หมด ผมเลยรีบวิ่งขึ้นรถคันนั้นซึ่งมันก็ดีกว่าเสียเงินค่าแท็กซี่แพงๆอยู่
ระหว่างที่ป้ายรถเมล์ไปถึงหอพักต้องผ่านสวนสาธารณะที่มีสุสานด้วยแต่มันคือทางที่ใกล้ที่สุดแล้ว และเอาจริงมะ สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้มันเป็นสถาณการณ์ที่จะว่าสยองก็คงจะได้ ลองจินตนาการคืนฝนพร่ำ มีคนคนหนึ่งเดินในสุสานตอนเที่ยงคืน และขณะที่กูเดินอยู่นั้นมีเงาตะคุ่มๆ เดินมาจากด้านหน้า....
“เชี่ยแล้วไงดึกดื่นป่านนี้ ฝนก็ตกใครมาเดินอะไรตอนนี้วะ คนยิ่งกลัวๆอยู่”
เอาจริงๆไม่กล้าคิดวาเป็นผีไม่ใช่เพราะไม่กลัวผี แต่กูว่าผีฝรั่งแม่งต้องฟังบทสวดมนต์พุทธไม่ออกแน่ๆซวยแล้วไง “กูจะเอาอะไรไปสู้กับมันวะ”
ตอนนั้นรวบรวมสมาธิเงาที่มันเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รู้เลยว่ามันคือคนใส่ชุดแม่ชี
“โอ้ยหัวใจจะวายยังกะหนังผี”
สุดท้ายถึงแม้มันจะไม่มีอะไรแต่หัวใจนี่หล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้วอะ
เอาจริงนะถ้าใครเป็นกูตอนนั้นอะแม้งคือเดอะนันชัดๆอะ ฝนตก สุสาน แม่ชี เที่ยงคืนแม่งมาพร้อมกันโดยที่ไม่ปรึกษาสุขภาพจิตกูเลยจ้า
คือนอกจจากจะต้องฝ่าดงสุสานคนเดียวแล้วการกลับมาถึงที่นี่ราวๆเที่ยงคืน นั่นหมายความว่า ร้านซุปเปอร์ก็ปิดลงหมดแล้วถ้าใครเคยเที่ยวยุโรปมาบ้างก็อาจจะพอรู้ว่าซุปเปอร์ที่ยุโรปนั้นไม่ได้เปิด
ก่อนหน้านี้ ผมขอสารภาพว่า บางครั้งก็เคยมีความรู้สึกประมาณว่า
“
“เพื่ออะไรวะ
เมื่ออาทิตย์สุดท้ายมาถึง ผมนั่งย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่มายุโรปคำตอบมันค่อยๆเริ่มปรากฏในใจ บางอย่างถ้าเราไม่ลอง เราก็จะไม่มีวันเข้าใจและตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว
ประสบการณ์ของแต่ละคนนั้นผมคงบอกไม่ได้เต็มปากว่าเหมือนกับผมหรือเปล่าแต่สำหรับผม นอกจากความฝันแล้ว สิ่งที่ผมรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆก็คือมิตรภาพที่ผมไม่เคยคาดหวังเลยจริงๆว่าจะได้เจอมันได้ในดินแดนที่ห่างไกลจากบ้านเกิดนับหลายพันกิโล
อาทิตย์สุดท้ายมาถึงผมทำหน้าที่สอนเด็กโรงเรียนในป่าเช่นเดิม จะต่างกันที่อาทิตย์นี้ผมมีความเคยชินและรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้มากขึ้นแต่สิ่งที่ผมเสียความรู้สึกเลยจริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ได้รับรอยยิ้มหรือปฏิสัมพันธ์ใดๆกับคนที่นั่นแต่กับเป็นเรื่องที่ผมคิดว่า ทุกคนควรจะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองจริงๆโดยไม่เอาอคติมาเป็นตัวกำหนดทิศทาง
ต้องขอบอกก่อนว่าผมไม่ใช่คนที่หัวร้อนหรือมองคนอื่นในแง่ร้ายซะทีเดียว แต่ครั้งนี้มันเหลืออดจริงๆ
เรื่องมีอยู่ว่า โรงเรียนในป่านั้นครูและเด็กๆผู้ปกครองมีการนัดแนะกันว่าวันพุธที่จะถึงนี้จะไม่มีการเรียนการสอนใดๆซึ่งเป็นการนัดแนะโดยที่ไม่บอกผมเลยแม้แต่น้อย ทำให้วันพุธผมต้องมาทำงานอย่างชนิดที่ว่าทุกคนหายไปไหนกันหมด อารมณ์แบบเหมือนโดนผีหลอกในโรงเรียนในป่าอะ คิดสภาพนะเดินเข้ามาในป่า ไร้สัญญาณสิ่งมีชีวิต คือตอนนั้นแบบ
“เห้ยอะไรวะ”
จนกระทั่งก็พอจะคาดเดาได้ว่า โรงเรียนเขาหยุดกัน
“อ้าวเชี่ย”
คือต่อให้จะเกลียดจะแค้นจะไม่ยิ้มให้ยังไงแต่มึงก็ควรจะเคารพคนอื่นปะวะงานก็ส่วนงาน แต่การที่ไม่บอกกล่าวสิ่งสำคัญเลยมันคืออะไรกัน ค่ารถผมก็ต้องออกเองแม้มันจะไม่แพงนะ ไหนจะค่าเสียเวลา และที่สำคัญมันเสียความรู้สึก ตอนนั้นผมโทรไปบ่นกับคนในโครงการทันทีถึงขนาดที่ว่าจะไม่กลับมาทำงานอีกแล้วในวันที่เหลือ จนในที่สุด มาริอาก็พูดกับผม สิ่งที่มาริอาพูดทำให้ผมเปลี่ยนความคิดทันทีมันไม่ใช่คำพูดที่สวยหรูหรือพูดให้เราเข้าใจอีกฝ่าย แต่สิ่งที่มาริอาพูดคือ
“เรามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือเด็กเพื่อดูแลเด็ก ดังนั้นสิ่งที่ควรจะโฟกัสมันคือตัวเด็กไม่ใช่หรอ” เพราะคำพูดนี้ผมเลยใจสงบและมองว่าเราผ่านมาแล้วจนจะจบโครงการแล้ว และอีก 2 วันผมต้องผ่านมันไปให้ได้และตอนนั้นเองผมจึงได้รู้ว่า
“ทุกประสบการณ์มันทำให้เราโตขึ้นและคิดเป็นมากขึ้นจริงๆ”
จนในวันสุดท้ายของการทำงานทุกๆคนในโครงการได้ร่วมกันจัดปาร์ตี้ขึ้นเพื่อเป็นการกล่าวขอบคุณและอำลาเพื่อนๆอาสาสมัครทุกคนในวันนั้นเองก่อนที่ผมจะไปร่วมงาน ผมได้รู้จักเพื่อนที่แสนดีชื่อ พาเวล ผมได้มีโอกาสรู้จักพาเวลาเพียง 5 ชม.ก่อนงานปาร์ตี้จะเริ่มเท่านั้น แต่ 5 ชม.เป็นเวลาที่เต็มไปด้วยมิตรภาพดีๆ และคำอวยพรดีๆที่ลึกๆแล้วพวกเราเชื่อว่าจะได้มีโอกาสพบกันอีก
ค่ำคืนสุดท้ายทุกอย่างมันผ่านไปเร็วเหมือนฝัน ปาร์ตี้คืนนี้ทุกคนมีความสุข มีเสียงหัวเราะ รวมถึงน้ำตา เพราะวันรุ่งขึ้นทุกคนต้องลาจากกันแล้วผมก็เหมือนกัน ในคืนนั้นทุกคนพูดคุยนั่งดูท้องฟ้าด้วยกันแล้วทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่า แม้ว่าเส้นทางของแต่ละคนประเทศของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แม้สุดท้ายแล้วจะไม่มีอะไรมารั้งให้พวกเราอยู่ด้วยกันได้อีกแต่ความเป็นเพื่อนนั้นมันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ถ้าวันไหนใครผ่านมาหรือใครผ่านไปประเทศไหนของใคร ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“You can always meet and stay with me
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in